โค้ด: เลือกทั้งหมด
ผู้ติดตามคอลัมน์ของดิฉันคงพอทราบว่าดิฉันเป็นแฟนพันธุ์แท้ของญี่ปุ่น ข่าวกรุงโตเกียวได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิคในปี ค.ศ. 2020 จึงทำให้ดิฉันดีใจ ไม่ใช่ดีใจว่าอยู่ใกล้ อาจจะมีโอกาสได้ไปชมการแข่งขันอย่างเดียว แต่ดีใจว่าน่าจะช่วยให้ประเทศญี่ปุ่นสร่างไข้จากพิษเศรษฐกิจที่เป็นเรื้อรังมากว่าสิบปี
ญี่ปุ่นมีพื้นที่ 377,915 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 73% ของพื้นที่ประเทศไทย ขนาดเล็กกว่ามลรัฐแคลิฟอร์เนีย เล็กน้อย มีประชากร 127.25 ล้านคน มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีจักรพรรดิเป็นประมุข สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ ทรงเป็นพระประมุขตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม พ.ศ.2532 เป็นต้นมา รัฐธรรมนูญปัจจุบันคือฉบับที่ใช้มาตั้งแต่ 3 พฤษภาคม พ.ศ.2490 (ก็สามารถเจริญรุ่งเรืองเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกได้โดยไม่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญบ่อยๆ)
ญี่ปุ่นแบ่งการปกครองเป็น 47 จังหวัด (Prefecture) จุดสูงที่สุดคือยอดภูเขาไฟฟูจิ สูง 3,776 เมตร โดยภูเขาไฟฟูจิเพิ่งได้รับยกย่องเป็นมรดกโลกโลกทางวัฒนธรรม จากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) เมื่อเดือน มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมานี้เอง
ญี่ปุ่นมีขนาดของเศรษฐกิจในปี 2555 วัดโดยจีดีพีเท่ากับ 5.964 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 190 ล้านล้านบาท มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 4 รองจาก สหรัฐอเมริกา จีน และอินเดีย ซึ่งเพิ่งแซงญี่ปุ่นได้ในปี 2555
ญี่ปุ่นเป็นผู้ส่งออกอันดับ 5 ของโลก โดยมียอดส่งออกในปี 2555 ประมาณ 773,900 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 23.5 ล้านล้านบาท ตลาดสำคัญที่ส่งออกคือ จีน 18% สหรัฐอเมริกา 17.7% เกาหลีใต้ 7.7% ไทย 5.5% (ส่วนใหญ่เป็นการส่งมาเพื่อผลิตสินค้าส่งออกอีกทอดหนึ่ง) และฮ่องกง 5.1%
คาดว่าการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิค จะทำให้ญี่ปุ่นต้องลงทุนถึงประมาณ 455,000 ล้านเยน หรือประมาณ 145,600 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น สนามกีฬาแห่งใหม่ แม้ว่าญี่ปุ่นมองว่าจะสามารถใช้สนามเดิมที่เคยสร้างไว้ตั้งแต่สมัยเป็นเจ้าภาพโอลิมปิคในครั้งก่อนเมื่อปี 1964 หรือ พ.ศ. 2507 ได้บางส่วนก็ตาม
นักวิเคราะห์บางคนมองว่าการได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิค จะยิ่งทำให้รัฐบาลญี่ปุ่น“กระเป๋าฉีก” มากขึ้น ตอนนี้ญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะคิดเป็นสัดส่วนของจีดีพี สูงที่สุดในโลก คือ ประมาณ 214% ถ้าต้องลงทุนสร้างสนามและสิ่งต่างๆ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิคอีก หนี้สาธารณะคงจะยิ่งสูงขึ้น
ญี่ปุ่นก็รู้ตัวดีค่ะ ว่าหนี้ของตัวเองสูงกว่ากรีซเสียอีก แต่ความที่เจ้าหนี้ส่วนใหญ่เป็นสถาบันในประเทศ จึงมีความเสี่ยงน้อยลง เพราะโอกาสที่จะมีการดึงเงินกลับจะมีน้อยกว่ากรณีกู้เงินจากต่างประเทศจำนวนมาก ดังเช่นที่เกิดขึ้นในกรีซ
รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจที่จะทำการลดหนี้ลง โดยส่วนหนึ่งของแผนการก็คือการปรับเพิ่มภาษีการบริโภค จากอัตรา 5% เป็น 8% ในเดือนเมษายนปีหน้า (เลื่อนไปจากแต่เดิมที่จะปรับในเดือนตุลาคมปีนี้และปรับอีกครั้งในเดือนเมษายนปี 2557 ให้เป็น 10%)
นอกจากนี้ ยังได้ข่าวว่ามีการศึกษาและเตรียมการที่จะขายทรัพย์สินบางส่วนใน 2-3 ปีข้างหน้า เพื่อลดภาระหนี้ด้วยเช่นกัน เพราะรัฐบาลยังมีทรัพย์สินอยู่มาก ทรัพย์สินของรัฐนอกจากจะเป็นที่ทำการต่างๆแล้ว ยังเป็นเงินลงทุนในรัฐวิสาหกิจต่างๆอีกมาก แต่จะมีใครออกมาประท้วงหรือไม่ ยังไม่ทราบค่ะ
พอข่าวผลการคัดเลือกประเทศเจ้าภาพโอลิมปิคออกมา หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นก็ปรับตัวขึ้นไปกันใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นในหมวดก่อสร้างและค้าปลีกที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากงานนี้
กลุ่มที่มองว่าการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิคจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจนี้ มองไปถึงว่าเป็นธนูดอกที่สี่ที่จะช่วยให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นฟื้นตัวเลยทีเดียว
ธนู 3 ดอกของนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ ที่จะช่วยกอบกู้เศรษฐกิจญี่ปุ่นประกอบด้วย นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลังที่ยืดหยุ่น และกลยุทธ์การเติบโตเพื่อช่วยภาคเอกชน
ซึ่งตั้งแต่เริ่มใช้มาทำให้ค่าเงินเยนอ่อนไปประมาณ 30-33% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ และประมาณ 16-25% เมื่อเทียบกับเงินบาท (ขึ้นอยู่กับว่าเปรียบเทียบในช่วงใด) นักท่องเที่ยวชาวไทยต่างยิ้มกันโดยถ้วนหน้า สินค้าญี่ปุ่นก็ขายดีขึ้นในตลาดโลก
นักวิเคราะห์จากค่ายโนมูระมองว่า คนอาจจะตื่นเต้นเกินกว่าเหตุ เพราะคาดว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับโอลิมปิคนั้น จะทำให้จีดีพี ปรับเพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 0.5%เท่านั้น
สำหรับประเทศในเอเชียอื่นๆที่มีการเติบโตในอัตราสูงอาจจะไม่เห็นว่ามากมาย แต่สำหรับประเทศที่เศรษฐกิจย่ำอยู่กับที่ แทบจะไม่เติบโต อัตราเงินเฟ้อแทบจะไม่มี แถมยังมีเงินฝืดเป็นระยะๆ เป็นเวลาสิบกว่าปีอย่างญี่ปุ่น 0.5% ย่อมมีความหมาย
เมื่อญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพโอลิมปิคในปี 1964 นั้น ญี่ปุ่นได้แสดงศักยภาพให้โลกเห็นว่าเป็นประเทศอุตสาหกรรมอย่างเต็มขั้น จากช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นบอบช้ำไปมากมาย ญี่ปุ่นตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาศักยภาพของตัวเอง โดยรัฐบาลได้ร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมในการสร้างเทคโนโลยีชั้นสูง ประกอบกับการที่คนญี่ปุ่นมีวินัยดีมาก และวัฒนธรรมการจ้างงานตลอดชีพ ทำให้เกิดความต่อเนื่องและมั่นคง จนสามารถเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำได้ภายในเวลา 20 ปี
ญี่ปุ่นมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 10% ในทศวรรษ 1960 เฉลี่ย 5%ในทศวรรษ 1970 เฉลี่ย 4% ในทศวรรษ 1980 แต่ลดลงมาเหลือเฉลี่ยเพียง 1.7% ในทศวรรษ 1990 สาเหตุจากการลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพและฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก ส่งผลให้วัฒนธรรมการจ้างงานตลอดชีพหมดไป มีการเลิกจ้างและย้ายสถานที่ทำงานเหมือนโลกตะวันตก ในช่วงทศวรรษ 2000 ญี่ปุ่นพอเติบโตได้บ้างแต่ก็มีถดถอยเป็นระยะๆโดยเฉพาะหลังวิกฤติเศรษฐกิจที่เริ่มด้วยการล้มของเลแมนบราเดอร์ส์ในปี 2008 เพราะลูกค้านำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นน้อยลง และเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นอย่างมาก และยังถูกซ้ำเติมด้วยภัยสึนามิในปี 2011
นักวิเคราะห์กล่าวว่า โอลิมปิคครั้งนี้ น่าจะเป็นงานที่ญี่ปุ่นแสดงให้โลกเห็นว่า เศรษฐกิจของญี่ปุ่นกลับมาอยู่ในสภาวะที่ปกติแล้ว
คอยติดตามกันดูนะคะ ดิฉันหวังว่าญี่ปุ่นจะประกาศได้ในอีกไม่นาน ไม่ต้องรอนานถึงปี 2020 ที่จะจัดโอลิมปิคเพราะตั้งแต่ยกเลิกวีซ่าคนไทย ดิฉันเห็นนักท่องเที่ยวชาวไทยหลั่งไหลไปเที่ยวญี่ปุ่นกันอย่างมาก
“มาตะอะอิมาโช” แล้วพบกันสัปดาห์หน้าค่ะ