โค้ด: เลือกทั้งหมด
ศิษยานุศิษย์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ได้จัดพิมพ์หนังสือ “แสงส่องใจ” ซึ่งรวบรวมคำสอนที่สมเด็จพระสังฆราชฯทรงประทานให้กับพสกนิกรทั่วไป โดยจัดพิมพ์ 11 อันดับ เมื่อ 3 ตุลาคม 2536ในวโรกาสที่สมเด็จพระสังฆราชทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษา
ดิฉันได้รับประทานหนังสือ “แสงส่องใจ” เมื่อครั้งเข้าเฝ้ารับประทานพระพุทธรูป“นิรันตราย” ในปี 2538 จึงขอนำคำสอนในหนังสือ “แสงส่องใจ”หลายๆเล่ม มาแสดงในสัปดาห์นี้ เพื่อน้อมรำลึกในพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระสังฆราชฯ ที่ทรงมีต่อชาวไทย และเพื่อเผยแพร่ให้เป็นประโยชน์ในวงกว้างขึ้น
พระองค์ทรงกล่าวถึง “กิเลส” ซึ่งเป็นเหตุหลักของความวุ่นวายและปัญหาต่างๆ และการละทิ้งกิเลสเป็นหนทางแห่งการดับทุกข์ นอกจากนี้ยังทรงเน้นการปรับปรุงตนเอง
“ผู้ที่เป็นคนดี ย่อมสามารถนำตนไปสู่ความดีงามต่างๆได้ นำตนไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ และสามารถนำผู้อื่นไปสู่ความดีงามต่างๆได้ นำผู้อื่นไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ด้วย ท่านจึงกล่าวว่า ตนที่ฝึกดีแล้วเป็นแสงสว่างเป็นเครื่องส่องทาง เป็นเครื่องนำชีวิต เป็นเครื่องยังชีวิตให้สว่าง ถ้าต้องการเป็นแสงสว่างทั้งของตนเองและของผู้อื่น ก็ต้องฝึกตนให้เป็นคนดี ไกลความโลภโกรธหลงให้มากที่สุด”
“กิเลสคือโลภะโทสะโมหะ หรือความโลภความโกรธความหลง เป็นเครื่องเศร้าหมอง มีอยู่ที่ใดย่อมทำให้ที่นั้นเศร้าหมอง มีอยู่ใกล้ผู้ใดย่อมทำให้ผู้นั้นเศร้าหมอง เปรียบดังฝุ่นละออง จับต้องเข้าที่ใดสิ่งใด ย่อมทำที่นั้นสิ่งนั้นให้หมองมัว กิเลสจึงเป็นสิ่งที่ควรหลีกให้ไกล”
“...ความทุกข์ความร้อนที่เกิดแก่โลกให้รู้ให้เห็นประจักษ์อยู่คือกระจกส่องให้เห็นความหนาแน่นของกิเลสที่เข้าห้อมล้อมจิตใจผู้คนทั้งหลาย การจะทำความทุกข์ความร้อนให้บรรเทาเบาบางห่างจากโลกไปจึงอยู่ที่ต้องทำใจตนเองของแต่ละคนให้มีกิเลสเข้าครอบคลุมน้อยที่สุด เบาบางที่สุด...
...คนมีกิเลสห่อหุ้มใจมากจะเป็นคนดีไม่ได้พึงสำนึกในความจริงนี้ และรู้จักตนเองให้ถูกต้อง เพื่อจะได้ปรับปรุงตนเองให้เป็นคนดีให้ได้...”
“ทุกคนจะดีหรือชั่วสำคัญที่ตนเอง ตนเองมีความดีพอจะยอมรับความไม่ถูกต้องไม่ดีงามของตนย่อมยินดีฝึกตน ย่อมยินดีแก้ไขตน ย่อมมีโอกาสเป็นคนดียิ่งขึ้น”
“แม้เป็นบุถุชน ยังไม่ไกลกิเลส แต่บุถุชนก็สามารถเป็นนายของกิเลสได้ ไม่ยอมให้กิเลสเป็นนายได้...”
“ความโลภโดยไม่มีขอบเขตนั้นเป็นทุกข์หนักนัก ตนเองทุกข์เพราะความโลภอยากได้ แล้วก็แผ่ความทุกข์เดือดร้อนไปถึงคนอื่นอย่างน่าอเนจอนาถ ถ้าร้อนเพราะความอยากได้ไม่สิ้นสุด จะไม่สามารถดับความทุกข์นั้นได้ด้วยวิธีลักขโมยหรือประหัตประหารชีวิตผู้ใด แต่จะดับทุกข์นั้นได้แน่นอนด้วยทำกิเลสให้หมดจดเท่านั้น”
“การแก้ความวุ่นวายทั้งหลายนั้น ที่ถูกแท้จะให้ผลจริง ต้องต่างคนต่างพร้อมใจกันแก้ที่ตัวเองเท่านั้น พร้อมใจกันและแก้ที่ตัวเองเท่านั้นที่จะให้ผลสำเร็จได้จริง”...
“ควรพยายามทำความเชื่อให้แน่นอนมั่นคงเสียก่อน ว่าการแก้ที่ตนเองนั้นสำคัญที่สุด ต้องกระทำกันทุกคน ผลดีของส่วนรวม ของชาติ ของโลกจึงจะเกิดขึ้นได้”...
“ความสำคัญที่สุดอยู่ที่ว่าต้องพยายามทำความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นเสียก่อน ว่ากิเลสทำให้เกิดทุกข์จริง...”
“..ต้องเชื่อพระพุทธเจ้า ท่านทรงสอนให้เตือนตนแก้ไขตน ก่อนจะเตือนผู้อื่นแก้ไขผู้อื่น”
เรื่องเกี่ยวกับการทำความดี การปฏิบัติธรรม และการมีปัญญา:
“การทำดีหรือทำบุญกุศลที่จะส่งผลสูงสุดต้องเป็นการทำด้วยใจว่างจากกิเลส คือความโลภโกรธหลง ความผูกพันในผลที่จะได้รับเป็นทั้งความโลภและความหลง จึงไม่อาจให้ผลสูงสุดได้...”
“อุเบกขาหมายถึงการวางใจเป็นกลาง วางเฉยไม่ยินดียินร้าย จึงไม่หวั่นไหวด้วยความยินดีหรือความยินร้าย หวั่นไหวเพราะความยินดีแม้มากย่อมเป็นเหตุให้ฟุ้ง หวั่นไหวเพราะความยินร้ายแม้มากย่อมเป็นเหตุให้เครียด...”
“อุเบกขาเป็นยอดของพรหมวิหารธรรม เมตตากรุณาเป็นฐาน มุทิตาเป็นตัว การจะสร้างยอดโดยไม่สร้างฐานไม่สร้างตัวนั้นก็ทำกันได้ แต่ยอดจะวางอยู่ต่ำเตี้ย ไม่มั่นคง ไม่สูงสง่า ถ้าสร้างฐานสร้างตัวเป็นลำดับขึ้นไปเรียบร้อยแล้วจึงสร้างยอด ยอดก็จะมั่นคง สูงเด่นเป็นสง่า”...
“...ไม่มีเมตตากรุณาก็มีใจโหดเหี้ยม ไม่มีมุทิตาก็จะมีความอิจฉาริษยา ไม่มีอุเบกขาก็จะไม่รู้จักวางเฉย ไม่รู้จักปล่อยวาง ยึดมั่นอยู่...”
“ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย” นี้เป็นพุทธศาสนสุภาษิต และความประมาททั้งหลายรวมลงในความประมาทปัญญา
ปัญญาคือเหตุผล ผู้ไม่เห็นความสำคัญของเหตุผล ประมาทเหตุผล จึงไม่ใช้เหตุผล ความไม่ใช้เหตุผลนี้แหละ คือความประมาทปัญญา”
“ความไม่ประมาททางปัญญาคือความเห็นความสำคัญของปัญญา ทั้งปัญญาตนและปัญญาผู้อื่น จะเห็นความสำคัญแต่ปัญญาตน ไม่เห็นความสำคัญปัญญาผู้อื่นด้วย ก็ไม่ได้”
“ปัญญาที่ไม่ควรประมาทอย่างยิ่งคือปัญญาในการเอาชนะกิเลส หนีไกลจากกิเลส ไม่ให้กิเลสชนะ...”
“ความบกพร่องของคนที่ขาดแคลนไม่มั่งมีสมบูรณ์พูนสุข คือความไม่มีปัญญา ไม่ยอมอยู่ในความทนุถนอมเชิดชูรักษาของพระพุทธศาสนาให้จริง...”
“ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาคือผู้มีปัญญาท่านสอนให้เร่งอบรมมรณสติ นึกถึงความตาย หัดตายก่อนตายจริง จุดมุ่งหมายสำคัญของการหัดตายก็คือเพื่อปล่อยใจจากสิ่งทั้งหลายก่อนที่จะถูกความตายบังคับให้ปล่อย”
“ความสุขอย่างยิ่งของเราทุกคนไม่ได้อยู่ที่อะไรอื่นทั้งสิ้น แต่อยู่ที่ใจดวงนี้เท่านั้น พึงทำความเข้าใจให้ถูก หนทางดำเนินไปสู่การทำใจให้เป็นสุขนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ชัดแจ้งหลายแบบหลายอย่าง สามารถเลือกให้เหมาะกับจริตนิสัยของตนได้”
และท้ายสุดที่สำคัญยิ่งคือ
“คำแนะนำสั่งสอนตักเตือนแม้ที่ประเสริฐเลิศล้ำเพียงไรก็ตาม หาอาจเป็นคุณประโยชน์แก่ผู้ใดได้ไม่หากผู้นั้นไม่ปฏิบัติตาม”
ขอร่วมน้อมรำลึกในพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ผู้ทรงพระคุณมหาศาลต่อชาวไทยให้สว่างไสวในธรรม