โค้ด: เลือกทั้งหมด
ข้อคิดในวันแม่
วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ CFPTM
ในฐานะนักวางแผนการเงิน มักจะมีคำถามเกี่ยวกับการจัดการเงินทอง การแก้ไขปัญหาการเงิน และการวางแผนในชีวิตมาให้เราตอบมากมาย คำถามส่วนหนึ่งเป็นคำถามที่เราพอจะคาดเอาไว้ล่วงหน้าได้ แต่ก็มีคำถามบางคำถามที่อ่านหรือฟังแล้วถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง แต่แน่นอนค่ะ มีคำตอบให้อยู่แล้ว แต่คำตอบนั้นจะเป็นที่ถูกใจหรือไม่ถูกใจผู้ถามนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ดิฉันได้เข้าไปมีโอกาสตอบคำถามที่ชาวต่างชาติ (คิดว่าน่าจะเป็นคนอเมริกัน) ถามเอาไว้ใน CNN Money ที่เข้าไปตอบเพราะมีเพื่อน Facebook ส่ง link เชิญชวนให้ตอบ
สาเหตุที่อยากตอบ และตอบอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้เกลาสำนวนอะไรเลย ตอบออกมาจากใจจริงๆ เพราะคำถามถามเอาไว้ดังนี้ค่ะ
“ผมควรจะจัดสรรเงินให้พ่อแม่ที่ไม่รับผิดชอบ (ล้มละลาย ไม่มีเงินเก็บ) สักแค่ไหน ในขณะที่ผมขี้เหนียว ประหยัด อดออมแทบแย่ เพื่อให้มีเงินเก็บ”
คำตอบของดิฉันแปลออกมาได้ว่า “พ่อแม่ไม่เคยถามเลยว่าจะจัดสรรเงินไว้เลี้ยงดูคุณแค่ไหน จนกว่าคุณจะทำงานหาเงินได้เอง แล้วทำไมคุณต้องถามคำถามนี้? คนทุกคนมีโอกาสผิดพลาดในชีวิตทั้งนั้น บางทีสาเหตุที่พ่อแม่ของคุณไม่มีเงินเก็บ อาจจะเป็นเพราะใช้เงินทั้งหมดในการเลี้ยงดูลูกๆก็เป็นได้ ถ้าคุณเคยบริจาคเงินให้การกุศล หรือให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ พ่อแม่ของคุณควรจะมีชื่ออยู่ด้านบนสุดของรายชื่อผู้ที่คุณจะบริจาคเงินให้ ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับข้อความนี้ นอกจากคุณจะขี้เหนียวแล้ว คุณยังเห็นแก่ตัวอีกด้วย”
โลกเป็นอย่างนี้ บางทีลูกก็ลืมไปว่า ที่ตัวเองได้ดิบได้ดีทุกวันนี้ เพราะการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน ของพ่อแม่ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้กระทั่งตัวเราเอง ดังนั้นจึงไม่ควรคาดหวังว่าพ่อแม่ต้องสมบูรณ์แบบไปด้วย
หลายคนให้ความสำคัญกับหน้าตา และความสัมพันธ์กับคนภายนอกมากกว่าคนในครอบครัวตัวเอง ในวาระที่วันแม่เวียนมาถึง ดิฉันอยากฝากให้ลูกๆทุกคน ระลึกถึงพระคุณทั้งของพ่อและแม่ ที่ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้
พร้อมทั้งสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ผู้ทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนาน เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทยทุกคน
คำถามบางคำถาม เช่นคำถามที่ดิฉันยกตัวอย่างมาด้านบนนั้น เป็นคำถามที่ไม่ต้องถาม เพราะเรารู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าผู้ที่รักเรา จะ”ให้”ทุกสิ่งทุกอย่างกับเราได้ โดยไม่เคยหวังอะไรตอบแทน เราเองต่างหากที่ต้องสำนึกในหน้าที่ และหาโอกาสตอบแทน อย่างนี้จึงเป็นผู้ที่กตัญญูที่แท้จริง
ดิฉันเคยเขียนไปแล้วว่า ในการวางแผนการเงินนั้น “เงิน” ไม่ใช่เป้าหมายของการวางแผน แต่เป็น “เป้าหมายในชีวิต” ต่างหากที่เราต้องวางแผนเพื่อให้บรรลุ แต่เนื่องจากเราอยู่ในสังคมที่ใช้เงินเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน เราจึงต้องวางแผนการออมและการลงทุนเพื่อให้มีเงินไปทำในสิ่งที่เป็นเป้าหมายในชีวิตของเรา เช่น การมีบ้านเป็นของตัวเอง การส่งให้ลูกได้เรียนสูงๆ หรือ การเกษียณอายุงานอย่างสุขสบาย
หลายคนมัวแต่หลงอยู่กับเป้าหมาย “เงิน” จนลืมเป้าหมายในชีวิตไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้า เพราะเป้าหมายบางอย่างในชีวิต สามารถบรรลุได้โดยไม่ต้องใช้เงิน เช่น การเป็นคนดี ซื่อสัตย์ สุจริต เป็นต้น
"ผู้หญิง" ในบทบาทของความเป็นแม่ มีความสำคัญของครอบครัว ต่อสังคม ต่อประเทศชาติ และต่อมวลมนุษยชาติมากอย่างที่หลายคนคาดไม่ถึง เนื่องจากคอลัมน์นี้เป็นคอลัมน์เรื่องการเงิน ดิฉันจึงจะขอยกเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเงินๆทองๆที่แม่สามารถมีบทบาทในครอบครัว ได้
แม่ ควรจะเป็นผู้ดูแลจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆ ให้เหมาะสม ทั้งค่าอาหาร ค่าที่อยู่อาศัย ค่าสาธารณูปโภค ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา สุขภาพ การสันทนาการ การท่องเที่ยว รวมถึงการกันเงินเพื่อเก็บออมทั้งเพื่อการซื้อของชิ้นใหญ่ หรือออมและลงทุนเพื่อความมั่นคงของชีวิต ฯลฯ
แม่ต้องปลูกฝังค่านิยมพื้นฐานให้กับลูกๆ และให้กับพ่อของลูกด้วย หากเขายังมีค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง ทั้งในเรื่องของการประหยัด การใช้ของและใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า การไม่เห็นแก่ตัว รู้จักเผื่อแผ่แบ่งปันให้กับผู้อื่น รวมถึงการรู้จักเก็บออมและลงทุน
การทำตัวเป็นแบบอย่างก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ทั้งนี้ ทักษะที่สำคัญมากในโลกอนาคตคือ การเรียนรู้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นรู้สิ่งใหม่ๆอย่างเดียว บางทีสิ่งเก่าๆที่เรายังไม่รู้ เราก็ต้องตามไปเก็บความรู้มา คุณแม่อาจจะถือโอกาสเรียนไปพร้อมๆกับลูกก็ได้
การช่างสังเกต การช่างสงสัย เป็นสิ่งที่นำไปสู่การเรียนรู้และพัฒนาการ รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ด้วย ต้องฝึกให้เด็กของเราช่างซักช่างถาม อย่ารำคาญ หรือหงุดหงิดเวลาตอบคำถามของเด็กๆไม่ได้ หรืออย่าตัดบทด้วยการบอกให้เด็กเงียบ ห้ามถาม
เด็กไทยเรา และผู้ใหญ่ไทยด้วย ไม่ค่อยจะยอมซักถามเลย อาจจะเป็นเพราะอาย กลัวคนว่า "ง่ายแค่นี้ยังไม่รู้อีก" หรืออะไรก็ตาม จนทำให้เกิดวัฒนธรรมของการไม่มีคำถามในที่ประชุม สัมมนาทั้งใหญ่และเล็ก และเกิดปรากฏการณ์ ยกมือขึ้นถาม แต่ไม่ได้ถาม กลับทำตัวเป็นผู้อภิปรายเอง กลายเป็นดาราที่ไม่ได้รับเชิญ จนทำให้ผู้จัดงานส่วนใหญ่ พอใจที่จะไม่มีคนถามมากกว่า
สิ่งที่ขาดหายไปก็คือการรู้จักกาลเทศะ รู้บทบาทหน้าที่ของตน รู้สิทธิด้วย ที่ผ่านมามีการเน้นให้รู้จักสิทธิมากไปหน่อย จนบางทีลืมนึกถึงสิทธิของผู้อื่น ทำให้เกิดละเมิดสิทธิ์บ่อยครั้ง
สิทธิ ต้องมาพร้อมกับ หน้าที่ และความรับผิดชอบ และการรู้จักกาลเทศะ รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร และรู้จังหวะที่เหมาะสมด้วย บางอย่างถูกต้องเหมาะสมในจังหวะหนึ่ง แต่อาจจะไม่ถูกต้องเหมาะสมในอีกจังหวะหนึ่งก็เป็นได้
เขียนไปเขียนมาเริ่มออกไปนอกเหนือเรื่องการเงินแล้ว พบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ