โค้ด: เลือกทั้งหมด
ผู้ประกอบการไทยมีความตื่นตัวในเรื่องการรวมกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AECกันมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการหาโอกาสในการขยายตลาดสินค้าหรือบริการ การไปตั้งสาขาหรือสำนักงานตัวแทน และการไปตั้งโรงงานผลิตในประเทศต่างๆในอาเซียน
ดิฉันได้มีโอกาสร่วมคณะไปสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับโครงการเสริมสร้าง นักลงทุนไทยไปลงทุนต่างประเทศของสำนักงานส่งเสริมการลงทุนซึ่งจัด โดยมหาวิทยาลัยขอนแก่นในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับทราบข้อมูลและข้อคิดต่างๆซึ่งอยากจะนำมาแบ่งปันให้กับท่านผู้อ่านที่ สนใจ
สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามหรือที่เราเรียกกันย่อๆว่าเวียดนาม มีพื้นที่ 331,210 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 2 ใน 3 ของประเทศไทย มีขนาดของประชากร 89.316 ล้านคน อยู่ในวัยแรงงานถึง 52 ล้านคน มีขนาดเศรษฐกิจวัดตาม GDP ประมาณ 122,700 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2011หรือประมาณ 3.75 ล้านล้านบาท โดยเฉลี่ยต่อหัว1,374เหรียญ หรือ ประมาณ 42,045 บาทต่อปี คาดว่าปีนี้จะมีขนาดของ GDP 135,400 ล้านเหรียญหรือเฉลี่ยต่อหัวเท่ากับ 1,498 เหรียญต่อปี
ภาคเอกชนของเวียดนามมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น ในปี 2011 จำนวนบริษัทเอกชน 622,977 บริษัท สามารถก่อให้เกิดรายได้ถึง 60%ของ GDP และมีการจ้างงานถึง 70% ของการจ้างงานโดยรวม
เมื่อสอบถามนักธุรกิจและหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนของเวียดนามว่า เวียดนามมีความได้เปรียบประเทศอื่นๆอย่างไร จะได้คำตอบคล้ายๆกันคือ ค่าแรงงานที่ยังต่ำ แรงงานอดทน หนักเอาเบาสู้ มีทรัพยากรธรรมชาติที่ยังไม่ถูกนำมาใช้ค่อนข้างมาก เช่น น้ำมัน ก๊าซ ถ่านหิน เหล็ก ทองแดง บ็อกไซต์ หินมีค่า แกรนิต ดินเหนียว และหินปูน แต่ข้อด้อยที่เขายอมรับคือเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่พัฒนามากนัก กฎหมายยังไม่ชัดเจน. อัตราเงินเฟ้อสูง อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวน มีความล่าช้าในระบบราชการไม่มีประสบการณ์ในตลาดโลกมากนัก
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาขาดแคลนผู้มีประสบการณ์ในการค้าต่างประเทศ และการทำงานในด้านบริหาร เขายอมรับว่าระบบการกระจายสินค้ายังไม่ดี
ในช่วงที่เวียดนามเปิดประเทศใหม่ๆนักธุรกิจไทยเคยไปลงทุนมากเป็นอันดับที่ ห้า แต่เมื่อเวียดนามเปิดประเทศมากขึ้น นักธุรกิจชาติอื่นๆ ได้เข้าไปลงทุนเพิ่มขึ้นจนตอนนี้การลงทุนจากไทยกลายเป็นอันดับที่ 11-12
นักธุรกิจเวียดนามมองว่า ธุรกิจไทยมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจและอุตสาหกรรมก่อนเวียดนาม 20 ปี เข้าใจตลาดมากกว่า โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับนักลงทุนต่างประเทศในญี่ปุ่น ยุโรปและสหรัฐอเมริกา และอยากให้นักธุรกิจไปลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิต ประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การสร้างถนน ท่าเรือ เครื่องจักรกล ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ เทคโนโลยี โทรคมนาคม อิเล็กทรอนิกส์
เนื่องจากเวียดนามอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง จึงทำให้นักธุรกิจทำการค้าเป็นส่วนใหญ่ เพราะการค้าได้ผลตอบแทนเร็ว การประกอบอุตสาหกรรมให้ผลตอบแทนช้า จึงมีผู้สนใจลงทุนน้อย
เวียดนามเพิ่งมีการปรับปรุงกฎหมายการลงทุนและกฎหมายบริษัท ธุรกิจสำคัญๆหลายๆอย่างยังอยู่ในมือของรัฐบาลโดยผ่านรัฐวิสาหกิจ และการบังคับใช้กฎหมายยังไม่แน่นอน คณะกรรมการจังหวัดแต่ละจังหวัดอาจตีความกฎหมายต่างกัน
เวียดนามใน วันนี้ยังมีความแตกต่างระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ภาคเหนือซึ่งเป็นเขตเมืองหลวง มีความเก่าแก่ของอารยธรรม อากาศค่อนข้างเย็น ผู้คนจะค่อนข้างอดออม ใช้จ่ายอย่างประหยัด มองโลกในมุมค่อนข้างอนุรักษนิยม แม้ในขณะนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงมากแล้วก็ตาม ในขณะที่ภาคใต้ ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศมาก จะมีความเปิดกว้าง มองโลกในแง่บวก ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย และใช้เงินเก่ง ทำให้อาจจะออมน้อย
นครโฮจิมินห์ซิตี้หรือกรุงไซ่ง่อนในชื่อเดิม มีแบรนด์ต่างชาติเข้ามารุกมากมายทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นฟาสต์ฟู้ด เครื่องสำอาง หรือร้านอาหารอื่นๆ
คำแนะนำจากนักธุรกิจที่ประกอบธุรกิจในเวียดนามและจากหน่วยงานของไทยหลายๆ หน่วยงานรวมถึงสถานทูตและกงสุล และสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ บริษัทที่ปรึกษา รวมถึงสำนักกฎหมาย พอจะสรุปออกมาได้ว่า การทำธุรกิจในเวียดนามไม่ง่าย มีหลายสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องตระหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องข้อกฎหมาย ใบอนุญาตลงทุนหรือ Investment License (IC) ต้องครอบคลุมธุรกิจที่จะทำ เพราะเวียดนามไม่อนุญาตให้ทำธุรกิจที่ไม่ได้ระบุไว้ในใบอนุญาต
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ทุกคนจะเตือนเรื่องนี้หมด เพราะมีคนที่มีประสบการณ์ ไม่สามารถทำธุรกิจที่ไม่ได้ระบุในใบอนุญาตการลงทุน หากได้ใบอนุญาตผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น ก็ไม่สามารถจะขายในประเทศได้ หรือการเปิดบริษัทการค้า ก็สามารถขายได้เพียงผู้กระจายสินค้าหรือ distributor เท่านั้น ไม่สามารถขายไปถึงผู้ใช้สินค้าหรือบริการได้โดยตรง
นายกสมาคมนักธุรกิจไทยในเวียดนาม ได้ให้คำแนะนำว่า หากเป็นอุตสาหกรรม ควรจะตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม เพราะตอนนี้เวียดนามมีความห่วงใยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และการตั้งอยู่นอกนิคมอุตสาหกรรม อาจมีปัญหาเรื่องพลังงานไฟฟ้าที่จะป้อนโรงงานอย่างสม่ำเสมอ ฯลฯ
เคล็ดลับของการลงทุนในเวียดนามที่นักธุรกิจไทยในเวียดนามแนะนำคือ ให้ศึกษามากๆ หาข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมหรือธุรกิจของท่านในเวียดนามให้มาก ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคให้ดี มาเรียนรู้ มาคลุกคลี ส่งคนมาอยู่เพื่อให้รู้ภาษา วัฒนธรรม และพฤติกรรมผู้บริโภค
ในด้านของภาพลักษณ์สินค้าไทยนั้น คนเวียดนามมองว่าสินค้าไทยดี คุ้มค่าราคา นายจ้างชาวไทยใจดี เป็นมิตร
ในด้านค่าจ้างแรงงาน แม้ตามกฎหมาย ค่าจ้างขั้นต่ำจะกำหนดไว้ที่ 1,050,000 ด่อง หรือประมาณ 1,735 บาทต่อเดือน และจะขึ้นเป็น 1,150,000ด่องต่อเดือน ในเดือนพฤษภาคมปีหน้า(2556) แต่ค่าจ้างที่จ้างได้จริงอาจจะสูงกว่านี้ และเวลาคำนวณต้นทุนต้องคำนวณเผื่ออีกประมาณ 22% เป็นค่าประกันสังคม และประกันสุขภาพด้วย
ไม่ว่าท่านสนใจจะทำธุรกิจกับเวียดนามในรูปแบบไหน การเรียนรู้ทั้งจากเอกสารข้อมูลต่างๆ และเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์ในการลงทุนมาก่อนย่อมมีความสำคัญ ช่วยลดโอกาสพลาด และช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าโครงการที่เราสนใจนั้นเหมาะสมที่จะดำเนินการต่อ ไปหรือไม่
ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการบุกตลาดเวียดนามค่ะ