เด็กหญิง Goldilocks /วรวรรณ ธาราภูมิ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

เด็กหญิง Goldilocks /วรวรรณ ธาราภูมิ

โพสต์ โดย Thai VI Article » พฤหัสฯ. ก.ย. 06, 2012 10:04 am

โค้ด: เลือกทั้งหมด

เด็กหญิง Goldilocks 

วรวรรณ ธาราภูมิ
CEO บลจ.บัวหลวง จำกัด

Goldilocks Economy เป็นคำฮ็อตเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว หมายถึงภาวะเศรษฐกิจที่น่าพึงใจอันเกิดจากมีอัตราการเติบโตที่ไม่มีเงินเฟ้อ ซึ่งหากยกตัวอย่างในสหรัฐอเมริกาก็คืออัตราเติบโตของ GDP ที่ 3% ในขณะที่มีอัตราเงินเฟ้อขยายตัวที่ 2%  

เรื่องนี้เวบไซท์ที่เป็นคลังความรู้ด้านการลงทุนที่ดีชื่อ Investopedia อธิบายว่า Goldilocks Economy หมายถึงภาวะที่เศรษฐกิจคล้ายๆ ข้าวต้มที่ไม่ร้อนไป (จนเกิดเงินเฟ้อ --- Inflation)  และไม่เย็นเกินไป (จนแศรษฐกิจถดถอย –Recession)

แถมกูรูบางคนยังถึงกับบอกว่า นโยบายการเงินในโลกสมัยใหม่ก้าวไกลและมีความเชี่ยวชาญพอที่จะทำให้เกิด Goldilocks Economy ได้  ไม่ว่าจะใช้นโยบายการคลังขาดดุล ได้ดุล หรือเกินดุลอย่างไร ....  โอ้ แม่จ้าว

ลองมาอ่านนิทานฝรั่งเกี่ยวกับเด็กหญิง 5 ขวบที่มีผมสีทองเป็นช่อๆ สวยงามที่ชื่อหนู Goldilock กัน 

เด็กน้อยคนนี้หลงทางไปในป่าจนไปพบกระท่อมของหมี 3 ตัวพ่อแม่ลูก ซึ่งทำข้าวต้มใส่ชามไว้ 3 ชาม หนูน้อยกำลังหิว เลยไปกินข้าวต้ม

ปรากฏว่าข้าวต้มของพ่อหมีร้อนไป  ของแม่หมีเย็นไป  มาถูกใจชามของลูกหมีที่กำลังอุ่นอร่อย ก็กินจนหมดแล้งหลับปุ๋ย 

พอ 3 หมีกลับมาบ้านก็เลยเกิดเรื่อง 

Larry Eliot  จาก นสพ. The Guardian ในอังกฤษ เล่าว่า มี 2 ประเทศที่คั่นด้วยมหาสมุทร ได้แก่ จีน ที่มีคนทำงานหนักวันละหลายชั่วโมงเพื่อผลิตสินค้าราคาถูกส่งออกไปขาย  อีกประเทศก็คือ สหรัฐอเมริกา ที่เคยมีคนอเมริกันที่ทำงานหนักจนทำให้ประเทศเป็น Workshop ของโลก  

แต่ภายหลังมาไม่ใช่แล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไป๋เหมือนดีเอสไอ   เพราะคนอเมริกันเลิกผลิตสินค้าเอง หันไปซื้อของจีนที่ถูกกว่า  แถมยังใช้เงินเกินตัวด้วย 

เพราะเมื่อเขาผลิตสินค้าหรือขายบริการได้ 100 ดอลลาร์ คนอเมริกันดันเอาไปผลาญซื้อของตามช็อปปิ้งมอลล์ เสีย 106 ดอลลาร์  นั่นคือมีรายจ่ายสูงกว่ารายรับ 

ใช่เลย ก็กู้ไงล่ะ

ผ่านไปหลายปีทำกันแบบนี้ก็ยังไม่มีปัญหา และจีนก็นำเงินที่ขายสินค้าได้ไปซื้อหุ้น ซื้อพันธบัตรสหรัฐ ไม่ได้ใช้สุรุ่ยสุร่าย

ส่วนอังกฤษ ญาติอันใกล้ชิดของสหรัฐอเมริกาก็เช่นกัน 

คนอังกฤษกู้มาใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย แล้วกู้อีกเพื่อมาหมุนโปะหนี้

ทุกสิ่งดูดีจนไม่น่าเชื่อ  เศรษฐกิจแบบข้าวต้มอุ่นๆ พอดีๆ กินอร่อย ที่เด็กน้อย Goldilock ชมชอบยังดำเนินไปเรื่อยๆ แม้จะมีคนเตือนไว้ว่ามันดีเกินเหตุแล้ว ก็ไม่มีใครฟัง  เพราะคนอเมริกันกับคนอังกฤษตื่นนอนมาก็ยังเจอพระอาทิตย์ฉายแสง  เจอท้องฟ้าสดใสทุกวัน  แม้แต่คนที่ฉลาดๆ ก็ยังยืนยันว่าอากาศจะดีแบบนี้ต่อไป  เพราะว่าดูสมเหตุสมผลที่จีนจะผลิตสินค้าราคาถูกมาขายให้ แล้วจีนก็นำเงินที่ได้วนกลับไปลงทุนในสหรัฐและอังกฤษอยู่ดี  เขาบอกว่าการทำแบบนี้ทำให้ทั่วโลกซื้อสินค้าได้ถูก และทำให้ดอกเบี้ยถูกด้วย

แต่ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ทำให้ 2 ประเทศนี้กู้มากขึ้น และเริ่มกู้มาซื้อบ้าน เพราะดอกเบี้ยถูก เงินเฟ้อก็ต่ำ เลยกู้มากขึ้นๆ เพื่อใช้ซื้อบ้าน โดยเชื่อว่าเงินที่ต้องจ่ายชำระหนี้การกู้ทุกเดือนมันคุ้มกับราคาบ้านในอนาคตที่จะทำกำไรมหาศาลได้ เพราะราคาบ้านไม่เคยลดลงเลย

เมื่อคนจำนวนมากต้องการบ้าน บ้านก็แพงขึ้นเรื่อยๆ คนเลยนึกว่ากู้มาลงทุนซื้อบ้านอย่างเงี้ยะ รวยแน่ๆ และดอกเบี้ยก็ยังต่ำ คำนวณแล้วผ่อนไหว

2 ประเทศนี้เลยน่าจะมีจุดจบคล้ายเด็กหญิง Goldilock  เพราะเชื่อว่าจะมีข้าวต้มลูกหมีที่อุ่นกำลังดีกินตลอดไป เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจกำลังดี ไม่ร้อนไป  ไม่เย็นไป  ใครๆ ก็รวยได้ 

เรียกว่า กู้ก่อน รวยกว่า สวนทางชื่อหนังสือดีที่คุณพี่ นวพร เรืองสกุล อุตส่าห์เขียนไว้สอนใจในชื่อ ออมก่อน รวยกว่า  หรือคนละม้วนกับที่ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ท่านเขียนหนังสือชื่อ สอนลูกให้รวย กับ สอนเมียให้รวย ไปลิบเลย เพราะมันกลายเป็น สอนแกให้กู้ ไปซะงั้น

และแล้ว ลูกหมีหรือ Baby Bear ก็กลับมาบ้าน  กลับมาในรูปสินค้าโภคภัณฑ์และน้ำมันที่แพงขึ้น เนื่องจากจีนมีเงินมากขึ้น มีความต้องการวัตถุดิบและพลังงานเพื่อใช้บริโภคและใช้ผลิตสินค้า   

เพราะจีนเคยซื้อน้ำมันตอนต้นปี 2546 ได้ 1 แกลลอนต่อ 1 ดอลลาร์  แต่ต่อมาในช่วงจะเกิด Subprime Crisis จีนต้องซื้อในราคา 80 ดอลลลาร์ต่อแกลลอน

เมื่อลูกหมีน้อยกลับมาบ้าน เห็นข้าวต้มหมดชาม เลยคำรามเพราะโกรธจัด จนเกิดตลาดหุ้น ตลาดโภคภัณฑ์แบบ Baby Bear Market   แต่หนูน้อย Goldilock  ก็ยังไม่รู้ตัว ยังหลับเพลินอยู่

แล้วแม่หมีก็กลับบ้าน เพราะห่วงบ้าน 

อาการแม่หมีกลับบ้านคือราคาบ้านแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว คนหนุ่มสาวจะต้องทำงานมากขึ้นเพื่อที่จะเก็บเงินได้พอซื้อแม้เพียงบ้านเล็กๆ ในป่าละเมาะ

เมื่อธนาคารกลางของ 2 ประเทศคือสหรัฐกับอังกฤษเห็นว่าเกิดฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์แล้ว คือราคาบ้านพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกินเหตุจากการเก็งกำไร  ก็เลยต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อให้รับกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น

ไม่นาน พ่อหมีก็กลับบ้าน  

พ่อหมีพบว่ามีวิธีเดียวที่พอจะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไปได้อีกสักระยะก็คือ “ต้องให้พ่อมดมนต์ดำทางการเงินใน Wall Street และใน The City of London (ก็ตลาดหุ้นของ 2 ประเทศนั่นละ)  ปรุงยาเวทย์มนต์ขนานต่างๆ เพื่อล่อให้คนกู้จนๆ มองเห็นว่าจะกู้ได้ในราคาถูก เพื่อเอาไปเก็งกำไรในบ้านต่อได้  เลยมี Subprime Mortgage หรือการให้กู้เกินปกติแก่ลูกหนี้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้ต่ำ คนก็เลยแห่กู้ เลยหอบกู้ไปซื้อบ้านกันอีก 

ความจริงแล้วพ่อมดมนต์ดำก็รู้ว่ายาที่ให้คนจนๆ ใช้เนี่ยะ มันห่วย แต่ก็ปกปิดความจริงไว้ แล้วยังหันไปชวนลูกค้าที่แต่งตัวหรูๆ มากู้ด้วย  โดยพ่อมดยืนยันว่ารวยได้โดยไม่เสี่ยง 

พวกธนาคารด้วยกันและกองทุนในหลายๆ ประเทศโดยเฉพาะในตะวันตก ต่างก็หลับหูหลับตาเหมือนหนู Goldilock พากันซื้อยาห่วยๆ นี้มากินกันใหญ่

แต่แล้วดอกเบี้ยก็ขึ้น  ราคาบ้านก็ตก  

คนจนตกงาน บ้านโดนยึดเพราะไม่มีรายได้มาจ่ายเงินกู้  หรือที่ยังมีงานอยู่ก็จ่ายเงินกู้ไม่ไหวเพราะดอกเบี้ยมันขึ้น บ้านก็ขายต่อไม่ออก  แถมราคายังลงมาเรื่อยๆ  

คนแต่งตัวหรูๆ ใน Wall Street หรือใน The City of London เองก็ยังไม่มีปัญญาซื้อของหรูๆ มาใช้อีกแล้ว 

ความซับซ้อนของยาเนี้ยะ มันถึงกับทำให้ลูกหนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นหนี้เท่าไรกันแน่  

คนหรูๆ เลยเก็บตัว หนีหน้าจากตลาดหุ้น ต่างระแวงกันเอง และไม่ยอมให้ใครกู้อีก ทั้งที่ในอดีตเคยให้พวกเดียวกันกู้เสมอมา

พ่อหมีเห็นความหายนะเมื่อกลับมาถึงบ้าน เลยโกรธมาก คำรามเสียงลั่นทำให้เด็กหญิง Goldilock ตื่นขึ้นมา  

นั่นก็คือตื่นมาพบว่าบ้านเมืองวุ่นวายไปหมด

ในสหรัฐ ราคาบ้านดิ่งลงเร็วมาก บริษัทรับจำนองก็ปิดกิจการมากมาย 

ในอังกฤษ  ธนาคาร Northern Rock ที่ปล่อยกู้ด้วยการให้วงเงินกู้มากกว่าราคาบ้าน ก็พบว่าคนที่เคยเป็นเพื่อน มองว่าตนเป็นคนไม่ดีไปซะแล้ว

คนหรูๆ ในอเมริกาเดือดร้อน ร้องบอก ลุงเบน เบอร์นานเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ว่า “ช่วยด้วยๆ เราพังแล้ว”  

ลุงเบน ใจอ่อน เปิดคลังขนเงินให้พวก Wall Street กู้ แล้วเตือนว่าเมื่อได้เงินกู้แล้วกลับไปจัดงานเลี้ยงอีก ก็อย่าให้มีปัญหาเพิ่มนะ

แต่ Merry king ประธานธนาคารกลางอังกฤษ กลับทำต่างจากลุงเบน 

เขาบอกว่า “ผมเตือนแล้ว พวกคุณไม่เคยเชื่อ คุณทำโง่ๆ กันเอง หากผมให้เงินไปช่วย พวกคุณก็ทำผิดอีก ผมไม่ให้กู้  ผมไม่เซ็นต์เช็คเปล่าให้คุณเอาไปทำผิดอีกหรอก  เพราะมันจะส่งสัญญาณผิดๆ ให้คนดีๆ คนฉลาดๆ คิดไปว่าถึงทำไม่ดีก็มีคนอุ้ม เหมือนได้รางวัลจากการทำผิด ดังนั้น คุณจึงมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบตนเอง ส่วนผมมีหน้าที่ดูแลเศรษฐกิจ”

ตอนจบของนิทาน Goldilock ก็คือ .... 

เด็กหญิง Goldilock ตื่นขึ้นเมื่อพ่อหมีคำราม แล้วเธอก็ไม่รอดไปจากหมี 3 ตัวที่กำลังโกรธจัด

นั่นก็คือ ทุกอย่างใน Goldilock Economy จะยังดีอยู่  จนกระทั่งหมี 3 ตัวกลับมาบ้านเพื่อกินข้าวต้มของตนนั่นแหละ


แล้วการประชุมผู้ว่าการธนาคารกลางต่างๆ ประจำปีที่เพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้ที่ Jackson Hole  ในสหรัฐอเมริกาล่ะ มันมีผลยังไง ?  (เราบางคนเรียกเมืองนี้ได้กิ๊บเก๋มาก  เรียกว่า รูแจ๊คสัน)  

ลุงเบนออกมาให้ Speech อย่างที่เรียกได้ว่าเป็น “Goldilocks Speech" นั่นแหละ 

นั่นก็คือ ลุงให้ Speech เกี่ยวกับ QE3 เหมือนกับว่า ไม่ร้อนไป (เพราะลุงสัญญาว่าจะใช้นโยบายการเงินช่วยเพิ่มได้)  และไม่เย็นไป (เพราะลุงสัญญาว่าจะทำต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น)  

นั่นแหละ  “Goldilocks Speech" ของลุงเบน

แต่ Speech แบบแทงกั๊กไฮโลของลุงเบนกลับเพียงพอที่จะช่วยดันให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกกระดี๊กระด๊าขึ้นมาได้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

หุ้นขึ้นสู่ระดับที่ Chris Mayer  (สหายใหม่ของเราที่พบกันใน แวนคูเวอร์ คานาดา) ผู้เป็นอัจริยะในการแสวงหาแหล่งลงทุนเส้นทางใหม่ๆ บอกว่า “เข้าโซนอันตรายละ” 

แล้วอีตา Chris Mayer ยังเอาไปเทียบกับกระทิงแดงได้เท่มาก เรียกมันว่า Red Bull Economy หรือ เศรษฐกิจแบบกระทิงแดง เครื่องดื่มอันทรงพลังของไทยเลยละ 
Chris mayer บอกว่า “ทุกครั้งที่ FED เลิกเสิร์ฟกระทิงแดง ตลาดก็ตกเพราะหมดกำลัง”

ไชโยๆ  กระทิงแดงจงเจริญ 

เออ ... แล้วเมื่อไหร่จะเอาเข้าตลาดหุ้นสักทีล่ะ 
[/size]



ตอบกลับโพส