โค้ด: เลือกทั้งหมด
ครั้งที่แล้วผมเขียนถึงความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในประเทศตลาดเกิดใหม่ เช่น อาร์เจนตินา ตุรกี และแอฟริกาใต้
ตลอดจนการที่บางประเทศต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นเช่นอินเดีย ซึ่งเกิดจากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดทอนการพิมพ์เงินใหม่ออกมาซื้อพันธบัตร ทำให้เงินดอลลาร์ที่เคยมีอย่างล้นเหลือทั่วโลกเริ่มขาดแคลน ประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีจุดอ่อน เช่น ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดทุนสำรองต่ำหนี้ต่างประเทศสูงและเงินเฟ้อสูง มีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบจากการลดทอนคิวอีอย่างมากในปีนี้
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าความผันผวนของประเทศตลาดเกิดใหม่ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของประเทศพัฒนาแล้ว ดังนั้น ข้อเรียกร้องของผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดียให้มีการประสานนโยบายการเงินระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว (โดยเฉพาะสหรัฐที่กำลังลดทอนคิวอี) กับประเทศกำลังพัฒนาจึงไม่น่าจะเกิดขึ้น ทั้งนี้ ประเทศพัฒนาแล้วมองว่าประเทศกำลังพัฒนาจะต้องแก้ปัญหาตัวเองโดยการรัดเข็มขัดทางการเงินและการคลัง ซึ่งแม้จะมีผลกระทบข้างเคียงทำให้เกิดความผันผวนและความเสี่ยงในเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่แต่จะไม่กระทบต่อการฟื้นตัวของประเทศพัฒนาแล้ว ตรงนี้มีข้อยกเว้นคือประเทศจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นที่สองรองจากสหรัฐ หากจีนมีปัญหาก็จะส่งผลกระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจโลกได้
จะเห็นได้ว่าประเทศมีปัญหาทางเศรษฐกิจ คือ อาร์เจนตินา แอฟริกาใต้และตุรกีนั้นมีจีดีพีรวมกันเพียง 1.656 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพียง 2.25% ของจีดีพีโลก จึงเชื่อได้ว่าปัญหาของประเทศดังกล่าวจะไม่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐปรับนโยบายในการลดทอนคิวอี อย่างไรก็ตาม ประเทศตลาดเกิดใหม่โดยรวมนั้นปัจจุบันมีขนาดใหญ่คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 38.5% ของจีดีพีโลก ดังนั้น หากปัญหา “ลาม” ออกไปยังประเทศอื่นๆ ก็ย่อมจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของประเทศพัฒนาแล้วและเศรษฐกิจโลกโดยรวม ทั้งนี้ เมื่อ 11 ปีที่แล้ว จีดีพีของประเทศตลาดเกิดใหม่มีสัดส่วนเพียง 20% ของจีดีพีโลก
ก่อนที่จะเขียนถึงความสำคัญของจีนและความเสี่ยงที่มีอยู่ในระบบสถาบันการเงินของจีน ซึ่งหากเกิดปัญหาจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนและแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ผมขอปูภูมิหลังเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกในช่วงประมาณ 12 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีความสำคัญในการทำให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับสภาวะการและความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ ซึ่งหากมองกลับไปถึงปี 2002 ก็จะจำได้ว่าเป็นช่วงที่สหรัฐกำลังฟื้นตัวจากเศรษฐกิจตกต่ำซึ่งเกิดจากฟองสบู่อินเทอร์เน็ตแตก กล่าวคือหุ้นประเภทเทคโนโลยี โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับกิจการอินเทอร์เน็ตถูกปั่นราคาเป็นฟองสบู่จนแตกในปี 2000 ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐถดถอย ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐแก้ปัญหาโดยการลดดอกเบี้ยและเปิดทางให้ธนาคารพาณิชย์สหรัฐ “ปั่น” ราคาอสังหาริมทรัพย์ โดยการปล่อยกู้และผลิตอนุพันธ์ทางการเงินอย่างหลากหลาย ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลกขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง 2002-2008 แต่มีข้อสังเกตสำคัญ 3 ประการคือ
1. เป็นการขยายตัวของภาคการเงิน (ทั้งสินเชื่อและอนุพันธ์) โดยอาศัยการปั่นราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ ซึ่งทำให้ประชาชนรู้สึกร่ำรวยจากมูลค่าของสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น
2. เมื่อประชาชนรู้สึกร่ำรวยขึ้นก็ใช้จ่ายมากขึ้น ทำให้ประเทศสหรัฐขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (นำเข้าสินค้าและบริการมากกว่าส่งออก) โดยการขาดดุลดังกล่าวเป็นผลมาจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก ทำให้ประเทศตลาดเกิดใหม่ส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นโดยถ้วนหน้าโดยเฉพาะเอเชียและจีน
3. ประเทศตลาดเกิดใหม่ที่พึ่งพาอุตสาหกรรมและการส่งออกเป็นหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เร่งการผลิตและการใช้ทรัพยากร ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรด้านอุตสาหกรรม (น้ำมัน เหล็ก ทองแดง ทองคำ ทองขาว ฯลฯ) หรือสินค้าเกษตร (เช่น ยาง น้ำตาล น้ำมันปาล์มที่ใช้ทดแทนน้ำมันดิบได้) แม้กระทั่งราคาข้าวของไทยยังถูกดันไปสูงถึง 30,000 บาทต่อเกวียนในปี 2008
แต่เมื่อฟองสบู่ของสหรัฐแตกลงพร้อมกับความล่มสลายของเลห์แมน บราเธอร์สและสถาบันการเงินในสหรัฐและยุโรปในปลายปี 2008 ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องและแม้ธนาคารกลางของสหรัฐ ยุโรป อังกฤษ (และต่อมา) ญี่ปุ่นจะใช้มาตรการเชิงปริมาณ (การพิมพ์เงิน) เพื่อช่วยพยุงสถาบันการเงินให้พ้นสภาวะล้มละลายได้สำเร็จ และต่อมาทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวได้ในที่สุด พร้อมกับการทรงตัวของเศรษฐกิจยุโรปและการกระเตื้องขึ้นของเศรษฐกิจญี่ปุ่น แต่การฟื้นตัวดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการฟื้นตัวที่ให้ประโยชน์กับคนรวยเป็นหลัก กล่าวคือราคาหุ้นปรับตัวดีขึ้นเพราะบริษัทต่างๆ ทำกำไรได้ดีเท่าเก่า แต่อัตราการว่างงานยังสูงอยู่และธนาคารก็ยังระมัดระวังการปล่อยเงินกู้ (โดยเฉพาะที่ยุโรป)
ดังนั้น การฟื้นตัวครั้งนี้ของสหรัฐและยุโรปจึงมิใช่การฟื้นตัวที่มีการบริโภคเป็นตัวนำเช่นแต่ก่อน ส่วนญี่ปุ่นทำให้เงินเยนอ่อนค่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้การส่งออกของประเทศกำลังพัฒนาขยายตัวในระดับต่ำกว่าในอดีตอย่างมาก หมายความว่าประเทศกำลังพัฒนากำลังเผชิญปัญหาว่าเคยมีสภาพคล่องเหลือใช้และบางกรณีก็ได้สร้างหนี้หรือเงินเฟ้อเอาไว้มาก แต่การเพิ่มของรายได้หรือผลผลิตกลับมีข้อจำกัด จึงอาจพูดได้ว่าครั้งนี้เป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยกับประเทศกำลังพัฒนาเช่นในอดีต