โค้ด: เลือกทั้งหมด
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์เป็นช่วงประกาศผลสอบเพื่อเข้าโรงเรียนหลายแห่ง ผู้ปกครองนักเรียนที่ส่งลูกหลานไปสอบตามสนามสอบต่าง ๆ ก็รอดูผลของลูก ๆ ตัวเองว่าประสบความสำเร็จตามสิ่งที่คาดหวังหรือไม่ ไม่ต่างจากนักลงทุนที่รอคอยผลประกอบการประจำปีของกิจการในตลาดหลักทรัพย์ เพราะ “ผลสอบของหุ้น” ที่เราลงทุนนั้น แทบจะตัดสินชะตาชีวิตส่วนใหญ่ในอนาคตของการประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว
“ผลสอบของหุ้น” เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเหนือสิ่งไหน ๆ ในการลงทุน นี่คือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาหุ้นและผลกำไรของการลงทุนเราในท้ายสุด ความเข้าใจผิดที่สุดคือ การวัดความสำเร็จของการลงทุนนั้นถูกวัดที่ “ราคาหุ้น” แทนที่จะวัดที่เหตุที่แท้จริงนั่นคือผลประกอบการบริษัท ที่จริงแล้วการได้กำไรจากราคาหุ้นที่สูงขึ้นมากโดยที่ผลประกอบการไม่ดีตามไปด้วย คือ Right for a Wrong Reason สำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า นี่คือการตัดสินใจถูก จากเหตุผลที่ผิด และเป็นสิ่งที่อันตรายในระยะยาวในการลงทุน ในทางกลับกันหากผลสอบของหุ้นที่เราลงทุนออกมาดีและราคาหุ้นยังไม่ไปไหน ไม่ได้แปลว่าเราตัดสินใจผิด แต่อาจเป็นโอกาสซื้อเพิ่มที่สำคัญ ดังนั้นในฐานะผู้ปกครองหุ้นหรือเจ้าของกิจการควรจะดูผลสอบอย่างไรในแง่ใดบ้าง
1. ผลสอบที่ยอดเยี่ยมบริษัทออกมา จะต้องไม่ใช่ผลสอบที่ดีจากตัวช่วยพิเศษ เช่นผลกำไรเกิดขึ้นจากกำไรพิเศษที่อาจจะทำได้เพียงครั้งเดียว หรือเกิดจากการตัดสินใจบางอย่างที่ถูกต้องเป็นครั้งคราว อาทิ กำไรจากการตุนซื้อสินค้าคงคลังล่วงหน้า นี่เหมือนกับการพยายามเก็งคำตอบของข้อสอบ ซึ่งถ้าเก็งถูกก็จะได้คะแนนสอบดีเป็นครั้งคราว ซึ่งอาจจะไม่มีคุณค่ามากนัก หากไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง เหมือนกับว่าเราเก็งข้อสอบเอ็นทรานซ์ถูก แต่ไม่สามารถเรียนต่อได้ในมหาวิทยาลัยและต้องดร็อบในที่สุด ดังนั้นผลสอบต้องเป็น “ของจริง” เท่านั้น และวิธีสังเกตของผมคือ ถ้าเป็นผลสอบของจริง มักจะทำได้ดีอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
2. ผลประกอบการระยะสั้นคือไม่ใช่ทุกสิ่งที่สะท้อนผลสอบของกิจการ ความเป็นจริงนักลงทุนส่วนใหญ่เราใส่ใจผลสอบย่อย หรือผลประกอบการรายไตรมาส หรือรายปีมากจนเกินไป หุ้นจำนวนมากใช้เวลาเก็บตัวเป็นระยะเวลานานกว่าจะแสดงผลสอบที่สุดยอดในท้ายสุด ผลสอบอาจจะดูไม่โดดเด่นในช่วงแรก เพราะเป็นช่วงที่กำลังสร้างความสามารถในการแข่งขัน นี่เป็นโอกาสในการลงทุนชั้นเยี่ยมหากเราเห็นก่อนคนอื่น และนี่อาจเป็นเหตุผลที่นักลงทุนต้องยอมจ่ายโดยไม่ต่อราคามากนัก สำหรับบริษัทชั้นเยี่ยม เพราะเชื่อในผลสอบที่จะดีขึ้นอย่างในอนาคต
3. อย่าวัดผลสอบผิดสนามสอบ บางครั้งผลประกอบการปัจจุบันอาจจะสำคัญน้อยลง หากทุกคนไม่ได้วัดผลสอบทั้งหมดในสนามนี้ เราจะเห็นได้บ่อยครั้งว่าหุ้นบางตัวประกาศผลประกอบการออกมาดีมาก แต่ราคาหุ้นกลับลดลง เหตุผลนั้นคือหุ้นตัวนั้นอาจสอบเสร็จไปตั้งนานแล้ว ตัวอย่างคือหุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งการสอบใหญ่ คือยอดขายพรีเซลล์ซึ่งจะทราบล่วงหน้าว่ายอดขายแต่ละเดือนเป็นเท่าไหร่ ก่อนที่ผลประกอบการที่แท้จริงจะปรากฎขึ้นอีกหลายเดือนหรือหลายปีถัดมา ดังนั้นอย่าวัดผิดสนามสอบ
4. เกณฑ์การวัดต้องเป็นเกณฑ์เดียวกัน แม้ข้อสอบแม้จะเป็นชุดเดียวกันหรือสนามสอบเดียวกัน เช่นสอบเรื่องพรีเซลล์เหมือนกัน แต่เกณฑ์การสอบอาจจะต่างกันมาก เช่นบริษัทหนึ่งต้องวางเงินดาวน์สูงย่อมต้องได้คะแนนที่สูงกว่า บริษัทที่วางเงินดาวน์ต่ำเพราะสามารถทิ้งจองได้ทุกเมื่อ เกณฑ์นี้คือเกณฑ์แห่ง “คุณภาพของตัวเลขทางบัญชี” เหมือนนักเรียนที่สอบต่างโรงเรียนกันสอบได้ A เหมือนกัน การที่นำมาเปรียบเทียบ เราต้องเข้าใจความแตกต่างที่เกิดขึ้น
5. อย่าดูแค่สอบผ่านหรือสอบตก โดยปกติแล้ว การเข้าไปสำรวจผลสอบของหุ้นนั้น ไม่ใช่แต่เพียงดูว่าสอบได้หรือสอบตก แต่จำเป็นจะต้องดูเข้าไปเป็นรายวิชา ว่าผลสอบหรือผลประกอบการในแต่ละมิตินั้น มีพัฒนาการดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “การเตรียมตัวก่อนสอบ” มากกว่าผลสอบ เพราะผลสอบออกมาแค่ปีละ 4 ครั้ง แต่มันมาจากความพยายามของพนักงานและผู้บริหารที่จะสร้างผลลัพท์ออกมาให้ดีที่สุดทุก ๆ วัน การลงทุนระยะยาวนั้น ควรหาผู้บริหารที่ใส่ใจที่การเตรียมตัวมากกว่าผลลัพท์ เพราะในช่วงเวลาสอบนั้น มีปัจจัยตัวแปรเกิดขึ้นได้มากมาย และบางอย่างก็เป็นเพียงปัจจัยในระยะสั้น ที่สำคัญที่สุดเราไม่ควรคาดหวังผลสอบชั้นเลิศว่าจะเกิดขึ้นอย่างฟลุ้ค ๆ หากบริษัทนั้นไม่แข็งแรงหรือเตรียมตัวน้อย
สุดท้ายแล้วผลสอบของหุ้นในขณะที่สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่ยากลำบากคงจะบอกอะไรได้ไม่น้อย ว่าบริษัทไหนเป็นของจริง แต่เราไม่ควรคาดหวังว่าผลสอบครั้งสองครั้งจะสามารถตัดสินอนาคตของบริษัท เพราะการลงทุนที่ทำให้เรามั่งคั่งได้ คือบริษัทที่เรามองออกว่าจะสอบได้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมากในขณะที่คนอื่นยังมองไม่เห็น