ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจของโลกและของประเทศจีน (2)/ดร.ศุภวุฒิ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจของโลกและของประเทศจีน (2)/ดร.ศุภวุฒิ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ ก.พ. 24, 2014 12:54 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ในครั้งที่แล้วผมเขียนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันว่าไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยกับประเทศตลาดเกิดใหม่มากนัก

ดังนั้น ประเทศกำลังพัฒนาจึงต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างยิ่งเมื่อธนาคารกลางสหรัฐมีนโยบายลดทอนการซื้อพันธบัตรรัฐบาลอย่างต่อเนื่องในปีนี้

นอกจากนั้นยังมีอีก 2 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อลักษณะของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้คือ

1. สหรัฐได้นำเทคโนโลยีที่เรียกว่า hydraulic fracturing ซึ่งเป็นการเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติโดยการขุดแบบทแยงและดันน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขึ้นมาโดยใช้ของเหลวเช่นน้ำ ทำให้สามารถเพิ่มผลผลิตอย่างก้าวกระโดดและเป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจสหรัฐใน 3 ด้านคือ 1.พลิกฟื้นอุตสาหกรรมน้ำมันและเศรษฐกิจของสหรัฐ 2.ทำให้สหรัฐเปลี่ยนจากประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันมาเป็นประเทศที่จะสามารถส่งออกน้ำมันได้ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งช่วยลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดลงอย่างมาก 3.ทำให้ต้นทุนการผลิตของสหรัฐปรับลดลงทำให้บริษัทสหรัฐเริ่มย้ายฐานการผลิตกลับมาในประเทศ

2. รัฐบาลจีนส่งเสริมให้ค่าจ้างแรงงานในประเทศปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 15% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาและเริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์ในการพัฒนาเศรษฐกิจจากการเร่งรัดลงทุนสร้างโรงงานผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกมาเป็นการคำนึงถึงคุณภาพชีวิตและการบริโภคทำให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ของจีนลดลง ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหลักทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มอ่อนตัว

อย่างไรก็ตาม ความอ่อนแอของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้ประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศประสบปัญหานั้น จะยังไม่ส่งผลในเชิงลบต่อการฟื้นตัวของประเทศพัฒนาแล้วอย่างมีนัยสำคัญ เพราะประเทศดังกล่าวมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่หากประเทศจีนมีปัญหาเศรษฐกิจก็ย่อมจะส่งผลกระทบต่อประเทศพัฒนาแล้วและเศรษฐกิจโลกโดยรวม เพราะจีนมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นที่สองรองจากสหรัฐ ดังนั้น จึงต้องหันกลับมาพิจารณาว่าเศรษฐกิจจีนมีความเสี่ยงอะไรบ้าง ทั้งนี้ ความเสี่ยงที่พอจะตัดออกได้คือวิกฤติที่เกิดจากดุลชำระเงินหรือดุลบัญชีเดินสะพัดเพราะจีนยังคงเกินดุลบัญชีเดินสะพัดแม้จะปรับลดลงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และมีเงินทุนไหลเข้า แต่ที่สำคัญคือจีนเกือบจะไม่มีหนี้ต่างประเทศและมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงเกือบ 4 ล้านล้านดอลลาร์ (30% ของจีดีพี) ดังนั้น หากจีนมีปัญหาก็จะมิได้เกิดจากปัจจัยภายนอกเช่นที่อาร์เจนตินาอย่างแน่นอน

สิ่งที่นักลงทุนบางคน (ซึ่งยังเป็นส่วนน้อย) เพ่งเล็งคือปัญหาหนี้ของบริษัทและรัฐบาลท้องถิ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบธนาคารเงา (shadow banking) ซึ่งขยายตัวอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากการที่ทางการของจีนสนับสนุนให้ระบบธนาคารขยายสินเชื่อเพื่อลดผลกระทบของวิกฤติเศรษฐกิจโลกช่วงปี 2009 (สินเชื่อขยายตัวร้อยละ 35) และรัฐบาลก็กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุนภาครัฐจำนวนมหาศาลหลังจากนั้นทางการของจีนก็พยายามลดการขยายตัวของสินเชื่อลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในช่วงเดียวกันบริษัทและรัฐบาลท้องถิ่นยังมีความต้องการสินเชื่อ ทำให้พยายามแสวงหาเงินกู้ซึ่งได้รับการตอบสนองจากระบบธนาคารเงาโดย การออกตราสาร (wealth management product หรือ WMP) ที่ให้ผลตอบแทนสูง (6-8% ต่อปี) และเป็นตราสารระยะสั้น (ส่วนใหญ่ 3 เดือนถึง 3 ปี) ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่ารวมกว่า 10 ล้านล้านหยวน (เพิ่มจาก 4.5 ล้านล้านหยวนในไตรมาส 4 ปี 2011) สำหรับรัฐบาลท้องถิ่นนั้นก็ออกพันธบัตรเพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านล้านหยวนเป็น 2.39 ล้านล้านหยวนในช่วงเดียวกัน ทั้งนี้ หนี้ของบริษัทและหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่นมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 78 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 140% ของจีดีพี) โดยเป็นหนี้ที่ก่อในระบบธนาคารเงาประมาณ 19 ล้านล้านหยวน (24% ของหนี้สินทั้งหมด)

ประเด็นคือสินเชื่อในภาคธนาคารเงามิได้มีการควบคุมด้วยกฎเกณฑ์ที่รัดกุมและกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วประมาณ 30-40% ต่อปี (จีดีพีขยายตัวเพียง 10% ต่อปี) ทำให้ต้องชะลอการขยายตัวของสินเชื่อดังกล่าวอย่างทันท่วงที มิฉะนั้นจะทำให้เกิดปัญหาที่จะกระทบกับความมั่นคงของระบบการเงินโดยรวมได้ในอนาคต ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่ากำลังมีการกู้ยืมเงินจากภาคการธนาคารเงาเพื่อจุนเจือสภาพคล่องและมีการประเมินว่าสินเชื่อใหม่นั้นประมาณ 70% ถูกนำไปจ่ายดอกเบี้ยและคืนหนี้เดิม แปลว่าเงินที่กู้ใหม่นั้นมีเพียงส่วนน้อยที่นำไปลงทุนเพื่อให้เกิดรายได้มาจ่ายดอกเบี้ย จึงเป็นความเสี่ยงที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อีกประเด็นที่สำคัญคือการขยายตัวของระบบธนาคารเงานั้นเกิดขึ้นได้เพราะผู้ซื้อเชื่อว่าเป็นการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงแต่ความเสี่ยงต่ำ เพราะเชื่อว่าได้รับการประกันความเสี่ยงจากธนาคารของรัฐซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัททรัสต์ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ในส่วนรัฐบาลท้องถิ่นนั้นได้มีการออกพันธบัตรโดยตรงและการจัดตั้งกองทุนระดมเงินเพื่อใช้ในการลงทุนโครงสร้างขนาดใหญ่หรือ Local Government Funding Vehicle (LGFV) ซึ่งผู้ที่ซื้อตราสารดังกล่าวเชื่อมั่นว่าหากเกิดปัญหาทางการเงินรัฐบาลกลางของจีนก็จะต้องเข้ามารับผิดชอบหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่น ตัวอย่างเช่นบทความที่เขียนโดยนาง Stevenson-Young (Wall Street Journal 30 มกราคม 2014) สรุปว่า "moral hazard is woven into the fabric of the Chinese financial system"

ในครั้งต่อไปผมจะเขียนถึงประเด็นที่นักลงทุนพึงระมัดระวังเกี่ยวกับความเสี่ยงของระบบการธนาคารของจีนและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากเกิด “อุบัติเหตุ” ทางการเงินขึ้นในจีนครับ
[/size]



ตอบกลับโพส