โลกของการก้าวไปด้วยกัน (2)/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

โลกของการก้าวไปด้วยกัน (2)/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ โดย Thai VI Article » อังคาร พ.ค. 13, 2014 11:10 am

โค้ด: เลือกทั้งหมด

	ในสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันได้เขียนถึงความพยายามในการลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และได้เกริ่นถึง “ความเท่าเทียม 5 ด้าน” ที่ Ferdinand Mount แห่ง Joseph Rowntree Foundation กล่าวถึง คือ ความเท่าเทียมทางการเมือง ความเท่าเทียมของผลลัพธ์ ความเท่าเทียมของโอกาส ความเท่าเทียมของการปฏิบัติ และ ความเท่าเทียมของการเป็นสมาชิกในสังคม
	ดิฉันได้อ่านรายงาน “8 ข้อเท็จจริงความเหลื่อมล้ำในไทย” ของสถาบันอนาคตไทยศึกษา เมื่อเร็วๆนี้ และมีความเห็นบางส่วนสอดคล้องกับรายงานฉบับนี้ จึงขออนุญาตนำบางส่วนของรายงานมาเผยแพร่ต่อค่ะ
	สถาบันอนาคตไทยศึกษาชี้แจงว่า อันดับความเหลื่อมล้ำของไทยอยู่ที่ 162 จาก 174 ประเทศจากการจัดอันดับโดย Credit Suisse และไทยไม่เพียงแต่มีความเหลื่อมล้ำทางรายได้เท่านั้น แต่ทรัพย์สินยังกระจุกอยู่กับคนรวยมากด้วย โดยกลุ่มที่มีรายได้สูงที่สุด 10% แรก มีการถือครองที่ดินถึง 60% ในขณะที่กลุ่มที่จนที่จน 10% สุดท้ายมีการถือครองที่ดินเพียง 0.07% เท่านั้น
	สถาบันฯ ยังวิจัยว่า เมื่อปี 2529 ครอบครัวที่รวยที่สุด 10% แรกของไทย มีรายได้เฉลี่ย 28,808 บาท มากกว่าครอบครัวที่จนที่สุด 10% สุดท้ายที่มีรายได้เฉลี่ย 1,429 บาทหรือมากกว่า 20 เท่า ผ่านไป 25 ปี ในปี 2554 ครอบครัวที่รวยที่สุด 10% แรกมีรายได้เฉลี่ย 90,048 บาท มากกว่าครอบครัวที่จนที่สุด 10% สุดท้าย ที่มีรายได้เฉลี่ย 4,266 บาท อยู่ 21 เท่า ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ความเหลื่อมล้ำไม่ได้ดีขึ้นเลย และความเหลื่อมล้ำที่แท้จริงอาจสูงกว่าที่รายงานประมาณ 25%
	ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ เป็นประเด็นที่ทุกๆฝ่ายเห็นว่าเป็นหนึ่งในความเสี่ยงของโลกอนาคต และได้พยายามเข้ามาแก้ไข โดยการพยายามสร้าง “ความเท่าเทียม”
	ความยากของการปฏิบัติคือการที่รัฐไม่มีอำนาจควบคุมทรัพยากรทั้งหมด และการมองประเด็นเรื่องความเท่าเทียมก็เป็นการมองที่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและมุมมองของผู้มองด้วย
	ยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ มีกลุ่มคนในแคลิฟอร์เนียยื่นฟ้องเทศบาลในการให้รถบัสของบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ เช่น แอปเปิล กูเกิล ฯลฯ มาใช้ป้ายจอดรถบัสสาธารณะเพื่อรับ-ส่งพนักงาน โดยบริษัทเหล่านี้จ่ายค่าธรรมเนียมการใช้ป้ายป้ายละ 1 เหรียญต่อวัน
	เรื่องคงไม่เกิดเป็นเรื่องขึ้นมาหากรถบัสจำนวนประมาณ 350 คันของบริษัทเหล่านี้จะไม่ติดฟิล์มกันแสงอย่างดี ติดแอร์เย็นฉ่ำ แถมคนนั่งในรถยังสามารถเล่นอินเตอร์เน็ตผ่านไวไฟได้อีกด้วย และสวัสดิการนี้ฟรีสำหรับพนักงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ที่มีรายได้สูงอยู่แล้ว
	ในขณะที่ประชาชนทั่วไปต้องโดยสารรถบัสที่เก่าและต้องเสียค่าโดยสารเที่ยวละ 2 ดอลลาร์สหรัฐ
	โครงการนี้เป็นความริเริ่มของนายกเทศมนตรีเมืองซานฟรานซิสโก ที่ต้องการให้เกิดการใช้รถร่วมกัน หรือ คาร์พูล จะได้ลดมลพิษทางอากาศ ประหยัดพลังงาน รถจำนวนรถที่ออกมาแล่นในท้องถนน ทำให้ถนนโล่งขึ้น รถติดน้อยลง ซึ่งดิฉันเห็นว่าดีมาก
	แต่คนตามท้องถนนต้องการเห็นความเท่าเทียมกัน เมื่อเกิดการเปรียบเปรียบให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนอย่างนี้จึงรับไม่ได้ หากผู้ฟ้องชนะ โครงการนี้ก็อาจจะต้องปิดตัวลง ซึ่งน่าเสียดาย
	การลดความเหลื่อมล้ำ ไม่จำเป็นต้องจบลงที่ความเท่าเทียม และความเท่าเทียมไม่ได้หมายความว่าจะต้องได้เท่ากัน เหมือนกันหมด การตีความหมายความเท่าเทียมแคบแบบนั้น รังแต่จะก่อให้เกิดความแตกแยกร้าวฉานมากยิ่งขึ้น
	“ความเท่าเทียม” ในความหมายที่แท้จริง หมายถึง “ความยุติธรรม” สวัสดิการจากรัฐต้องไม่มีมาตรฐานเลวร้ายจนเกินไป แต่ก็ต้องไม่ดีจนสิ้นเปลืองงบประมาณ ควรจะกำหนดสิ่งที่เป็นมาตรฐาน และให้ตามมาตรฐานค่ะ
	ดิฉันมองเห็นเช่นเดียวกับสถาบันอนาคตไทยศึกษาว่า “ความเท่าเทียมของโอกาส” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในบรรดาความเท่าเทียม 5 ประการ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการแสดงความเห็น ในการมีอาชีพ ในการได้รับข้อมูลข่าวสารที่สำคัญและจำเป็น ในการเข้าถึงทรัพยากรรวมถึงเงินทุน และที่สำคัญที่สุดคือ โอกาสในการศึกษา
	คนที่ “รู้” กับ “ไม่รู้” มีผลต่อทั้งสุขภาพ ความคิด การเป็นอยู่ การเงิน การทำงาน ฯลฯ และแน่นอนว่า คนที่รู้ ได้เปรียบคนไม่รู้ มากมายหลายเท่า
	สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก ไม่เฉพาะสำหรับประเทศไทย แต่รวมไปทั้งโลก คือช่องว่างระหว่างคน”มีโอกาส” กับ “ไม่มีโอกาส” 
	ปัจจุบันนี้ โลกไม่ได้แบ่งตามเส้นเขตแดนประเทศแล้ว แต่แบ่งกันด้วย ลักษณะความเป็นอยู่ หรือ Demographic ชนชั้นกลางที่ค่อนข้างมีฐานะในมหานครนิวยอร์ค หรือลอนดอน มีแบบแผนชีวิตที่เหมือนคนฐานะดีในกรุงเทพมหานคร ในปักกิ่ง หรือมุมไบ พ่อแม่ส่งให้ไปเรียนในโรงเรียนเดียวกัน ใช้สินค้ายี่ห้อดังๆยี่ห้อเดียวกัน นั่งรถหรูเหมือนกัน ไปเที่ยวตากอากาศเมืองเดียวกัน และรับประทานอาหารในร้านดังๆร้านเดียวกัน 
	ในขณะที่คนที่เป็นผู้ใช้แรงงานในเมืองใหญ่ของสหรัฐอเมริกา มีรายได้น้อย ต้องกินอย่างประหยัด อยู่อย่างแออัด ทำงานหามรุ่งหามค่ำ มีปัญหาสุขภาพ เข้าไม่ถึงเทคโนโลยี ฯลฯ ไม่ต่างอะไรกับผู้ใช้แรงงานในเมืองใหญ่ของเอเชีย 
	การศึกษาในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นการศึกษาในโรงเรียน แต่เป็นการศึกษาเพื่อเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ เด็กที่พ่อแม่เข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ และถูกส่งให้ไปอยู่กับตาและยายในชนบท จะมีปัญหาในการปรับตัวเข้าไปโลกในอนาคต ในขณะที่เด็กลูกของชนชั้นกลางในกรุงเทพมหานคร อยากได้ข้อมูลอะไรก็ถาม “อากู๋ Google” เด็กในชนบทต้องเรียนรู้จากตาและยาย 
	หากจะสร้างความเท่าเทียมทางการเรียนรู้ รัฐต้องทำโครงสร้างพื้นฐานให้ดี ให้มีใช้ได้ทั่วไป ให้คนเข้าถึงกันถ้วนหน้า เหมือนที่เรามีโครงสร้างพื้นฐานเรื่องสุขภาพที่ดี ที่หลายประเทศเอาเป็นแบบอย่าง
	อินเตอร์เน็ตพื้นฐานที่ให้ฟรีต้องมีคุณภาพ และครอบคลุมอย่างทั่วถึง ห้องสมุดประชาชน โรงเรียน และที่ชุมชนในหมู่บ้าน ควรมีเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ครบครัน พร้อมคู่มือใช้งานและคู่มือแนะนำเว็บไซต์ดีๆ และการเรียนรู้ออนไลน์ที่เป็นประโยชน์
	อนาคตของชาติอยู่ในมือของผู้กำหนดนโยบายและจัดสรรทรัพยากรค่ะ
[/size]



ตอบกลับโพส