โค้ด: เลือกทั้งหมด
ในช่วง 19-20 กันยายน ธนาคารแห่งประเทศไทยได้จัดสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง “วางรากฐานสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนทางเศรษฐกิจไทย”ซึ่งมีบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจและทำให้ผมคิดตาม เพื่อทบทวนความคิดว่าการขยายตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจนั้นมีปัจจัยสำคัญอะไรบ้างซึ่งผมมีข้อสรุปดังนี้
1. การยึดโยงกับกลไกตลาดเสรี ประสบการณ์ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมาหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นบทพิสูจน์ว่าการปล่อยให้กลไกตลาดเสรีขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจนั้นมีประสิทธิภาพสูงกว่ากลไกอื่นๆ เช่น การที่เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวอย่างต่อเนื่องในขณะที่เศรษฐกิจสหภาพโซเวียตต้องล่มสลาย ระบบเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการควบคุมจากรัฐบาลหรือองค์กรส่วนกลาง (แทนการกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจตามกลไกตลาดเสรี) แม้จะมีเจตนารมณ์ดี (เพื่อมิให้มีการเอาเปรียบกันและลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน) แต่ก็ไม่สามารถนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เศรษฐกิจโดยรวมและประชาชนอย่างถ้วนหน้าได้ ตัวอย่างใกล้ตัวของเรา เช่น ประเทศพม่าและไทย พม่ายึดระบบสังคมนิยมแบบพม่า โดยหวังจะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างเป็นธรรม ขณะที่ไทยนั้นกล่าวได้ว่าปล่อยให้เศรษฐกิจพัฒนาโดยการชี้นำอย่างกว้างๆ เวลาผ่านมา 50 ปีก็เห็นได้ชัดว่าเศรษฐกิจไทยเจริญกว่าเศรษฐกิจพม่ามาก ไกลตัวออกไปเราก็เห็นความแตกต่างในความเจริญระหว่างประเทศที่ยึดโยงกับระบบสังคมนิยม เช่น เกาหลีเหนือและเยอรมันตะวันออกกับความสำเร็จทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้และเยอรมันตะวันตก
2. ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ กลไกตลาดเสรีดังกล่าวข้างต้นนั้นเป็นหัวใจหลักของระบบทุนนิยมโดยวิสัยทัศน์ของอดัม สมิทธ์ ซึ่งอธิบายว่าการปล่อยให้ประชาชนต่างคนต่างทำมาหากินโดยเสรีเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง (persuit of self interest) นั้น กลับส่งผลให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวมเสมือนกับมีมือที่มองไม่เห็นมากำกับให้สร้างผลประโยชน์ให้กับส่วนรวม กล่าวคือผู้บริโภคพยายามแสวงหาสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์กับตัวเองในราคาย่อมเยา เป็นการกดดันให้ผู้ผลิตพยายามแสวงหาความชำนาญและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ได้มาซึ่งผลผลิตที่ผู้บริโภคต้องการ ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ข้อคิดของอดัม สมิทธ์ นำไปสู่ข้อสรุปว่า เศรษฐกิจไม่ต้องถูกกำกับและชี้นำโดย “ผู้รู้” เพียงไม่กี่คนที่มีอำนาจ กล่าวคือเป็นการผลักดันให้เกิดระบบประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ในยุคที่ก่อนหน้านั้นระบบเศรษฐกิจจะถูกกำกับโดยผู้ที่มีอำนาจไม่กี่คนหรือไม่กี่ครอบครัวที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง
3. Risk-taking หรือ “กล้าได้ อายอด” ทำไมการกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจให้กับ “ชาวบ้าน” จึงทำให้เศรษฐกิจเจริญได้? คำตอบจากการพลิกดูประวัติศาสตร์คือความกล้าได้กล้าเสียของมนุษย์และการตอกย้ำว่าระบบทุนนิยมนั้นเป็นระบบ “กล้าได้ อายอด” (risk-taking) กล่าวคือกลไกตลาดเสรีเปิดโอกาสให้คนกล้าเสี่ยง และเมื่อเสี่ยงแล้วล้มเหลวก็เป็นเคราะห์ของผู้เสี่ยงและก็จะถูกลืมโดยประวัติศาสตร์ แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จแม้จะมีน้อยรายก็จะถูกจารึกในประวัติศาสตร์เพราะจะเป็นผู้ที่บุกเบิกสำเร็จ ทำให้ตัวเองมีชื่อเสียงและร่ำรวย ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวย่างก้าวกระโดดและเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เช่น Bill Gates, Steve Jobs, Thomas Edison (หลอดไฟ) และ Andrew Carnegie (ผลิตเหล็กกล้าราคาถูก) เป็นต้น ประเด็นคือระบบทุนนิยมส่งเสริมให้กล้าเสี่ยง และการเปิดโอกาสให้เสี่ยงนั้นเป็นตัวกระตุ้นนวัตกรรม (innovation) ที่มีพลังอย่างมาก ซึ่งระบบสังคมนิยมที่มีรัฐมากำกับควบคุมและระบบราชการซึ่งไม่รู้ว่าจะกล้าเสี่ยงไปทำไมเพราะหากเสี่ยงและสำเร็จก็จะไม่ได้ผลกำไรและหากประสบความล้มเหลวก็จะกลายเป็นผลเสีย ที่ขยายความตรงนี้ก็เพราะปัจจุบันเราพูดถึง innovation กันมาก แต่มักจะคิดว่าต้องอิงให้ภาครัฐมากำกับและกระตุ้นเป็นหลัก ซึ่งผมเห็นว่าความกล้าได้กล้าเสียและกล้าได้อายอดเป็นตัวขับเคลื่อนที่มีศักยภาพมากกว่า
4. การคุ้มครองทรัพย์สิน กฎหมาย และการเก็บภาษี กลไกตลาดเสรีและระบบทุนนิยมนั้นจะขับเคลื่อนไม่ได้เลยหากไม่มีการคุ้มครองทรัพย์สินทั้งหมดอย่างรัดกุม ทั้งนี้ รวมถึงทรัพย์สินทางปัญญาด้วย เพราะหากผู้ประกอบการประสบความสำเร็จในการสร้างธุรกิจขึ้นมาแล้วทรัพย์สินถูกยึดโดยรัฐหรือผู้มีอิทธิพลอื่นๆ ได้ ก็ย่อมจะไม่มีใครกล้าเสี่ยง ทั้งนี้การคุ้มครองทรัพย์สิน หมายถึงการมีกฎหมายที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการชี้ขาดเมื่อมีความขัดแย้งทางธุรกิจด้วย (timing adjudication) ในประเทศไทยนั้นเราเคยเห็นกรณีที่ภาคเอกชนสร้างทางด่วนแล้วพยายามจะปรับราคาค่าผ่านทางด่วนแต่ถูกรัฐบาลคัดค้านไม่ยอมให้ขึ้น หรือผู้ประกอบการต้องการปรับขึ้นราคาสินค้าเพราะต้นทุนสูงขึ้นแต่รัฐบาลไม่ยอม ซึ่งย่อมเป็นการบั่นทอนความกล้าเสี่ยงและกล้าลงทุนของเอกชนทั้งสิ้น เพราะเป็นเสมือนกับการลดทอนการคุ้มครองทรัพย์สินและความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการทั้งสิ้น
5. การส่งเสริมนวัตกรรมและประสิทธิภาพให้สมดุลกับการหลีกเลี่ยงการผูกขาด หลักการของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาโดยลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร หรือเครื่องหมายการค้า คือการให้สิทธิพิเศษในการผูกขาดชั่วคราวเพื่อกระตุ้นให้เกิดการค้นคว้าวิจัยและนวัตกรรม แต่ประเทศกำลังพัฒนานั้นมักจะไม่สนับสนุนการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เพราะต้องการลอกเลียนมาใช้ประโยชน์มากกว่าโดยเฉพาะเรื่องยา โดยมักจะกล่าวอ้างว่าหากคุ้มครองสิทธิบัตรยาก็จะทำให้ยาราคาแพงจนคนไทยไม่สามารถซื้อได้ ซึ่งหาก Steve Jobs เกิดมาเป็นคนไทยก็คงจะไม่ได้คิดค้น i-phone และ i-pad เพราะคงจะไม่มั่นใจว่าสิ่งประดิษฐ์ของเขาจะได้รับการคุ้มครอง ในทางตรงกันข้ามความร่ำรวยที่เกิดขึ้นกับบางครอบครัวในประเทศกำลังพัฒนานั้น จะเห็นว่ามักได้มาจากการผูกขาดสัมปทานของรัฐ ซึ่งเป็นการให้ความคุ้มครองทรัพยากรที่มีค่า (ที่ไม่ใช่ทรัพย์สินทางปัญญา) ประเด็นคือจะต้องมีการจัดระบบกฎหมายและกฎเกณฑ์ให้เกิดความสมดุลระหว่างการส่งเสริมความสำเร็จกับการป้องกันมิให้เกิดการผูกขาด เพราะหากคุ้มครองจนทำให้เกิดการผูกขาดก็จะทำให้เกิดการเอาเปรียบผู้บริโภคและกีดกันคู่แข่งรายใหม่ ซึ่งเป็นการทำลายระบบตลาดเสรี
6. วิทยาศาสตร์และการลงทุนเป็นคำตอบสุดท้ายของความเจริญทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์นั้นนอกจากจะทำให้ประเทศตะวันตกสามารถ “เอาชนะ” ประเทศอื่นๆ ได้แล้วยังเป็นปัจจัยหลักของการขับเคลื่อนพัฒนาการทางเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้มีส่วนประกอบสำคัญคือระบบตลาดเสรีที่เปิดให้คนกล้าเสี่ยงทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์เพื่อลงทุนให้เกิดสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและให้ผลกำไรงามกับผู้เสี่ยง ซึ่งหากแยกแยะปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว (growth accounting) จะสรุปได้ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจนั้นเป็นผลหลักมาจากการลงทุนเพิ่ม ทั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตโดยตรงแล้ว ในทางอ้อมเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็แฝงอยู่ในเครื่องจักรรุ่นใหม่อีกด้วย กล่าวคือการลงทุนคือการปรับเครื่องจักรให้ทันสมัยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นการเพิ่มผลิตภาพที่เป็นส่วนเกิน (residual) จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณเครื่องจักรและปริมาณแรงงาน นอกจากนั้นก็ยังสามารถสรุปได้ว่าการลงทุนในการศึกษานั้นก็ให้ผลตอบแทนสูงที่มีนัยสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจเช่นกัน
ข้อสรุปคือการมีกลไกตลาดเสรีเปิดโอกาสให้กล้าเสี่ยงและมีการคุ้มครองทรัพย์สินและระบบกฎหมายที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการลงทุนทั้งในส่วนของเครื่องจักรและคนโดยหลีกเลี่ยงการผูกขาดที่ปิดกั้นคู่แข่งรายใหม่นั้นเป็นส่วนประกอบสำคัญในทางพัฒนาเศรษฐกิจในความเห็นของผม ทั้งนี้ส่วนที่คนมักจะมองข้ามคือระบบเศรษฐกิจเสรีที่ตอบแทนผู้ที่กล้าเสี่ยงโดยการคุ้มครองทรัพย์สินและกำไรของผู้ที่เสี่ยงแล้วประสบความสำเร็จครับ
ที่มา นสพ.กรุงเทพธุรกิจ 30/9/56