ปัญหาสำหรับประเทศตลาดเกิดใหม่ที่กำลังปะทุขึ้น/ดร.ศุภวุฒิ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ปัญหาสำหรับประเทศตลาดเกิดใหม่ที่กำลังปะทุขึ้น/ดร.ศุภวุฒิ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ ก.พ. 10, 2014 1:34 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ เรากำลังได้รับผลกระทบที่อาจรุนแรงไม่แพ้กัน

จากปัญหาที่กำลังสร้างความหนักใจให้กับประเทศตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกดังที่กล่าวในครั้งที่แล้ว ครั้งนี้ผมจะประเมินปัจจัยต่างๆ ที่กำลังกระทบประเทศตลาดเกิดใหม่โดยรวม ซึ่งคำถามหลักน่าจะเป็น ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใดและอะไรที่เป็นจุดอ่อนของเรา

จะโทษการลดทอนคิวอีเป็นหลักไม่ได้

ผมเห็นว่าการปรับลดลงของค่าเงินและราคาสินทรัพย์ของประเทศตลาดเกิดใหม่ในช่วงที่ผ่านมานั้นจะโทษการลดทอนการพิมพ์เงินมาซื้อพันธบัตร (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐเป็นหลักไม่ได้ โดยธนาคารกลางสหรัฐเคยพิมพ์เงินเดือนละ 85,000 ล้านดอลลาร์ต่อเนื่องมาตั้งแต่กันยายน 2012 ถึงธันวาคม 2013 และลดลงเป็น 75,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนมกราคม 2014 และจะเหลือ 65,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนกุมภาพันธ์

ที่ผมบอกว่าจะโทษการลดทอน QE ไม่ได้เพราะการลดทอนดังกล่าวมิได้ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (ดอกเบี้ยระยะยาวเพิ่มขึ้น) ดังที่ได้เคยเกิดขึ้นตอนที่นายเบอร์นันเก้กล่าวถึงการลดทอน QE ในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว คือดอกเบี้ยระยะยาวปรับเพิ่มขึ้นจาก 2.0% เป็น 3%ในช่วงพฤษภาคมถึงกันยายน และราคาหุ้นทั่วโลกปรับลดลงกว่า 10% แต่ในครั้งนี้ดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐปรับลดลงจาก 3% เป็น 2.7% (แปลว่าราคาพันธบัตรในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น) ทั้งๆ ที่ธนาคารกลางสหรัฐซื้อพันธบัตรเพิ่มในอัตราที่ลดลง

โดยปกติแล้วเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลกโดยรวมที่มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นน่าจะส่งผลให้ดอกเบี้ยระยะยาวปรับเพิ่มขึ้น แต่ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาปรากฏว่าดอกเบี้ยและราคาหุ้นปรับลดลง และลดลงอย่างมากโดยเฉพาะอัตราแลกเปลี่ยนในประเทศตลาดเกิดใหม่สะท้อนว่านักลงทุนกำลังเชื่อว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนากำลังชะลอและมีปัญหาอย่างมาก ที่สำคัญคือการลดลงของดอกเบี้ยระยะยาวในสหรัฐอาจเป็นการสะท้อนความเชื่อว่าเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่และเศรษฐกิจโลกอาจจะชะลอตัวลง ทำให้เงินทุนไหลเข้ามาซื้อพันธบัตรสหรัฐที่ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุด

ปัจจัยอะไรทำให้ประเทศตลาดเกิดใหม่มีปัญหา

ดังที่กล่าวในครั้งที่แล้วตุรกี อาร์เจนตินาและแอฟริกาใต้นั้นมีลักษณะของปัญหาที่แตกต่างกันออกไป เช่น ตุรกีขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงและเผชิญวิกฤติทางการเมือง แอฟริกาใต้พึ่งพาสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งราคาปรับลดลงมากและคนงานเหมืองทองคำขาว 80,000 คนหยุดงาน อาร์เจนตินาเผชิญปัญหาเงินเฟ้อสูงและทุนสำรองเหลือน้อย ทำให้ประชาชนขนเงินออกนอกประเทศ

ทั้งนี้ เราต้องประเมินว่าปัจจัยอะไรเป็นหลักที่ส่งผลต่อค่าเงิน ดอกเบี้ยและราคาสินทรัพย์ เพื่อจะสามารถคาดการณ์ได้ว่าประเทศตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทยจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด และภาครัฐจะต้องมีมาตรการใดที่จะสามารถลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ในข่ายความเสี่ยงด้วย

ในความเห็นของผมนั้นการลดทอน QE ก็คือการลดสภาพคล่องที่มีอย่างล้นหลามในระบบการเงินโลกยาวนานมาเกือบ 5 ปีจากนโยบายการเงินของสหรัฐที่เริ่มตั้งแต่ปลายปี 2008 กล่าวคือเมื่อมีสภาพคล่องมากและหาเงินกู้ได้ง่าย เศรษฐกิจก็โตได้โดยสะดวก แต่เมื่อมีข้อจำกัดประเทศที่มีความเปราะบางทางการเงินก็จะประสบปัญหาอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ความเปราะบางที่กล่าวถึงนั้นน่าจะได้แก่

1. ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ประเทศที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดคือ ประเทศที่ใช้จ่ายเกินตัวทำให้ต้องกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะโดยการเชื้อเชิญให้ต่างชาติมาลงทุน (ซื้อทรัพย์สินในประเทศ) หรือกู้เงินโดยตรง (เช่นต่างชาติซื้อพันธบัตรของรัฐบาลและเอกชน) ประเทศที่มีลักษณะเช่นนี้ได้แก่ ตุรกี (ขาดดุลฯ 7% ของจีดีพี) อินเดีย อินโดนีเซียและออสเตรเลีย

2. ต่างชาติถือตราสารหนี้เป็นสัดส่วนสูง ประเทศที่ต่างชาติเข้ามาซื้อพันธบัตรรัฐบาลคิดเป็นสัดส่วนสูง ย่อมเสี่ยงต่อผลกระทบที่รุนแรงต่อค่าเงินและดอกเบี้ยเมื่อต่างชาติลดการถือครองพันธบัตรดังกล่าว มาเลเซียและอินโดนีเซียนั้นถือว่ามีความเสี่ยงในส่วนนี้ เพราะพันธบัตรที่ต่างชาติถือนั้นมีสัดส่วนสูงถึง 30-40% ของพันธบัตรทั้งหมด

3. ทุนสำรองที่มีอยู่เทียบกับหนี้ต่างประเทศระยะสั้น เรื่องนี้ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงมากสำหรับประเทศที่ทุนสำรองเหลือน้อยเมื่อเทียบกับหนี้ระยะสั้น สำหรับไทยแม้จะมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและเงินไหลออกบ้างแต่หนี้ระยะสั้นมีไม่ถึงครึ่งหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมด

4. เงินเฟ้อสูง ประเทศที่มีปัญหาเงินเฟ้อสูงย่อมจะเสี่ยงต่อการสูญเสียความน่าเชื่อถือของนโยบายการเงิน เพราะจะทำให้เงินอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง เช่นอาร์เจนตินาเงินเฟ้อสูงถึง 25% แต่รัฐบาลไม่ยอมรับและแก้ปัญหาไม่ได้ ทำให้มีแต่ความเสี่ยงว่าเงินจะไหลออกมาขึ้นไปเรื่อยๆ ประเทศที่มีปัญหาทำนองเดียวกันคือตุรกี อินเดีย แอฟริกาใต้และอินโดนีเซีย ซึ่งมักจะควบคู่ไปกับปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดด้วย ทำให้ต้องปรับดอกเบี้ยขึ้น แต่การปรับดอกเบี้ยขึ้นดังกล่าวย่อมจะกระทบต่อเศรษฐกิจในเชิงลบ แต่ก็เกือบจะไม่มีทางเลือกอื่นใด

หากพิจารณาจากปัจจัยทั้ง 4 ข้อที่ผมกล่าวถึงข้างต้นนั้นก็จะเห็นว่าเป็นการสะท้อนการใช้จ่ายเกินตัวในช่วงที่มีเงินเหลือใช้ทั้งสิ้น ดังนั้น ช่วงข้างหน้าจึงเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงเพราะจะเป็นช่วงที่ประเทศตลาดเกิดใหม่จะต้องรัดเข็มขัดและลดหนี้ (deleverage) ซึ่งจะต้องส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2014 ครับ
[/size]



ตอบกลับโพส