โค้ด: เลือกทั้งหมด
ในสองสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันได้เขียนถึงความพยายามในการลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นทั่วโลก และมีข้อเสนอแนะด้วยความเป็นห่วงช่องว่างที่เกิดขึ้นมาแล้วและกำลังขยายกว้างขึ้น โดยเฉพาะการศึกษาและการเข้าถึงเทคโนโลยี
เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD จัดประชุมประจำปีในหัวข้อ “Resilient Economies for Inclusive Societies” และได้แถลงภายหลังสิ้นสุดการประชุม มองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของโลกในปีนี้จะมีแรงส่งเพิ่มขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงอยู่โดยเฉพาะความเสี่ยงจากความตึงเครียดด้านภูมิศาสตร์การเมืองที่มีต่อเนื่องมา ประเทศพัฒนาแล้วจะมีอัตราการว่างงานที่ลดลงเล็กน้อย การค้าจะเติบโตสูงกว่าการผลิต และการลงทุนฟื้นตัวขึ้น ส่วนเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาจะมีความแตกต่างกัน
ผู้นำของประเทศพัฒนาแล้วเหล่านี้ได้หารือกันถึงวิธีการที่จะทำให้เศรษฐกิจมีความยืดหยุ่นทนทานและให้ประชากรในสังคมสามารถได้รับประโยชน์จากที่เศรษฐกิจดีด้วย โดยจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างงานและการสร้างการเติบโต
ผู้นำเหล่านี้ให้คำมั่นว่าตั้งเป้าหมายเดียวกันที่จะวางนโยบาย โดยคำนึงถึงเรื่องต่างๆจากหลายๆมุมมอง ในการศึกษาถึงการเลือกว่าจะทำอะไรโดยต้องเสียอะไร การสนับสนุน และผลที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจจากการเลือกดำเนินนโยบายใดนโยบายหนึ่ง โดยเฉพาะจะคำนึงถึงประเด็นความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มมากขึ้น
เพื่อทำให้เศรษฐกิจมีความยืดหยุ่นทนต่อแรงกดดันและวิกฤติต่างๆได้มากขึ้น ประเทศต่างๆต้องเพิ่มผลิตภาพ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน จัดการระบบการเงินให้มีความแข็งแกร่ง มีการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
ทุนความรู้ Internet ที่เปิดกว้าง นวัตกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงจิตวิญญาณของความเป็นผู้ประกอบการ คือ สิ่งที่มีความสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะต่อไปที่เต็มไปด้วยความท้าทายระยะยาว ทั้งในด้านของ การเข้าสู่สังคมสูงวัยของประชากร และความเสื่อมโทรมลงของสภาพแวดล้อม
ความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดอันตรายต่อความเป็นปึกแผ่นของสังคม และทำให้สังคมสูญเสียความยืดหยุ่นและความทนต่อแรงเสียดทานลงไป ทั้งยังส่งผลต่อความสามารถในการรับแรงกดดันและวิกฤติทางเศรษฐกิจอีกด้วย
ผู้นำเหล่านี้ตระหนักว่า รัฐบาลมีบทบาทที่สำคัญในการส่งเสริมการปฏิรูปโครงสร้างที่ดี และการปฏิรูปอื่นๆที่จะช่วยให้เกิดสังคมที่มีความทนต่อแรงเสียดทาน ผู้นำของประเทศเหล่านี้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการสร้างความไว้วางใจจากประชาชนขึ้นมาใหม่ (ใช้คำว่า rebuilding) โดยการเปิดกว้างมากขึ้น มีความโปร่งใสมากขึ้น และเป็นรัฐบาลที่มีความรับผิดชอบ รวมถึงการต่อสู้กับการคอร์รัปชั่น และการสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษี
ทั้งนี้ เขาเน้นย้ำถึงการต้องรวมกลุ่มประชากรต่างๆเข้ามามีส่วนในการเติบโตของประเทศ(Inclusion) และได้กล่าวถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างภูมิภาคต่างๆ การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในระดับพหุภาคี (ด้วยในปัจจุบันมีการส่งเสริมในระดับทวิภาคี คือ สองประเทศทำความตกลงกันเอง เป็นจำนวนมาก จนคนไม่มองถึงการที่หลายๆประเทศมาทำความตกลงเดียวกัน เช่นของ WTO เพราะขับเคลื่อนได้ช้า)
ประเทศไทยเราดูเหมือนจะทันสมัยมาก เพราะเราพูดเรื่องปฏิรูป หรือ reform กันอย่างกว้างขวางในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะปฏิรูปการเมือง การเลือกตั้ง ระบบการศึกษา การเกษตร ไปจนถึงเสนอแนะในการปฏิรูปองค์กรต่างๆ เช่น องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น ฯลฯ
ซึ่งดิฉันก็ได้อ่าน ได้ศึกษาข้อเสนอแนะของหลายๆองค์กร ได้ข้อสรุปว่า เราคิดเก่ง แต่ปฏิบัติไม่เก่งค่ะ มีผู้คิดไว้หลายกลุ่ม หลายรอบ แต่ถึงเวลาปฏิบัติจริงๆ เรามักจะกลัวๆกล้าๆ
เชื่อว่าถ้ายึดถือประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ยึดหลักยุติธรรม มีเหตุผล มีการคิดที่รอบคอบ มีการเยียวยากลุ่มที่ได้รับผลกระทบในทางลบเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือมีช่วงเวลาให้ปรับตัว มีการชี้ให้เห็นถึงผลลบของการไม่ปฏิรูปให้ชัดๆ แยกให้เห็นแต่ละกลุ่ม ดิฉันเชื่อว่าปฏิรูปอะไรๆก็สำเร็จ แต่ต้องฟังกันนะคะ และให้มีตัวแทนออกไปชี้แจงต่อในแต่ละกลุ่มว่าทำไมต้องทำ ทำไมต้องเสียสละ ฯลฯ
ต้องวาดภาพอนาคตของการไม่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรเลยให้เห็น แบบที่ดิฉันฟังมาจากคุณดัยนา บุนนาค ว่าโจเซฟ สติกลิกซ์ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง วาดภาพเอาไว้ว่า หากเราไม่มีความพยายามในการลดความเหลื่อมล้ำ ในอนาคตคนรวยจะอยู่ในชุมชนที่มีกำแพงสูงมาก ล้อมรอบด้วยสลัมของคนจนๆ คนรวยจะไม่สามารถออกมาข้างนอกกำแพงได้ เพราะมีอันตราย แล้วเราจะอยู่ในโลกที่เป็นอย่างนั้นได้หรือไม่ เราจะมีความสุขหรือไม่ถ้าเรารู้อยู่เต็มอกว่า ข้างนอกกำแพงนั้นมีคนที่กำลังอดตายนอนรอความเมตตาปรานีจากเราอยู่
ถ้าคำตอบคือ “ไม่” เรายังอยากจะอยู่ในโลกในประเทศที่มีพี่น้อง เพื่อนๆ มีผู้อาวุโส มีผู้เยาว์ แม้จะมีความแตกต่างของฐานะทางเศรษฐกิจ แม้จะมีความแตกต่างด้านรูปร่างหน้าตา สีผิว หรือศาสนา แม้จะมีภาษาถิ่นที่แตกต่างกัน มีวัฒนธรรม มีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน มีความคิดที่แตกต่างกัน แต่เราก็อยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข เพราะเราเคารพในความเป็นคนของกันและกัน
เราเคารพในสิทธิของแต่ละคน เราไม่อยู่เบียดกันเกินไป แต่มีช่องว่างระหว่างกันเพื่อไม่ให้อึดอัด เมื่อต้องการวมกันเพื่อทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง เราสามารถรวมตัวกันได้ เมื่อใครในสังคมต้องการความช่วยเหลือ เราช่วยกันได้ เมื่อใครในสังคมได้รับการเชิดชู ได้รับเกียรติยศ เรายินดีกับเขาด้วย
แต่ละคนสามารถทำในสิ่งที่ตนเองอยากจะทำ แต่เราก็เคารพในกฎเกณฑ์ หากสังคมห้ามทำ เราก็ไม่ทำ แม้จะไม่ถูกใจเรา แต่เราก็ยอมรับได้
หากต้องการเห็นและอยู่ในสังคมที่ดี เราต้องช่วยกันค่ะ
เราต้องเชื่อว่าเราแต่ละคนสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ คิดถึงตัวเองให้น้อยลง คิดถึงคนอื่นให้มากขึ้น
แม้สัปดาห์นี้จะเป็นตอนจบ แต่ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำและความเท่าเทียมนี้ยังเพิ่งเริ่มต้นค่ะ ขอฟันธงเลยว่า รัฐบาล (ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของประเทศใดในโลก) หากไม่ตระหนักว่า สังคมและเศรษฐกิจปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ให้ความสำคัญต่อเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม และหากไม่เปิดกว้างพยายามเชิญชวนให้ผู้มีความรู้ความสามารถทางด้านต่างๆ จำนวนมาก เข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยคิด ในการช่วยแก้ไขปัญหา บรรเทาสถานการณ์ หรือในการวางแผนผังของสังคมในอนาคตที่ไม่ทอดทิ้งใครไว้เบื้องหลังที่เราอยากเห็น รัฐบาลนั้นจะไม่สามารถเป็นรัฐบาลที่ดี หรือสามารถบริหารประเทศได้อย่างราบรื่นค่ะ