โค้ด: เลือกทั้งหมด
ข้อคิดสำหรับการออมเพื่อเกษียณ
วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ CFPTM
การออมเพื่อการเกษียณอายุงานของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาเป็นลำดับ ตั้งแต่เดิมในปี 2444 ที่มีเฉพาะข้าราชการเท่านั้นที่จะมีเงินบำเหน็จบำนาญหลังเกษียณ สำหรับภาคเอกชนนั้น เริ่มเมื่อมีบริษัทต่างชาติมาตั้งในไทย และบริษัทเหล่านี้ได้มีสวัสดิการด้านสำรองเลี้ยงชีพให้กับพนักงาน โดยเป็นเงินที่บริษัทสมทบให้เมื่อยามเกษียณ
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งเป็นการออมเพื่อการเกษียณอายุงาน เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อมีพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในปี 2530 โดยเป็นภาคสมัครใจ ต้องมีทั้งนายจ้างและลูกจ้างสมัครใจจัดตั้งขึ้น โดยลูกจ้างจะนำส่งเงินสะสม และนายจ้างนำส่งเงินสมทบ โดยรัฐให้แรงจูงใจในด้านภาษี
ส่วนข้าราชการก็มีการพัฒนามาเป็น “กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ” ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา
สำหรับผู้ต้องการออมเพิ่มเติมจากที่ออมในกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็มีการให้ออมเพิ่มได้โดยผ่าน “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ” หรือ RMF ตั้งแต่ปลายปี 2544 เป็นต้นมา หรือ 100 ปีหลังจากมีระบบเงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
วันนี้ดิฉันขอเขียนถึงประเด็นต่างๆที่ชวนคิดพิจารณา สำหรับท่านที่ต้องการออมเพื่อมีเงินใช้หลังการเกษียณอายุงาน
ประเด็นแรกที่พบมากคือ ผู้ออมจำนวนมาก ออมเพียงจำนวนเท่าที่กรมสรรพากรให้สิทธิพิเศษทางภาษีไว้ หรือพูดง่ายๆก็คือ ตั้งแต่ 2% ถึง 15% ของรายได้ต่อปี คงเดาได้นะคะว่า เนื่องจากต้องการเพียงสิทธิประโยชน์ทางภาษี เมื่อถามว่า คาดว่าจะเพียงพอที่จะใช้หลังเกษียณหรือไม่ ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดจะตอบว่าไม่ทราบ
การที่ท่านไม่ทราบว่าอนาคตท่านจะมีเงินเพียงพอเพื่อจะใช้หลังการเกษียณหรือไม่ เท่ากับท่านเอาอนาคตไปแขวนไว้กับโชคชะตา และอาจจะกลายเป็นว่า ถ้าอายุสั้นจะถือเป็นการโชคดีไป เพราะมีเงินพอใช้แน่ๆ แต่หากเกิดอายุยืนขึ้นมาจะถือเป็นความโชคร้ายทีเดียว เพราะไม่มีเงินเลี้ยงตัวเอง ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ถือเป็นเรื่องเศร้าค่ะ
การมีอายุยืน สามารถทำประโยชน์ให้กับโลกได้ถือเป็นเรื่องดี และจะดียิ่งขึ้นถ้าท่านมีเงินเพียงพอที่จะดูแลตัวเอง
ข้อแนะนำคือ ต้องประมาณการว่า หลังเกษียณ ท่านจะใช้เงินเดือนละเท่าไรจึงจะพอ คิดเป็นค่าเงินปัจจุบัน นี่แหละค่ะ จะได้ง่ายๆ และนำไปคำนวณว่า นับจากวันที่เกษียณท่านจะอยู่ไปอีกกี่ปี หากจะใช้เงินเดือนละเท่านั้น ต้องมีเงินเท่าไร ณ วันเกษียณ และคำนวณว่า เงินที่เก็บออมอยู่ทุกวันนี้ เมื่อถึงวันที่เกษียณจะเติบโตไปเป็นจำนวนเท่าใด และนำตัวเลขสองจำนวนนี้มาเปรียบเทียบกันว่าจะพอหรือไม่ (ตารางการคำนวณแบบง่ายๆ อยู่ในหนังสือ” Money Pro แผนการเงิน แผนชีวิต”)
ประเด็นที่สอง ผู้ออมเงินเพื่อการเกษียณเกินกว่าครึ่ง นำเงินออมไปลงทุนแบบอนุรักษนิยม โดยอาจจะฝากไว้ในธนาคาร ซื้อสลากออมสิน ลงทุนในพันธบัตร หรือหุ้นกู้ หรือเลือกลงทุนในกองทุนตลาดเงิน กองทุนพันธบัตร กองทุนตราสารหนี้ ซึ่งในปัจจุบันให้ผลตอบแทนประมาณ 2.5 ถึง 4% แทบจะไม่ชนะเงินเฟ้อเลย
นอกจากนี้ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ลงทุนยังมักจะเป็นกองทุนแบบอนุรักษนิยม คือลงทุนในตราสารคล้ายๆกับที่กล่าวมาข้างต้น แม้ว่าเกณฑ์ของกองทุนจะเปิดให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกนโยบายการลงทุนได้เอง ซึ่งสามารถเลือกให้มีหลักทรัพย์อื่น เช่น หุ้น เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนได้
หากเข้าใจเรื่องปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถในการรับความเสี่ยงจะทราบว่า ถ้ามีระยะเวลาการลงทุนยาว จะสามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เงินที่ออมเพื่อการเกษียณอายุงานในอีก 10 20 หรือ 30 ปีข้างหน้า จึงเป็นเงินที่สามารถลงทุนแบบเสี่ยงปานกลางถึงเสี่ยงสูงได้
สัดส่วนของหุ้นทุนที่ควรจะลงทุนเพื่อการเกษียณ ควรจะมีขั้นต่ำ 10-15% โดยดิฉันและทีมงานได้เคยทดสอบข้อมูลย้อนหลังแล้วพบว่า ในสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตที่มีการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 15% ในระยะปานกลาง คือเกิน 3 ปีขึ้นไป ผลตอบแทนจะไม่ติดลบค่ะ
เพราะฉะนั้น ผู้ลงทุนไม่ควรกลัวความเสี่ยงจนเกินไป
เป็นที่น่ายินดีว่า ทางสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำลังเสนอร่างแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ในกรณีที่ผู้ลงทุนไม่ได้ระบุว่าจะลงทุนในนโยบายใด จากแต่เดิมให้ลงนโยบายเดิมก่อนที่จะเปิดให้เลือกนโยบายได้เอง หรือหากไม่มีนโยบายเดิม ให้ลงทุนในนโยบายที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ซึ่งโดยทั่วไปก็คือนโยบายที่ลงทุนแต่ตราสารหนี้และพันธบัตร เสนอแก้ไขใหม่ให้ลงทุนในนโยบายที่กำหนดในข้อบังคับกองทุน และหากข้อบังคับไม่ได้กำหนดไว้ จึงไปลงทุนในนโยบายที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ตามลำดับ
ดิฉันยืนยันค่ะว่า นโยบายการลงทุนที่เหมาะสมกับการออมเพื่อการเกษียณอายุมากที่สุด คือการลงทุนแบบผสม ซึ่งจะมีทั้งตราสารหนี้ พันธบัตร และหุ้น (หรืออาจจะมีทองคำ โภคภัณฑ์ หรืออสังหาริมทรัพย์ปนไปบ้างเล็กน้อยก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่ารับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด)
ดังนั้นจึงอยากเรียนเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนทั้งหลายว่า เมื่อกฎหมายออกบังคับใช้ กรุณาเลือกนโยบายการลงทุนแบบผสมเป็นนโยบายที่กำหนดในข้อบังคับกองทุน หรือที่เรียกว่าเป็น Default Policy นะคะ เพื่อมิให้สมาชิกกองทุนต้องลำบากต้องมีชีวิตบั้นปลายอยู่ต่อโดยเงินหมดไปก่อน
หากสมาชิกในกองทุนส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ยสูง นโยบายที่กำหนดในข้อบังคับกองทุนก็ควรจะเป็นกองทุนผสม ที่กำหนดให้ลงทุนในหุ้นทุนเป็นสัดส่วนไม่สูงมาก คืออาจจะไม่เกิน 15%
แต่หากสมาชิกในกองทุนมีอายุเฉลี่ยน้อย นโยบายการลงทุนที่กำหนดในข้อบังคับ อาจกำหนดให้ลงทุนในหุ้นทุนเป็นสัดส่วนไม่เกิน 30% เป็นต้น
สำหรับผู้ออม ในกรณีมีนโยบายให้เลือกหลายนโยบาย ควรเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเองค่ะ ไม่ต้องทำตามเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าจะเลือกนโยบายที่มีความเสี่ยงต่ำลง หรือที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เพื่อหวังผลตอบแทนสูงขึ้นก็ตาม
นอกจากนี้ ยังต้องมองภาพรวมของการออมเพื่อการเกษียณอายุงาน ซึ่งรวมถึงส่วนที่ออมเพิ่มเองไม่ว่าจะในรูปแบบกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือกองทุนรวมทั่วไป หรือลงทุนเองโดยตรง ว่าสอดคล้องกันหรือไม่ และปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมค่ะ
สองประเด็นแล้วนะคะ คือออมน้อยเกินไป และ ลงทุนแบบอนุรักษนิยมเกินไป ทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็อาจเสี่ยงต่อการที่มีเงินไม่พอเลี้ยงตัวเองแล้ว แต่ถ้าทั้งออมน้อยและเลือกลงทุนแบบไม่ให้เสี่ยงเลย ก็จะยิ่งทำให้เงินเติบโตน้อย เสี่ยงต่อการมีไม่เพียงพอต่อการเกษียณอายุอย่างสุขสบายมากขึ้น
เหลืออีกสามประเด็นขอยกไปในสัปดาห์หน้าค่ะ