โค้ด: เลือกทั้งหมด
ต้นสัปดาห์ที่แล้ว กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ ไอเอ็มเอฟได้ออกมาปรับลดการคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2556 จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 3.3% เหลือ 3.1% เท่ากับอัตราการเติบโตในปีที่แล้ว และยังปรับลดการคาดการณ์อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของปี 2557 จาก 4.0% เป็น 3.8%
การปรับการคาดการณ์นี้ไม่อยู่เหนือความคาดหมาย เพราะเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาที่ช่วยฉุดค่าเฉลี่ยของอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจให้สูงขึ้นในระหว่างที่เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มยูโรยังล้มลุกคลุกคลาน และเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกากำลังเริ่มฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมานั้น เติบโตในอัตราที่ชะลอลงนานกว่าที่คาดไว้ซึ่งเป็นผลจากสินเชื่อที่เติบโตช้ากว่าเดิมและเงื่อนไขทางการเงินที่ตึงขึ้นหากการหยุดกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐนำไปสู่การไหลกลับของเงิน
เกือบทุกประเทศถูกปรับลดการคาดการณ์อัตราเติบโต โดยสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะเติบโต 1.7% จากเดิมที่คาดไว้ 1.9% กลุ่มยูโรโซน -0.6% จากที่คาดว่า -0.4% จีน 7.8% จากเดิมคาดไว้ 8.1% อินเดีย 5.6% จากที่คาดไว้เดิม 5.8% ละตินอเมริกาคาดว่าจะโต 3% จากเดิมคาดไว้ 3.4% อาเซียน 5 ประเทศ คือ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย คาดว่าจะเติบโต 5.6% ในปีนี้ จากเดิมที่คาดไว้ 5.9%
แต่ท่ามกลางบรรดาประเทศต่างๆที่ถูกปรับลดการคาดการณ์อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจนั้น มีอยู่สามประเทศการคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจถูกปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ ญี่ปุ่น ที่คาดว่าจะเติบโต 2% ในปีนี้ จากเดิมคาดไว้ที่ 1.5% สหราชอาณาจักรที่คาดว่าจะเติบโต 0.9% จากเดิมที่คาดไว้ 0.6% และแคนาดา ที่คาดว่าจะเติบโต 1.7%. จากเกิมที่คาดไว้ 1.5%
ในเบื้องต้นนี้ต้องถือว่าญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องดูในระยะยาวเพราะนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ยังเห็นว่านโยบายแบบนี้ยังไม่เคยมีหลักฐานว่าประสบความสำเร็จในระยะยาว
มองเรื่องการใช้จ่ายของเคนญี่ปุ่นทั่วไปก็ยังไม่ถึงกับดีมากนัก ดิฉันสังเกตว่าคนญี่ปุ่นยังประหยัดกันอยู่มาก ความที่เศรษฐกิจซบเซาต่อเนื่องเป็นเวลา ทำให้เขาไม่กล้าหวังอะไรมาก สังเกตดูร้านขายของและห้างสรรพสินค้าก็ไม่ค่อยคึกคัก คนที่จับจ่ายซื้อของเยอะจะเป็นนักท่องเที่ยวจากเอเชียเสียมากกว่า
มีอยู่วันหนึ่งดิฉันต้องไปหาซื้อของ เดินไปเห็นห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ในย่านกินซ่าติดป้ายลดราคาจึงเดินเข้าไป เห็นคนแน่นมาก ไม่เข้าใจว่าทำไมคนจึงหลั่งไหลมาซื้อของกันมากมาย ในขณะที่ร้านอื่นๆค่อนข้างจะเงียบเหงา สอบถามพบว่าห้างนั้นกำลังจะปิดลงเพื่อทุบตึกทิ้ง และจะเปิดใหม่ในสี่ปีข้างหน้า และในวันที่ดิฉันไปนั้น เป็นหนึ่งในสามวันสุดท้ายที่ห้างจะเปิด
เขาลดราคาทุกชั้นทุกแผนก ตั้งแต่ 10 ถึง 70% คิวรอชำระเงินแต่ละจุดยาวถึง 60-70 คน แต่เขาก็อดทนรอกัน นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าคนญี่ปุ่นไม่รีบเร่งเท่าเดิม และยังใช้เงินอย่างประหยัด คือพร้อมจะซื้อแต่ขอซื้อของลดราคาค่ะ
กลับมาเรื่องเศรษฐกิจโลกต่อ แต่ละประเทศก็อยากให้เศรษฐกิจของตัวเองเติบโต เพราะการเติบโตจะมีความหมายว่ารายได้ของประชากรเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ดี ในระยะยาวแล้ว การเติบโตที่สม่ำเสมอจะดีกว่าเร่งโตแล้วฟุบค่ะ
เศรษฐกิจของประเทศที่รุ่งเรืองส่วนใหญ่จะมาจากฐานประชากรในวัยทำงานที่ใหญ่ และความรุ่งเรืองก็จะหมดไปเมื่อเข้าสู่สังคมประชากรสูงวัย ดิฉันเคยเขียนไว้เมื่อหลายปีก่อนว่า เมื่อดูตามโครงสร้างประชากรแล้ว ประเทไทยเราเอยู่ในช่วงที่ประชากรวัยทำงานมีสัดส่วนสูงที่สุดในปี 2553 และไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม ประเทศไทยของเราก็กำลังจะผ่านพ้นยุคที่มีประชากรวัยทำงานเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดไป
อย่างไรก็ดี อายุเฉลี่ยของประชากรก็สูงขึ้น สำหรับประเทศไทย ในปี 1991 หรือ พ.ศ.2534 ประชากรที่เกิดมีอายุขัยที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉลี่ย 72 ปี พอมาปี 2544 อายุขัยคาดการณ์เพิ่มขึ้นเป็น 73 ปี และในปี 2554 เพิ่มขึ้นเป็น 74 ปี ซึ่งเท่ากับมาเลเซีย
ขอยกตัวอย่างประเทศที่ประชากรมีอายุขัยคาดการณ์เมื่อแรกเกิด ณ ปี 2554 สูงกว่าไทยมาปรกอบเป็นข้อมูลให้ท่านพิจารณา เช่น จีน 73 ปี พม่า 65 ปี ฟิลิปปินส์ กับอินโดนีเซีย เท่ากันคือ 69 ปั สหรัฐอเมริกา 79 ปี อังกฤษ และเยอรมนี เท่ากันคือ 81 ปี ฝรั่งเศส 82 ปี ญี่ปุ่น สวิสเซอร์แลนด์ และฮ่องกง 83 ปี
หลายประเทศใช้นโยบายรับผู้อพยพเพื่อยืดช่วงเวลาของความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ หลายประเทศยืดอายุการเกษียณงานเมื่อประชากรมีอายุยืนขึ้น แต่นโยบายเหล่านี้ต้องทำด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง คิดให้ถี่ถ้วนและคิดให้ครบทุกด้าน เพราะจะไม่เป็นการยุติธรรมต่อประชากร หากต้องทำงานจนวาระสุดท้ายของชีวิต หรือหลังเกษียณมีชีวิตที่อิสระได้เพียงไม่กี่ปี
สำหรับการรับผู้อพยพนั้น ดิฉันเห็นว่ามีนโยบายดีกว่าไม่มีนโยบาย เพราะหากมีนโยบาย เราจะสามารถคัดเลือกประชากรที่มีคุณสมบัติและคุณภาพที่เราต้องการได้ แบบที่สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียใช้ แต่หากไม่มีนโยบาย จะมีการลักลอบและสวมชื่อเกิดขึ้นมากมายแบบที่เกิดขึ้นในบ้านเรา และคุณภาพของผู้อพยพก็จะไม่ได้ตามที่เราอยากเห็น
มีคนอยากอยู่เมืองไทยเยอะ ทั้งชาวตะวันตกที่หลงใหลในอากาศที่อุ่นสบาย อาหารการกินที่อุคมสมบูรณ์ ค่าครองชีพไม่สูง ผู้คนเป็นมิตร ดังนั้นเราต้องรู้คุณค่าของประเทศของเรา และวางแผนอนาคตของเรา
