โค้ด: เลือกทั้งหมด
บทความ Value Way กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 16 กันยายน 2556
โดย ประภาคาร ภราดรภิบาล
พี่สาวของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์”
ถ้าเอ่ยชื่อ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ผู้อ่านที่ติดตามคอลัมน์นี้มานานคงคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ถ้าเอ่ยถึง “ดอริส บัฟเฟตต์” ซึ่งเป็นพี่สาวของเขา คิดว่าหลายคนอาจจะไม่รู้จักและไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
“วอร์เรน บัฟเฟตต์” นั้นเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในฐานะที่เป็น “นักลงทุนระดับแนวหน้าของโลก” ที่สามารถสร้างผลตอบแทนในการลงทุนได้อย่างยอดเยี่ยม และเป็น “อภิมหาเศรษฐี” ที่ติดทำเนียบบุคคลร่ำรวยที่สุดในโลกอันดับต้นๆ ต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว นอกจากนี้เขายังเป็น “ผู้ให้” ที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
ในปี ค.ศ. 2006 เขาบริจาค 85% ของหุ้นส่วนทั้งหมดที่เขาถืออยู่ในบริษัท “เบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์” ให้กับการกุศลโดยผ่านมูลนิธิของ “บิล เกตส์” เป็นมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านเหรียญ โดยจะทยอยบริจาคให้ปีละ 5% ต่อเนื่องไปทุกๆปี บริจาคให้กับมูลนิธิ “Susan Thompson Buffett” ของภรรยาผู้ล่วงลับ เป็นมูลค่า 3 พันล้านเหรียญ และบริจาคให้กับมูลนิธิของลูก 3 คนๆ ละ 1 พันล้านเหรียญ รวมมูลค่าการบริจาคทั้งสิ้น 3 หมื่น 7 พันล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นการบริจาคเพื่อการกุศลที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์
ไม่เพียงเท่านั้น “บัฟเฟตต์” ยังร่วมกับ “บิล เกตส์” ออกเดินสายเพื่อรณรงค์ให้มหาเศรษฐีทั่วโลกช่วยกันบริจาคทรัพย์สินให้กับการกุศล รวมทั้งยังเป็นผู้เสนอแนวความคิดให้มีการจัดเก็บภาษีคนรวยในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นด้วย และในวาระครบรอบวันเกิดปีที่แล้ว “บัฟเฟตต์” ยังได้บริจาคหุ้นเพิ่มเติมให้กับมูลนิธิของลูกๆ ทั้งสาม เพิ่มอีกคนละ 12.2 ล้านหุ้น รวมเป็นมูลค่ากว่า 3 พันล้านเหรียญ
การบริจาคในวาระต่างๆ ข้างต้นนั้น “บัฟเฟตต์” บอกว่า ถ้าหากวัดเป็นตัวเงินแล้ว อาจมีมูลค่ามากมาย แต่เขาเห็นว่า มีคนเป็นล้านๆ คนที่แม้ไม่ได้ร่ำรวยมหาศาล แต่บริจาคเงินให้โบสถ์ โรงเรียน และองค์กรอื่นๆ แทนที่จะเอาเงินนั้นไปใช้จ่ายในครอบครัว หรือใช้เพื่อความสุขสบายส่วนตัว ตรงกันข้าม “บัฟเฟตต์” มองว่าครอบครัวของเขาไม่ได้มีอะไรขาดหายไปเลย แม้จะหยิบยื่นทรัพย์สินถึง 99% ให้กับสาธารณะ และที่สำคัญ เขายังไม่ได้บริจาคสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต ซึ่งก็คือ “เวลา” ในขณะที่คนจำนวนมากได้ใช้ทั้งเวลาและความสามารถเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น “การให้” ในลักษณะนี้มีค่ายิ่งกว่าเงินทอง การบริจาคของเขาจึงถือว่าเล็กน้อยเหลือเกิน ยังมีผู้คนอีกมากที่มีความเป็น “ผู้ให้” มากกว่าเขา และหนึ่งในนั้นก็คือ “ดอริส บัฟเฟตต์” พี่สาวของเขานั่นเอง
“บัฟเฟตต์” กล่าวถึง “ดอริส” ว่า “พี่สาวของผมเป็นมากกว่าคนใจบุญทั่วไป บางคนช่วยเหลือผู้อื่นด้วยการเขียนเช็คบริจาคเงินจำนวนมาก บางคนช่วยเหลือผู้อื่นด้วยการทุ่มเทเวลาอย่างเต็มที่ แต่ดอริสทำทั้งสองอย่าง”
ปัจจุบัน “ดอริส” อายุ 85 ปี มีมูลนิธิของตัวเองชื่อว่า “Sunshine Lady Foundation” ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ตั้งขึ้นมาในปี ค.ศ. 1996 ด้วยเงินบริจาคส่วนตัวของเธอจำนวน 100 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกทารุณกรรม, เด็กยากไร้, ผู้ป่วยอนาถา และผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา เป็นต้น “บัฟเฟตต์” เองก็ได้บริจาคเงินผ่านมูลนิธิของเธออยู่เป็นประจำ
ว่ากันว่าแต่ละปี “บัฟเฟตต์” ได้รับจดหมายที่เขียนมาเพื่อขอเงิน หรือขอความช่วยเหลือนับหมื่นฉบับซึ่งส่งมาจากทั่วทุกมุมโลก แต่ตัวเขาเองไม่ค่อยมีเวลาอ่าน จึงส่งต่อไปให้ “ดอริส” ซึ่งเธอและเจ้าหน้าที่มูลนิธิจะทำหน้าที่อ่านจดหมายและคัดเลือกผู้ที่ควรได้รับความช่วยเหลือ จากนั้นจะโทรศัพท์หรือติดต่อโดยตรงไปยังผู้ที่เขียนจดหมายขอความช่วยเหลือ เพื่อพูดคุยสอบถามหรือตรวจสอบหลักฐานให้แน่ใจว่าเป็นผู้ที่เดือดร้อนจริงๆ และเพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือตามความเหมาะสม
การทำงานของมูลนิธิของ “ดอริส” ถูกเรียกว่าเป็น “Retail Philanthropist” ซึ่งเป็นการให้ความช่วยเหลือโดยตรงไปถึงมือผู้ที่เดือดร้อนแบบ “ตัวต่อตัว” อย่างแท้จริง ซึ่งต้องอาศัยทั้งเวลาและความพยายามในการทำงานไม่น้อย แต่ “ดอริส” ภาคภูมิใจและมีความสุขกับการทำงานของเธออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“บัฟเฟตต์” กล่าวว่า “ผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ดอริสก้าวมาบนเส้นทางสายนี้ เป็นเพราะเธอ และน้องสาว-เบอร์ตี้ รวมทั้งตัวผม ได้เรียนรู้มาจากบุคคลที่ยอดเยี่ยม นั่นก็คือคุณพ่อของพวกเรา โฮเวิร์ด บัฟเฟตต์ และสิ่งที่ดอริสทำอยู่นี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณพ่อภูมิใจอย่างแน่นอน”