ความผันผวนทางเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่/ดร.ศุภวุฒิ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ความผันผวนทางเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่/ดร.ศุภวุฒิ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ ก.พ. 03, 2014 6:05 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

เมื่อวันศุกร์ที่ 24 มกราคม ในขณะที่ประเทศไทยกำลังพะวงอยู่กับปัญหาการเมืองและเป็นห่วงการเลือกตั้งล่วงหน้าในวันอาทิตย์นั้น

ปรากฏว่าตลาดหุ้นในสหรัฐปรับตัวลดลงถึง 2% แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีวันดีคืน ทั้งนี้เพราะเกิดความปั่นป่วนในประเทศตลาดเกิดใหม่หลายแห่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยค่าเงินสกุลในประเทศตลาดเกิดใหม่อ่อนค่าลงอย่างมากระหว่างวันที่ 10-27 มกราคม (ตารางประกอบ)

การอ่อนตัวของค่าเงินดังกล่าวอาจมองได้ว่าเป็นผลมาจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งจะประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ FOMC ในวันที่ 29-30 มกราคม จะลดทอนการพิมพ์เงินมาซื้อพันธบัตรอีก 10,000 ล้านดอลลาร์ จาก 75,000 ล้านดอลลาร์ มาเป็น 65,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้มองได้ว่าปริมาณเงินที่เคยไหลออกจากสหรัฐไปท่วมตลาดเงินทั่วโลกรวมทั้งประเทศตลาดเกิดใหม่นั้นกำลังจะไหลเวียนกลับไปสหรัฐ แต่คำอธิบายดังกล่าวไม่น่าจะถูกต้องทั้งหมดเพราะหากเป็นผลมาจากการลดทอนการซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางสหรัฐเป็นหลักก็น่าจะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวหรือดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐจะต้องปรับตัวสูงขึ้น แต่ข้อเท็จจริงคือดอกเบี้ย 10 ปีของสหรัฐนั้นกลับลดลงจาก 3% ในวันที่ 8 มกราคมมาเป็น 2.78% ในวันที่ 27 มกราคม จึงจะต้องตั้งคำถามว่ามีสาเหตุอื่นๆ อีกหรือไม่ที่ทำให้ค่าเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่อ่อนตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ ตัวเลขดัชนีผู้สั่งซื้อสินค้าเดือนมกราคม (PMI) ของจีนที่จัดทำโดยธนาคาร HSBC ที่ต่ำกว่าคาดคือ 49.6 (ซึ่งถือว่าเป็นการหดตัวเพราะต่ำกว่า 50) ซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นการสะท้อนการอ่อนตัวของเศรษฐกิจจีนที่ผิดคาดและเกรงว่าจะส่งผลต่อการส่งออกทั้งของประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วที่พึ่งพากำลังซื้อของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ (เช่นออสเตรเลียและประเทศในลาตินอเมริกา) แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นเพียงตัวเลขเบื้องต้นและเป็นการเลือกเก็บข้อมูลที่อยู่ในขอบเขตจำกัดของธนาคารเอกชน นอกจากนั้นก็ยังเป็นการปรับลดลงของดัชนีเพียงเล็กน้อย จึงไม่น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนเช่นเดียวกัน

แต่เป็นไปได้ว่าปัจจัยทั้งสองที่กล่าวข้างต้นเป็นพื้นฐานที่ทำให้ประเทศตลาดเกิดใหม่บางประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาเงินทุนไหลเข้าและประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์จะมีความเปราะบางทางเศรษฐกิจและมีความเสี่ยงต่อการไหลออกของเงินทุนเพิ่มขึ้นมากขึ้น เช่น หากพิจารณา 3 ประเทศแรกที่มีปัญหาการอ่อนของค่าเงินอย่างรุนแรงนั้นก็สามารถบอกได้ว่ามีปัญหาเฉพาะตัวซึ่งสรุปได้ดังนี้คือ

1. อาร์เจนตินา : เป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์และเมื่อราคาตกต่ำก็ทำให้การเกินดุลการค้าและรายได้ลดลง แต่ที่สำคัญคือมีเงินเฟ้อสูงถึง 25% แต่รัฐบาลยืนยันว่าเงินเฟ้อมีเพียง 10% จึงทำให้ขาดความเชื่อมั่นและก็มิได้ดำเนินการแก้ปัญหาเงินเฟ้ออย่างจริงจัง นอกจากนั้นธนาคารกลางก็ได้พยายามชะลอการอ่อนค่าของเงินโดยการขายทุนสำรอง ทำให้ทุนสำรองเหลืออยู่เพียง 30,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และรัฐบาลก็ได้พยายามจำกัดการขนเงินออกนอกประเทศ แต่เมื่อไม่เป็นผลก็ประกาศว่าจะยกเลิกกฎเกณฑ์ดังกล่าว แต่ประกาศว่าจะเลิกการแทรกแซง ค่าเงินจึงทรุดตัวลงอย่างรุนแรงกว่า 12% ในวันที่ 22-24 มกราคม ทั้งนี้ รัฐบาลอาร์เจนตินาเคยพักชำระหนี้ต่างประเทศในปี 2001 และยังมีคดีความกับเจ้าหนี้ จึงยังไม่สามารถกู้เงินต่างประเทศได้ ทำให้ประชาชนยิ่งขาดความมั่นใจและพยายามขนเงินออกนอกประเทศ

2. ตุรกี : เป็นประเทศที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูง (7.5% ของจีดีพี) และทุนสำรองก็มีอยู่เท่ากับหนี้ต่างประเทศระยะสั้น (ไทยมีทุนสำรองเกือบ 3 เท่าของหนี้ระยะสั้น) ในขณะที่เงินเฟ้อสูงถึง 7% ต่อปี แต่ที่สำคัญคือรัฐบาลของนายกเออโดแกน (Erdogan) กำลังเผชิญกับวิกฤติทางการเมืองที่หนักหน่วงที่สุดสืบเนื่องมาจากการที่ลูกของรัฐมนตรี 3 คนของรัฐบาลถูกตำรวจจับกุมข้อหาคอร์รัปชัน แต่นายกรัฐมนตรีพยายามแทรกแซงการดำเนินการของตำรวจโดยสั่งโยกย้ายและไล่ออกตำรวจระดับสูงทั่วประเทศถึง 700 คนในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา แม้แต่อัยการก็ยังถูกย้ายโดยนายกรัฐมนตรีเออโดแกน อ้างว่ามีกลุ่มอำนาจในแวดวงของตำรวจและศาลพยายามล้มรัฐบาลและสนับสนุนผู้นำทางศาสนาคนหนึ่งคือ Fethullah Gulen นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีตุรกีก็ยังพยายามที่จะคืนดีกับทหาร (ที่ถูกตัดสินจำคุกเพราะพยายามปฏิวัติเพื่อยึดอำนาจ) โดยหวังว่าจะใช้ทหารมาสนับสนุนฝ่ายของตน คนจึงขาดความเชื่อมั่นและแม้ว่าธนาคารกลางจะขึ้นดอกเบี้ยถึง 4% ค่าเงินก็ยังปรับลง

3. แอฟริกาใต้ : เป็นประเทศที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 6% ของจีดีพีและมีทุนสำรองระหว่างประเทศไม่มากนัก (คิดเป็น 1.8 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น) ที่สำคัญคือแอฟริกาใต้เป็นผู้ส่งออกทองคำขาวรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่ในระยะหลังนี้ราคาปรับลดลง ในขณะที่คนงานที่เหมืองแร่ทองคำขาวไม่พอใจรายได้ เรียกร้องให้นายจ้างเพิ่มเงินเดือน 100%และเมื่อนายจ้างปฏิเสธก็ประกาศหยุดงานและเจ้าของเหมืองก็ได้ปิดโรงงานลงแล้วเพราะเกรงว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นเช่นในอดีตที่คนงานเหมืองแร่ที่หยุดงานถูกตำรวจยิงตายถึง 34 คนในเดือนสิงหาคม 2012

ครั้งหน้าผมจะเขียนถึงเศรษฐกิจและความเสี่ยงของประเทศจีนครับ
[/size]



ตอบกลับโพส