การเผชิญหน้ากันในทะเลจีนตอนใต้/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

การเผชิญหน้ากันในทะเลจีนตอนใต้/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ ธ.ค. 17, 2012 10:22 am

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ได้มีการพูดและเขียนข่าวกันมากเกี่ยวกับการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนในกรอบของเออีซี ซึ่งทำให้เข้าใจว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงของประเทศอาเซียน 10 ประเทศที่จะมีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจ แต่ผมต้องยอมรับว่าผมเป็นเสียงส่วนน้อยที่ไม่ค่อยจะเชื่อว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากปี 2015 ทั้งนี้ในการประชุมผู้นำอาเซียนล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วก็ได้มีการประกาศเลื่อนการมีผลบังคับใช้ของเออีซีออกไปจาก 1 มกราคม 2015 ไปเป็น 31 ธันวาคม 2015 โดยผมไม่ได้รู้สึกว่ามีการให้คำอธิบายที่กระจ่างมากนักว่าทำไมจึงต้องเลื่อนออกไป 364 วัน

การเปิดเสรีทางการค้าระหว่างประเทศอาเซียนที่ทำกันมากว่า 30 ปีนั้นประสบความสำเร็จค่อนข้างมากแล้ว ปัจจุบันการส่งออกและนำเข้าสินค้าระหว่างประเทศอาเซียนส่วนใหญ่จะทำได้โดยไม่ต้องจ่ายภาษีศุลกากรและโดยเฉลี่ยก็คำนวณได้ว่าต้องจ่ายภาษีศุลกากรเพียงประมาณ 3% เท่านั้น กล่าวคืออาฟต้าหรือเขตการค้าเสรีอาเซียนนั้นประสบความสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้ว แต่สำหรับเออีซีซึ่งขยายการเปิดเสรีไปสู่การเปิดเสรีด้านการลงทุนและการเคลื่อนย้ายทุนและแรงงาน ตลอดจนการลงทุนการค้าบริการประเภทต่างๆ นั้น ยังน่าจะเป็นเรื่องที่ยังไกลตัวเพราะประเทศสมาชิกส่วนใหญ่ยังไม่ได้แก้ไขกฎเกณฑ์หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เกิดการเปิดเสรีได้จริง ยกเว้นกรณีของประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเปิดเสรีอยู่ก่อนหน้าแล้ว

แต่ประเด็นที่ผมห่วงเป็นเรื่องหลักคือ นอกจากการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนให้กระชับขึ้นจะไม่เกิดขึ้นแล้ว อาเซียนยังอาจเกิดปัญหาความแตกแยกรุนแรงขึ้น สืบเนื่องมาจากปัญหาการเมืองและความมั่นคงที่ได้ทำให้เกิดความบาดหมางกันเกี่ยวกับการอ้างสิทธิในหมู่เกาะต่างๆ ในทะเลจีนตอนใต้ ซึ่งประเด็นที่ได้มีการเสนอข่าวและวิเคราะห์อย่างต่อเนื่องคือ การที่ประเทศสมาชิกอาเซียนบางประเทศ เช่น เขมรมีแนวนโยบายที่เข้าข้างจีน คือ ต้องการให้ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่ประเทศคู่กรณีควรหันมาเจรจาเพื่อแก้ปัญหากับจีนแบบทวิภาคี

ในขณะที่ประเทศอาเซียนอื่นๆ ที่มีข้อขัดแย้งกับจีน เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ต้องการให้ประเด็นขัดแย้งดังกล่าวถูกนำไปพูดคุยกันในระดับพหุภาคี โดยมีประเทศอาเซียนอื่นๆ เช่น สิงคโปร์และบรูไน ให้การสนับสนุน นอกจากนั้นก็ยังมีประเทศอื่นที่มีข้อพิพาทกับจีน ได้แก่ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้สหรัฐได้โอกาสเข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหาดังกล่าว พูดกันตรงๆ ก็คือสหรัฐกลายเป็นประเทศเดียวที่จะมีศักยภาพทางการทหารเพียงพอที่จะคานการแพร่ขยายอำนาจของจีน ทำให้ประเทศต่างๆ ที่เกรงกลัวจีน (คือทุกประเทศที่กล่าวถึงข้างต้น) จำต้องเปิดโอกาสให้สหรัฐมีบทบาทเพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่ง “เข้าทาง” นโยบายของประธานาธิบดีโอบามาที่ต้องการหักเหทิศทางของนโยบายมาสู่เอเชีย (Asia pivot)

ประเด็นที่ผมเป็นห่วงคือเมื่ออาเซียนมีความเห็นที่น่าจะแตกแยกกันมากขึ้น เพราะประเด็นปัญหาดังกล่าวพร้อมไปกับความตรึงเครียดที่น่าจะเพิ่มขึ้นระหว่างจีนกับประเทศอื่นๆ เช่นเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ก็อาจทำให้นักลงทุนเริ่มต้องหันมาประเมินว่าเรื่องปัญหาความมั่นคงดังกล่าวจะกระทบกระเทือนการพัฒนาและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของทวีปเอเชียหรือไม่ ซึ่งตรงนี้ยังเป็นเรื่องที่ตอบได้ยาก แต่ต้องยอมรับว่าปัญหาการอ้างสิทธิทับซ้อนกับของประเทศต่างๆ ในเอเชียนั้นน่าจะมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นใน 2-3 ปีข้างหน้า

ในระยะหลังนี้ได้มีเหตุการณ์ต่างๆ ที่ดูเสมือนว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็สะท้อนว่าเรื่องข้อพิพาทในทะเลจีนตอนใต้นั้นเริ่มมีผลในทางปฏิบัติแล้ว เช่น

1. หนังสือเดินทางรุ่นใหม่ของจีนบรรจุแผนที่ประเทศจีน ซึ่งมีรูปไต้หวันและหมู่เกาะในทะเลจีนตอนใต้รวมไปด้วย ทั้งๆ ที่หมู่เกาะดังกล่าวบางส่วนฟิลิปปินส์และเวียดนามก็อ้างสิทธิเช่นกัน การกระทำดังกล่าวของจีนทำให้ประเทศดังกล่าวรวมทั้งสหรัฐแสดงท่าทีที่ไม่เห็นด้วยอย่างเป็นทางการและได้ทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เช่น นักท่องเที่ยวจีน 20 คนที่เดินทางไปยังกรุงฮานอย มี 4 คนที่ถือหนังสือเดินทางชนิดใหม่ของจีนถูกแยกตัวออกไปจากกลุ่ม โดยในที่สุดทางการเวียดนามออกวีซ่าให้แต่ทำเป็นกระดาษอีก 1 แผ่น ไม่ยอมตีตราลงบนหนังสือเดินทางของจีน

2. อินเดียซึ่งมีปัญหาอ้างสิทธิทับซ้อนกับจีนเช่นเดียวกัน มิได้แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับจีนอย่างเป็นทางการ แต่เมื่อออกวีซ่าให้กับคนจีนที่สถานทูตอินเดีย ณ กรุงปักกิ่งก็ได้ทำตราวีซ่าที่มีแผนที่ของอินเดียที่รวมถึงหมู่เกาะที่อินเดียอ้างสิทธิและตีตราวีซ่าดังกล่าวทับไปบนแผนที่ของจีน ทั้งนี้อินเดียอธิบายว่าทุกประเทศมีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะแสดงท่าทีของตนว่าอาณาเขตของประเทศตนครอบคลุมถึงพื้นที่ใดบ้าง

3. จีนประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2013 เป็นต้นไป ตำรวจน้ำของจีนจะจับกุมและยึดเรือต่างชาติที่ล้ำเข้ามาในน่านน้ำของหมู่เกาะ Paracel ซึ่งเวียดนามก็อ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของเช่นกัน ทำให้เวียดนามตอบโต้โดยการเพิ่มเรือตรวจการของตนในหมู่เกาะ Paracel เช่นเดียวกัน

4. เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม เวียดนามแจ้งว่าเรือประมงของจีนตัดสายเคเบิลของเรือสำรวจพื้นที่ของเวียดนาม

5. นาย Del Rosario รัฐมนตรีต่างประเทศของฟิลิปปินส์ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เมื่อ 30 พ.ย.ว่าจีนแสดงความประสงค์ที่จะนำเรือของจีนไปประจำอยู่อย่างถาวรที่หมู่เกาะ Scarborough Shoal ซึ่งเป็นเกาะที่ฟิลิปปินส์อ้างสิทธิเป็นเจ้าของเช่นกัน ซึ่งนาย Del Rosario ตำหนิจีนว่าเป็นการกระทำเยี่ยงเผด็จการ

6. การเผชิญหน้าระหว่างจีนกับญี่ปุ่นที่หมู่เกาะ Senkaku (ชื่อของญี่ปุ่น) หรือ Diaoyn (ชื่อของจีน) ก็น่าจะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ส่วนหนึ่งเนื่องจากเรือของจีนตระเวนใกล้บริเวณ 12 ไมล์จากฝั่งและบางครั้งก็รุกล้ำเข้าไปในเขตน่านน้ำ ทำให้เรือตำรวจชายฝั่งของญี่ปุ่นออกมาขับไล่ในบางกรณี

บทบรรณาธิการของ Wall Street Journal (WSJ) วันที่ 7 ธ.ค. วิเคราะห์ว่าทหารจีนมีความมุ่งมั่นที่จะขับไล่ “ต่างชาติ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐออกจากบริเวณน่านน้ำของจีน สืบเนื่องจากสมัยล่าอาณานิคมของฝ่ายตะวันตกเคยทำให้จีนต้องประสบกับความสูญเสียอย่างมากในศตวรรษก่อนหน้า นอกจากนั้น WSJ ยังมองว่าผู้นำของจีนก็ยังต้อง “ซื้อใจ“ ทหารจีนโดยการให้งบประมาณกับทหารโดยเฉพาะทหารเรือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเรือดำน้ำหรือเรือรบ รวมทั้งการมีเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกออกมาประจำการในปี 2012

จึงเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง เพราะหากเกิดการเผชิญหน้าทำให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นก็อาจกระทบกระเทือนภาพพจน์ของภูมิภาคและความมั่นใจได้ครับ
ที่มา นสพ.กรุงเทพธุรกิจ 17ธค.55
[/size]



ตอบกลับโพส