โค้ด: เลือกทั้งหมด
วันที่บทความนี้ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจในวันจันทร์ทั่วโลกคงจะได้รับรู้ผลการลงประชามติแล้วว่าประชาชนสกอตแลนด์เลือกที่จะตั้งประเทศใหม่หรือจะยังเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอังกฤษ ดังที่เคยรวมกันเมื่อ 307 ปีก่อนหน้า หากพลิกดูประวัติศาสตร์ก็จะพบว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สกอตแลนด์ยอมรวมตัวกับอังกฤษในปี 1707 ก็สืบเนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจ กล่าวคือชนชั้นนำที่เป็นพ่อค้าของสกอตแลนด์ล้มละลายจากการลงทุนค้าขายกับอเมริกาและประเทศก็ประสบปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรง ประกอบกับความเสี่ยงที่จะถูกอังกฤษเข้ายึดครองประเทศ จึงตัดสินใจยอมรวมกับอังกฤษโดยสมัครใจ
มาครั้งนี้ก็ต้องสรุปว่ากระแสการแยกประเทศของสกอตแลนด์นั้นได้ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 1999 ที่รัฐสภาสกอตแลนด์ได้รับอำนาจในการปกครองตนเองมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการทำประชามติในปี 1997 จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือผลการเลือกตั้งในปี 2011 ซึ่งพรรค Nation Party ได้เสียงข้างมากในสภาของสกอตแลนด์ (โดยมี ส.ส. 69 คน จากทั้งหมด 129 คน) ทั้งนี้ แม้ปกติสภาจะมีวาระ 4 ปี แต่การเลือกตั้งดังกล่าวได้กำหนดให้สภามีวาระนานถึง 6 ปี (หมดสมัยพฤษภาคม 2016) และให้ลงประชามติเพื่อแยกประเทศในปี 2014 โดยให้รัฐบาลและสภาเจรจาแยกประเทศสกอตแลนด์จากอังกฤษให้สำเร็จภายในมีนาคม 2016 กล่าวคือหากประชาชนสกอตแลนด์ลงประชามติให้แยกประเทศในวันที่ 18 กันยายน หลายคนก็ยังพยายามมองในแง่ดีว่ายังจะต้องเจรจากันนานถึง 18 เดือนก่อนที่จะมีการแยกประเทศจริง ซึ่งน่าจะทำให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวราบรื่น
หากมองผิวเผินแล้วการแยกประเทศน่าจะเป็นเรื่องที่ดีเพราะสกอตแลนด์ก็เคยเป็นประเทศที่รุ่งเรืองกว่า 500 ปีก่อนยอมผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอังกฤษ นอกจากนั้นฝ่ายที่สนับสนุนการตั้งประเทศใหม่ก็ยังมองว่าจะทำให้สกอตแลนด์มั่งคั่งยิ่งขึ้นเพราะเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย เช่น นายกรัฐมนตรีของสกอตแลนด์นาย Salmond (ซึ่งหากแปลตามตัวอักษรนั้นเป็น First Minister หรือรัฐมนตรีเอกซึ่งแต่งตั้งโดยพระราชินีของอังกฤษ) ประเมินว่าน้ำมันดิบที่ทะเลเหนือซึ่งอยู่ในอาณาเขตของสกอตแลนด์นั้นยังมีน้ำมันเหลืออยู่อีก 24,000 ล้านบาร์เรลหรือมูลค่าเท่ากับ 300,000 ปอนด์ต่อชาวสกอตแลนด์ 1 คน (สกอตแลนด์มีประชากร 5.3 ล้านคน) นอกจากนั้น สกอตแลนด์ก็ยังมีชื่อเสียงในด้านอื่นๆ คือเป็นศูนย์กลางทางการเงิน มีอุตสาหกรรมหนัก (สมัยก่อนเป็นอู่ต่อเรือใหญ่) มีสนามกอล์ฟชั้นนำของโลกและผลิตวิสกี้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นต้น
นอกจากนั้น นาย Salmond ก็ยังบอกว่าการแยกตัวจากอังกฤษนั้นจะไม่ได้แยกเงินตรา กล่าวคือยังจะใช้เงินปอนด์และธนาคารกลางอังกฤษเหมือนเดิมและประเทศสกอตแลนด์ก็น่าจะสามารถเจรจาเพื่อเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปได้ในไม่ช้า ทำให้ไม่สูญเสียผลประโยชน์ทางการค้าแต่ประการใด นอกจากนั้นนาย Salmond ยังบอกว่าเมื่อสกอตแลนด์แยกตัวออกมาแล้วก็อาจไม่ต้องร่วมรับผิดชอบหนี้สาธารณะของรัฐบาลอังกฤษที่จะมีอยู่มากถึง 1.5 ล้านล้านปอนด์ในปี 2016 หรือประมาณ 100% ของจีดีพี ซึ่งสูงมาก
ผลเสียต่อสกอตแลนด์
1. Paul Krugman นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังสรุปว่าหากสกอตแลนด์แยกออกมาเป็นประเทศใหม่ “be afraid, be very afraid” เพราะชาวสกอตต์อาจนึกว่าจะเป็นเหมือนแคนาดา แต่ในที่สุดเศรษฐกิจจะตกต่ำยิ่งกว่าสเปน เพราะสกอตแลนด์จะยังพึ่งพาธนาคารกลางอังกฤษและเงินปอนด์อังกฤษเหมือนกับสเปนที่ไม่มีเงินตราของตนเองต้องอาศัยเงินยูโรและเมื่อเกิดวิกฤติก็ต้องยอมรับนโยบายการเงินที่อนุรักษนิยม (ที่ถูกกำหนดโดยประเทศเยอรมัน) แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากนโยบายการคลังจากส่วนกลาง (เพราะแยกประเทศออกมาแล้ว) กล่าวคือความตกต่ำทางเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ชายขอบของยุโรป (สเปน กรีซ โปรตุเกส อิตาลี) สะท้อนให้เห็นถึงจุดอ่อนของการใช้เงินสกุลร่วมกัน แต่แยกนโยบายการคลังออกจากกัน Krugman จึงสรุปว่าคนสกอตแลนด์กำลังถูกชี้นำไปในทางที่ผิด (badly misled)
2. ด้วยเหตุผลข้างต้นธนาคารขนาดใหญ่และขนาดกลางของสกอตแลนด์ทั้ง 5 แห่ง (รวมถึงยักษ์ใหญ่เช่น Royal Bank of Scotland และ Lloyds Banking Group) จึงประกาศว่าจะต้องย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังประเทศอังกฤษเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองดูแลจากธนาคารกลางอังกฤษ ทั้งนี้ รัฐบาลอังกฤษบอกว่าจะไม่ยอมให้สกอตแลนด์ใช้เงินปอนด์ของอังกฤษ แต่นาย Salmond เชื่อว่าเป็นเพียงคำขู่เท่านั้นและยังสามารถเจรจาประนีประนอมได้เพราะมีเวลาอีก 18 เดือน แต่หลายฝ่ายเกรงว่าจะมีการไหลออกของเงินและสร้างปัญหาสภาพคล่องอย่างรุนแรง ซึ่งปัจจุบันธนาคารกลางอังกฤษและสถาบันการเงินกำลังเตรียมการเพื่อรองรับสถานการณ์อยู่
3. ยุโรปบอกว่าไม่สามารถให้สกอตแลนด์เข้าเป็นสมาชิกได้ในเร็ววัน แต่นาย Salmond เชื่อว่าเป็นคำขู่เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อประเทศสเปน (ซึ่งชาว Catalonia ที่ต้องการแยกตัวออกจากสเปนมาก่อนหน้านี้ได้รวมกัน 1.8 ล้านคนเริ่มเดินขบวนเพื่อเรียกร้องการลงประชามติอีกครั้งเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว) แต่นาย Salmond เชื่อว่าเมื่อประชามติผ่านไปแล้วสกอตแลนด์ก็จะสามารถเจรจาเข้าเป็นสมาชิกได้โดยไม่ยากนัก
ผลเสียต่ออังกฤษและยุโรป
1. หากสกอตแลนด์แยกประเทศก็จะเสี่ยงต่อการทำให้สเปนแตกแยก
2. ศักยภาพทางเศรษฐกิจของอังกฤษจะต้องด้อยลงและในระยะสั้นน่าจะส่งผลให้เงินปอนด์อ่อนค่าและอาจทำให้เงินไหลออกทั้งจากสกอตแลนด์และอังกฤษ
3. ด้านความมั่นคงนั้นสกอตแลนด์ต้องการให้อังกฤษย้ายฐานทัพเรือดำน้ำนิวเคลียร์ออกจากสกอตแลนด์ ซึ่งจะเป็นภาระทางการเงินและส่งผลเสียต่อความมั่นคงทางการทหารของอังกฤษและยุโรปอย่างยิ่ง
ดังนั้น แม้จะมองได้ว่าการกำเนิดประเทศใหม่อีก 1 ประเทศจะเป็นเรื่องที่ดี แต่กรณีสกอตแลนด์นั้นน่าจะเสียมากกว่าได้ครับ