อาชีพลงทุน/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

อาชีพลงทุน/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ ก.ค. 08, 2013 5:46 am

โค้ด: เลือกทั้งหมด

   ปัจจุบันมีหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนและมีเยาวชนสนใจที่จะลงทุนในหลักทรัพย์ต่างๆมากขึ้น รวมถึงมีตัวอย่างเรื่องราวของเยาวชนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนออกมามากมาย จนทำให้เกิดแนวโน้มอย่างหนึ่งที่ดิฉันอยากนำมาเขียนในวันนี้ คือ แนวโน้มที่จะยึดการลงทุนเป็นอาชีพ
   กลุ่มที่มีอาชีพลงทุน นอกจากผู้ที่เป็นผู้จัดการกองทุนทำหน้าที่บริหารเงินลงทุนให้กับลูกค้า ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.แล้ว ยังรวมถึงผู้ลงทุนกลุ่มหนึ่งที่ยึดรายได้จากการลงทุน เป็นรายได้หลัก ซึ่งคือกลุ่มที่จะเขียนถึงในวันนี้ค่ะ
   ส่วนตัวดิฉันไม่ส่งเสริมให้คนหนุ่มสาวยึดการลงทุนเป็นอาชีพตั้งแต่เริ่มทำงาน ด้วยเหตุผลหลายประการ  ประการแรก การให้เงินทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย ตัวเราจะสบายเกินไป จะทำให้ขี้เกียจค่ะ อายุยังน้อยควรจะต้องมีกิจกรรมเดินทางไปทำงาน ใช้แรงงานบ้าง ใช้สมองบ้าง มีกิจกรรมอื่นๆกับเพื่อนร่วมงานบ้าง
   ประการที่สอง การไม่ทำงานอาชีพอื่น ทำให้เราขาดปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ เช่น หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน หรือผู้ใต้บังคับบัญชา  เมื่อเราทำงาน เราจะทราบว่า มีอะไรหลายอย่างมากมายที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา และเราต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับเรื่องต่างๆ รวมถึงแก้ไขปัญหาต่างๆในการทำงานด้วย
   ประการที่สาม สังคมเราต้องการคนทำงานในอาชีพต่างๆที่หลากหลาย  ลองนึกภาพดูสิคะว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าทุกคนอยากเป็นนักลงทุนกันหมด เวลาไม่สบายก็ไม่มีหมอรักษา ไม่มีวิศวกร ไม่มีช่างก่อสร้าง ไม่มีผู้ผลิตสิ่งของต่างๆมาให้เราใช้ หรือรับประทาน  เศรษฐกิจที่เป็นภาคการผลิตและบริการที่แท้จริงก็จะหายไป และมีหลักฐานปรากฏหลายครั้งหลายคราว่า ประเทศที่พึ่งพาเศรษฐกิจจากภาคบริการการเงินในสัดส่วนสูงนั้น มีความอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ต่างๆในโลกมากกว่าประเทศที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีความสมดุล
   ดังนั้น เราจึงไม่ควรจะส่งเสริมให้เยาวชนหันมาเป็นนักลงทุนอาชีพกันมากๆ เพราะต้องให้มีผู้ที่ทำงานอยู่ในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงด้วยค่ะ
   การเรียนรู้เรื่องค่าของเงินและเรื่องการลงทุนตั้งแต่ยังเยาว์วัย เป็นเรื่องที่ดี แต่ทุกคนควรจะได้ทำงานในอาชีพที่ตนเองชอบและมีความถนัดด้วย ดังนั้นจึงอยากเห็นผู้ปกครองส่งเสริมบุตรหลานให้ได้เรียนและทำงานในสายงานที่ชอบ ส่วนการลงทุนนั้น ทำเป็นงานอดิเรกได้ค่ะ หรือเมื่อทำงานไป 20-30 ปี แล้วนึกอยากเป็นนักลงทุนอาชีพ ก็สามารถทำได้
   หันมาดูการทำงาน หรือการลงทุนระหว่างที่ยังศึกษาอยู่บ้าง  เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดิฉันได้รับเชิญให้ไปออกรายการ Business Talk ของกรุงเทพธุรกิจทีวี ในหัวข้อ“วัยรุ่นเงินล้าน” เป็นเรื่องราวของเยาวชนไทยที่สามารถทำงานและลงทุนจนมีเงินหนึ่งล้านบาทได้ตั้งแต่อายุ 20 ปี
	การที่วัยรุ่นมีความกระตือรือร้นที่จะทำงานหาเงินมาเพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของพ่อแม่นั้น เป็นเรื่องที่ดี และดิฉันก็เห็นวัยรุ่นไทยเราทำมากขึ้น  แต่ต้องอย่าลืมแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นด้วย เพื่อให้ชีวิตมีสมดุลนะคะ เป็นเยาวชนก็ควรสนุกกับชีวิต หากสนุกแล้วได้เงินด้วยก็ดี แต่อย่าจริงจังกับการหาเงินจนลืมความสดใสของวัย ลืมสนุกกับการเรียนรู้  
วัยรุ่นควรจะมีชีวิตแบบวัยรุ่น มีความสนุกสนานและมองโลกอย่างสดใส พอถึงวัยผู้ใหญ่ก็ค่อยมองโลกแบบผู้ใหญ่ค่ะ
	น้องนานิ หรือ นิจจรีย์ นิธินวกร เป็นวัยรุ่นไทยอีกคนหนึ่งที่น่าชื่นชมในความเก่งและกล้าแสดงออก เธอเติบโตเรียนหนังสือในต่างประเทศมาตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่ 3 ปัจจุบันจบปีที่ 1ของ มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกง (HKUST) เธอหาเงินและลงทุนได้หนึ่งล้านบาทตั้งแต่อายุ 19 ปี 6 เดือน และเธอก็ยังสามารถแบ่งเวลาทำกิจกรรม เล่นกีฬา และอื่นๆได้
	วัยรุ่นไทยหลายคนอาจจะอยากเลียนแบบ อยากจะฝากว่า การเปิดรับความคิด การเปิดโลกทัศน์ทำสิ่งใหม่ๆ อย่างที่น้องนานิทำ เป็นสิ่งที่ดี เพราะวัยรุ่นไทยยังมีความเป็นตัวของตัวเองน้อย  แต่อยากจะเตือนว่า ชีวิตคนเราไม่จำเป็นต้องเดินในรูปแบบเดียวกัน  
   น้องนานิมีความพร้อม เพราะเรียนอยู่ต่างประเทศ โปรแกรมการเรียนไม่แน่นมากเหมือนเด็กไทย และเมื่ออยู่หอพัก ไม่ว่าจะในต่างประเทศหรือในไทย ก็ไม่ต้องช่วยงานบ้าน หรือช่วยแบ่งเบาภาระธุรกิจของครอบครัวเหมือนเยาวชนไทยที่อยู่กับพ่อแม่ จึงมีเวลาที่จะทำกิจกรรมต่างๆมากกว่า
   สิ่งหนึ่งที่ดิฉันประทับใจในตัวน้องนานิคือ เธอมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง เด็กที่ได้ไปเรียนต่างประเทศจะมีคุณลักษณะอย่างนี้เกือบทุกคน เป็นที่น่าสงสัยว่าทำไมเราไม่สามารถทำให้เด็กที่เรียนในประเทศมีความเชื่อมั่นอย่างนั้นได้บ้าง
   เธอบอกว่าแต่ละคนต้องค้นหาตัวเอง ซึ่งจริงๆแล้วไม่ง่ายค่ะ  ดิฉันเคยเขียนเอาไว้ว่า ส่วนใหญ่กว่าจะทราบความชอบและความถนัดของตัวเองก็มักจะต้องทำงานไปประมาณ 3-4 ปี ใครสามารถค้นหาความชอบของตัวเองได้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบต้องถือว่าเก่งมาก  หลายคนทำงานไปเป็นสิบปี ยังค้นหาไม่พบเลยค่ะ
   ดิฉันเชื่อว่าผู้ปกครองควรให้บุตรหลานได้มีประสบการณ์ใหม่ๆ การเข้าโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะเปิดโลกทัศน์ โดยตัวดิฉันเองก็มีโอกาสนั้นเมื่อยังเป็นวัยรุ่น
   การสร้างโอกาสให้กับตนเองก็เป็นเรื่องที่สำคัญค่ะ การไปลองสอบชิงทุน การเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสา ไปทำงานในช่วงวันหยุดภาคฤดูร้อน ฯลฯ ล้วนแต่ทำให้เยาวชนได้มีโอกาสพบปะกันผู้คนที่หลากหลาย มีโอกาสได้สัมผัสปัญหา ได้ฝึกฝนการเข้าสังคม ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และได้เห็นโลกที่กว้างขึ้น
	ข้อมูลของเว็ปไซต์เกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กที่ดิฉันเคยแนะนำ www.familyeducation.com แสดงให้เห็นว่า การที่วัยรุ่นทำงานระหว่างเรียนมีข้อดีหลายอย่าง โดยมีการทดลองพบว่า กลุ่มที่ทำงานสัปดาห์ละประมาณ 10-15 ชั่วโมง มีผลการเรียนที่ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ทำงาน แต่หากทำมากเกินไปคือเกินกว่า 13-20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์จะมีคะแนนเรียนที่ลดลง และไม่มีเวลาทำกิจกรรมอื่นๆ ทั้งนี้ต้องอย่าลืมว่า โรงเรียนมัธยมในต่างประเทศมีชั่วโมงเรียนน้อยกว่าโรงเรียนไทยมากค่ะ
	นอกจากนี้ยังพบว่านอกจากเยาวชนจะสามารถนำเงินที่หาได้ไปซื้อข้าวของที่อยากได้แล้ว การทำงานระหว่างเรียนยังช่วยพัฒนาทักษะ ทำให้เยาวชนมีความมั่นใจ พัฒนาความรับผิดชอบ และทำให้รู้สึกเป็นอิสระมากขึ้นอีกด้วย
	ไม่ว่าจะทำอะไรก็ขอให้ทำแบบพอดีๆ เดินสายกลาง ไม่ทำมากหรือน้อยเกินไปนะคะ
[/size]



ตอบกลับโพส