เรื่องเล่าจากเมืองน้ำหอม/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

เรื่องเล่าจากเมืองน้ำหอม/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ เม.ย. 21, 2014 5:19 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

	สวัสดีค่ะ หลังจากไปพักผ่อนคลายร้อนในช่วงสงกรานต์กันมา ทุกท่านคงพร้อมที่จะทำงานกันในวันนี้ 
	ดิฉันก็ไปพักเหมือนกันค่ะ คราวนี้ไปเมืองน้ำหอม จึงอยากจะนำข้อมูลมาเล่าสู่ท่านอ่านเรื่องเบาๆ คลายร้อน
	ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีความคล้ายคลึงกับไทยหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่ มีขนาดพื้นที่ใกล้เคียงกันแต่ใหญ่กว่าไทยเล็กน้อย คือ 551,500 ตารางกิโลเมตร มีจำนวนประชากรใกล้เคียงกัน คือ 62.8 ล้านคน (ถ้านับรวม 5 เขตการปกครองที่อยู่โพ้นทะเล จะเท่ากับ 66.26 ล้านคน) 
	มีชายฝั่งทะเลตอนใต้ที่สวยงามขึ้นชื่อในบริเวณที่เรียกว่า “ริเวียร่าฝรั่งเศส” ขณะที่ไทยเรามีชายฝั่งทะเลที่สวยงาม ติดชายฝั่งอันดามัน แถบภูเก็ต กระบี่ พังงา 
	ประชากรฝรั่งเศสมีความพิถีพิถันเรื่องอาหารการกิน และสนุกกับกิจกรรมการรับประทานอาหารเช่นเดียวกับไทย การรับประทานอาหารแต่ละมื้อใช้เวลานาน มีการปรุงอย่างพิถีพิถัน 
	ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวอยากไปมากที่สุดในโลก มีนักท่องเที่ยวไปเยือนปีละไม่ต่ำกว่า 82 ล้านคน ถือเป็นจำนวนสูงที่สุดในโลก และมีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงเป็นอันดับสามของโลก แต่ก็ประสบกับปัญหาอาชญากรรมกับนักท่องเที่ยวมากที่สุดเช่นกัน เช่น การล้วงกระเป๋า ฉกชิง วิ่งราว เกิดขึ้นทุกนาที 
	ปีนี้ ตำรวจท่องเที่ยวของฝรั่งเศสเข้มงวดขึ้นมาก ส่งตำรวจนอกเครื่องแบบมาคอยจับกุมแกงก์ฉกชิงวิ่งราวเหล่านี้ Ffpนักท่องเที่ยวสามารถแจ้งความ ณ จุดเกิดเหตุ โดยไม่ต้องไปที่สถานีตำรวจ 
	เศรษฐกิจของฝรั่งเศสค่อนข้างที่จะไม่พึ่งพาด้านใดด้านหนึ่ง โดยมีการบริโภคภาคครัวเรือน 57.6% การใช้จ่ายภาครัฐ 25.1% การลงทุน 18.7% การส่งออก 27.3% และการนำเข้า -28.8% และองค์ประกอบของ GDP เป็นภาคบริการถึง 79.4% ภาคอุตสาหกรรม 18.7% และภาคการเกษตรเพียง 1.9%
	ฝรั่งเศสมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปหลายแห่ง เช่น สายการบินแอร์ฟรานซ์ ฟรานซ์เทเลคอม และบริษัทรถยนต์ Renault แต่ก็ยังควบคุมกิจการบางสาขา เช่น พลังงาน และการขนส่งสาธารณะ 
	ฝรั่งเศสเน้นความเท่าเทียมกันทางสังคม โดยบังคับผ่านกฎหมาย นโยบายภาษี และการใช้จ่ายภาคสังคมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ โดยค่า GINI Index ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเหลื่อมล้ำของรายได้ ของประเทศฝรั่งเศสวัดครั้งล่าสุดเมื่อปี 1995 อยู่ที่ 32.7 ในขณะที่ประเทศไทย วัดเมื่อปี 1996 อยู่ที่ 42.9 และเมื่อปี 2010 อยู่ที่ 39.4 (ดัชนีต่ำแสดงถึงความเหลื่อมล้ำน้อย ดัชนีสูงแสดงถึงความเหลื่อมล้ำมาก)
	GDP ประมาณการของฝรั่งเศสในปี 2013 เท่ากับ 2.739 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และ รายได้ประชาชาติต่อหัวของประชากร (ข้อมูลจาก World Bank) เท่ากับ 41,750 เหรียญสหรัฐ  
	ในขณะที่ GDP ของไทยในปี 2013 ประมาณ 0.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และรายได้ประชาชาติต่อหัว เท่ากับ 5,210 เหรียญสหรัฐ หรือฝรั่งเศสมีรายได้คิดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติต่อหัวมากกว่าไทยประมาณ 8 เท่า แต่หากคิดตามอำนาจซื้อ (ข้อมูลจาก CIA) รายได้จะต่างกันประมาณ 3.6 เท่า
	อย่างไรก็ดี ฝรั่งเศสมีหนี้สาธารณะสูงถึง 93.8% ของ GDP ในขณะที่ไทยมีหนี้สาธารณะ 47.5% ของจีดีพี  และที่ไทยเราชนะขาดเลยคือจำนวนโทรศัพท์มือถือค่ะ ฝรั่งเศสมีโทรศัพท์มือถือ 62.28 ล้านเครื่อง ในปี 2012 ในขณะที่ไทยมี 84.1 ล้านเครื่องในปีเดียวกัน! ส่วนโทรศัพท์บ้านนั้น ฝรั่งเศสมี 39.29 ล้านเครื่อง ในขณะที่ไทยมี 6.4 ล้านเครื่องเท่านั้น
	จุดที่สูงที่สุดของฝรั่งเศสอยู่ทางด้านตะวันออก คือเทือกเขาแอลป์ ซึ่งต่อเนื่องไปจนถึงสวิสเซอร์แลนด์ โดยยอดเขาสูงที่สุดคือ มองต์บลังก์ หากท่านจะไปชมยอดมองต์บลังก์ ควรไปเที่ยวเมือง ชาโมนีส์ (Chamonix)	
	แหล่งผลิตไวน์ของฝรั่งเศสมีกระจายอยู่ทั่วไป ทางตะวันตกเป็นแหล่งเบอร์กันดี ตะวันตกเฉียงใต้มีแหล่ง Bordeaux ภาคกลางมีแหล่งผลิตลุ่มแม่น้ำลัวร์ ทางใต้มีแหล่งผลิตลุ่มแม่น้ำโรนและแถบแคว้นโพรวองซ์ ทางตะวันออกเป็นแหล่งไวน์ขาวของแคว้นอัลซาส และที่แคว้นแชมเปญ มีแหล่งผลิตแชมเปญที่เมือง Epernay
	ถนนสายหลักของ Epernay ชื่อ “ถนนสายแชมเปญ” มีชาโตว์ผลิตแชมเปญตั้งอยู่เรียงรายสองข้างทาง ใต้ดินของเมืองนี้เกือบทั้งเมืองเป็นแหล่งบ่มแชมเปญ เพียงของ Moet & Chandon แห่งเดียวก็ยาวถึง 28 กิโลเมตรแล้ว
	เวลาขายสินค้าท่องเที่ยว สิ่งที่ฝรั่งเศสทำได้ดีมากคือการขาย “เรื่องราว” ไม่ว่าจะเป็นอะไร ล้วนแต่มีที่มาที่ไป และสิ่งเหล่านี้ ทำให้นักท่องเที่ยวฟังแล้วรู้สึกทึ่ง และต้องซื้อ ต้องใช้บริการ
	ค่าธรรมเนียมเช้าชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ไม่ถูกเลย แต่นักท่องเที่ยวก็ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงิน เพราะต้องการเข้าไปให้ “เห็นกับตา” จากเรื่องราวที่ได้ฟังและอ่านมาเป็นเวลานาน 
	ฝรั่งเศสทำได้ดีมากกับการดูแลจัดการมรดกของชาติ ในแต่ละพิพิธภัณฑ์จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน บางแห่งเตรียมสถานที่ไว้ให้สามารถจัดงานเลี้ยง งานประชุม หรืองานสัมมนาได้ เพราะเขาทราบดีว่า การอยู่ในบรรยากาศที่ “ขลัง” ช่วยให้งานเลี้ยงมีเรื่องราว มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น 
	อยากให้ประเทศไทยเรา พัฒนาการท่องเที่ยวในลักษณะนี้ค่ะ นำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาผสมผสานกับของเก่าที่เป็นสมบัติดั้งเดิม ทำให้การมาเยี่ยมชมสมบัติดั้งเดิม มีความเพลิดเพลิน สนุกสนาน สะดวกสบายไม่แพ้การไปเดินตามศูนย์การค้าหรือแหล่งช้อปปิ้ง 
	คนฝรั่งเศสค่อนข้างเป็นมิตร คนไทยก็ขึ้นชื่อว่าเป็นมิตร “ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ” ทำให้ผู้ที่มาสัมผัสกับคนไทยและประเทศไทยได้รับความทรงจำดีๆกลับไป
	สิ่งที่เราต้องปรับปรุงมีหลักๆประการเดียว คือ “การจัดการ” จะจัดการอย่างไร ให้มีประสิทธิภาพ จะจัดการอย่างไรไม่ให้มีผู้มาฉกฉวยโอกาสเอาเปรียบนักท่องเที่ยว จะจัดการอย่างไรให้เกิดความยุติธรรม ให้นักท่องเที่ยวรู้สึกอุ่นใจ จัดการอย่างไรจึงจะลดระบบ “เส้นสาย” 
	ยกตัวอย่างของสายการบินต่างประเทศ หากต้องการที่นั่งที่มีที่วางเท้ากว้างขวาง เช่น บริเวณทางออกประตูฉุกเฉินของชั้นประหยัด ท่านสามารถ “ซื้อ” คือจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้ได้นั่งที่นั้น  เพื่อ“อัพเกรด”ที่นั่ง หรือเพื่อเพิ่มน้ำหนักกระเป๋า 
	การให้สิทธิพิเศษแบบไทยๆนั้น เราจะได้สิทธิ์เมื่อเรา “มีเส้น” “มีคนรู้จัก” “เป็นผู้ใหญ่” “เป็นผู้มีอิทธิพล” และการได้มาซึ่งสิทธิ์ของเราก็มักจะต้องไปเบียดเบียนผู้อื่น  แต่เมื่อเปลี่ยนมาคำนวณทุกอย่างเป็นค่าทางเศรษฐกิจแล้ว ประโยชน์จะตกอยู่กับองค์กร สามารถให้บริการคนทั่วไปได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำ และสามารถมีรายได้เพิ่มจากบริการเสริม หรือสิทธิพิเศษต่างๆที่ขายเพิ่มให้กับผู้ต้องการได้รับ  แตกต่างกับระบบใช้ “เส้นสาย” ซึ่งความดีความชอบตกอยู่กับผู้ให้สิทธิ์นั้นแก่ผู้ได้รับ โดยองค์กรไม่ได้อะไร และส่วนใหญ่จะเสียประโยชน์จากการต้องกันสิทธิพิเศษนี้ไว้ให้คน “มีเส้น” ด้วยซ้ำไป
	ดิฉันเข้าใจถึงวิธีคิดของสังคมที่พยายามลดความเหลื่อมล้ำแล้วค่ะ
[/size]



ตอบกลับโพส