Priced in/ธันวา เลาหศิริวงศ์

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

Priced in/ธันวา เลาหศิริวงศ์

โพสต์ โดย Thai VI Article » พฤหัสฯ. ก.พ. 21, 2013 1:47 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

	“Priced in” ในทางการลงทุนหมายถึง การที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นจากความคาดหวังเชิงบวกเมื่อมีข้อมูลข่าวสารที่ทำให้เชื่อได้ว่า เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้นจะส่งผลดีต่อบริษัทในอนาคต เมื่อนักลงทุนเชื่อมั่นในข้อมูลที่ได้รับและเห็นพ้องว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทอย่างแน่นอน จึงยอมเข้าลงทุนด้วยความคาดหวังว่า ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องหากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง
	การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นถึงเกือบ 10% ในเวลาเพียงหกสัปดาห์แรกของปีนั้น มีหุ้นจำนวนหนึ่งที่ระดับราคาปรับตัวสูงขึ้นกว่าสภาวะตลาดโดยรวมอย่างมาก เนื่องจากได้สะท้อนเรื่องราว ข่าวดีหรือ priced in เข้าไปแล้วนั่นเอง หุ้นที่อยู่ในข่ายได้แก่
	หนึ่ง หุ้นข่าวลือหรือข่าวที่ไม่ได้มาจากบริษัทโดยตรง ข่าวที่มักมีผลกระทบเชิงบวกกับราคาหุ้นได้แก่ ข่าวลือการเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ ข่าวลือการควบรวมกิจการ ข่าวลือผลประกอบการหุ้นรายตัวพร้อมราคาเป้าหมายที่มีส่วนต่างกำไรอีกมาก นักลงทุนที่ซื้อหุ้นเหล่านี้ต้องพร้อมรับความเสี่ยงและความผันผวนของราคาในกรณีที่ข่าวลือนั้นไม่เกิดขึ้นจริงหรือแตกต่างจากข้อมูลที่ได้รับ เช่น บทสรุปของการควบรวมและผลของธุรกรรมไม่เป็นไปตามคาดและไม่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนรายย่อย ราคาเป้าหมายไม่มีเหตุผลอันควรมารองรับ นอกจากนี้ นักลงทุนต้องเพิ่มความระมัดระวังและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดเพราะราคาที่ Priced in แล้วอาจจะปรับตัวลดลงมาได้เมื่อข่าวจริงปรากฏขึ้น หรือที่เรียกว่าการ sell on facts นั่นเอง
	สอง หุ้นที่บริษัทหรือผู้บริหารระดับนำเสนอข่าว เช่น เป้าหมายการดำเนินงานที่เติบโตอย่างมากของบริษัท โครงการขยายงานใหม่ ขยายกำลังการผลิต ขยายสาขา ขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศหรือรองรับเออีซี (AEC)  หน้าที่ของนักลงทุนก็คือต้องพิจารณาและประเมินความเป็นไปได้และปัจจัยเสี่ยง เพราะโดยธรรมชาตินั้นผู้บริหารมักจะมีทัศนคติเชิงบวกต่อทุกโครงการที่นำเสนอ และต้องคำนึงว่าบริษัทจำเป็นต้องใช้เวลาระยะหนึ่งก่อนที่โครงการนั้นจะสร้างผลกำไรต่อการลงทุนในโครงการนั้น และหากบริษัทไม่สามารถดำเนินงานตามแผนงานที่ตั้งไว้  ราคาหุ้นอาจจะปรับตัวลงจากราคาที่ได้ถูก Priced in ไปล่วงหน้าแล้ว
	สาม หุ้นที่ priced in และซื้อขาย ณ ระดับราคาใกล้เคียงกับราคาเป้าหมายจากบทวิเคราะห์ ของเซียนหุ้น จากการสัมมนาหรือรายการทีวีหุ้น การประเมินมูลค่าหุ้นส่วนใหญ่จะเป็นการประเมินบนสมมุติฐานผลประกอบการล่วงหน้าเช่น Forward P/E หมายถึงการประเมินค่าพีอีจากสมมุติฐานของผลกำไรของทั้งปี นักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นที่ priced in แล้ว จำเป็นต้องอดทนและรอเวลาเพื่อให้กิจการเกิดผลกำไรจริง อย่างไรก็ตาม หากเป็นการประเมินมูลค่าจากสมมุติฐานที่ดีเกินไปหรือผลประกอบการแย่กว่าที่คาด ราคาหุ้นอาจจะปรับตัวลดลงจากราคาที่ priced in ไปแล้วได้เช่นกัน
	สี่ หุ้นที่อยู่ในข่ายที่ซื้อขายผิดปกติทั้งด้านปริมาณและราคา วิธีสังเกตหุ้นกลุ่มนี้อย่างง่ายก็คือ จำนวนหุ้นซื้อขายมักจะมากกว่าปริมาณหุ้นที่หมุนเวียนอย่างมาก นั่นคือมีการเก็งกำไรจากการซื้อขายหมุนเวียนหลายรอบต่อวัน ส่งผลให้ราคาเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างผิดปกติ หุ้นเหล่านี้มักเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนที่ชอบความหวือหวา กล้าได้กล้าเสีย อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่รับผิดชอบอาจจะออกมาตรการเพื่อเตือนหรือสกัดกั้นการเก็งกำไรส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงได้ นักลงทุนที่การเข้าซื้อหุ้นที่ priced in เช่นนี้ต้องพร้อมรับความเสี่ยงและความผันผวนของราคาที่อาจเกิดขึ้น
 	ในภาวะตลาดกระทิงที่ดึงดูดนักลงทุนทั้งมือเก่ามือใหม่เข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่องนั้น หุ้นที่มีส่วนต่างความปลอดภัย (Margin of Safety) นั้นหายากมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากนักลงทุนยินดีที่ปรับราคา (re-rated) ให้อยู่ ณ ระดับความถูกแพงที่สูงขึ้น ดังจะเห็นได้ว่า หุ้นขนาดกลางและเล็กจำนวนหนึ่งถูก priced in ในระดับที่สูงอย่างมาก 
	คำถามก็คือหากมีเงินสดพร้อมเข้าลงทุนและยังเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง คำตอบก็คือ หากยังมีกิจการที่ยอดเยี่ยม ยังมีแนวโน้มผลประกอบการที่ดีในระยะยาว เสนอขายในราคาสมเหตุสมผลโดยไม่ถูก priced in มากนัก ก็อาจพิจารณาเข้าลงทุน เช่นเดียวกับวอร์เรน บัฟเฟตต์ที่ร่วมเข้าซื้อกิจการของบริษัท ไฮนซ์ ผู้ผลิตซอสมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์อาหารชื่อดังด้วยมูลค่าสูงถึง 28 พันล้านเหรียญ (เกือบ 9 แสนล้านบาท) ด้วยราคาที่คิดว่าเหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว 
	หากคิดตลาดหุ้นจะปรับลดลงในอนาคตอันใกล้ ก็เลือกถือเงินสดเพื่อลงทุนเมื่อราคาของกิจการที่ศึกษามาอย่างดีปรับตัวลดต่ำลง ทั้งนี้เพราะเมื่อหุ้นปรับตัวสูงขึ้นและก็ต้องปรับตัวลงได้เช่นกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร โดยเฉพาะช่วงเวลานี้ ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังพร้อมที่จะเพิ่มราคา “priced in” มากกว่าการพิจารณาเรื่อง “คุณค่า” มากขึ้นทุกวัน
[/size]



ตอบกลับโพส