โค้ด: เลือกทั้งหมด
คิดว่าทุกคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นด้วยสาเหตุหลักๆคือความอยากร่ำรวย หลายคนอาจมีเงินลงทุนเริ่มต้นจากครอบครัวเช่นพ่อแม่ให้เงินมาก้อนหนึ่งเพื่อนำไปลงทุนในตลาดหุ้น บางคนก็อาจจะขาดทุนจนหมดหรือเลิกเล่นหุ้นไป หลายคนก็สามารถสร้างความมั่งคั่งเพิ่มเติมขึ้นจากเงินที่พ่อแม่ให้มาได้ คนที่มีเงินมากมายจากการทำกำไรจากตลาดหุ้นในวันนี้อาจจะไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์เลยทีเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าเราไม่มีเงินจากพ่อแม่หรือมีมรกดกตกทอดมาเป็นเงินตั้งต้น เราจะไม่สามารถทำเงินจากตลาดหุ้นได้
หลายคนอาจตัดพ้อต่อว่าพ่อแม่หรือบรรพบุรุษที่ไม่ได้ทิ้งเงินไว้ให้ลูกหลานจนต้องลำบากทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียว หลายคนคิดว่าชาตินี้ไม่มีวันร่ำรวยได้เพราะไม่มีบุญวาสนาอย่างคนอื่นเหมือนคนที่เกิดมาในกองเงินกองทอง จริงๆแล้วการมีทัศนคติที่ถูกต้องน่าจะเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าชาติกำเนิดหรือมรดกที่มีในการสร้างความร่ำรวยด้วยตนเอง เงินที่หามาได้จากลำแข้งจะไม่ถูกนำไปใช้อย่างง่ายๆเหมือนเงินที่ได้มาจากคนอื่นให้อย่างเสน่หาหรือโชคลาภ มีผลวิจัยพบว่าคนที่ถูกล๊อตเตอรี่รางวัลใหญ่ๆนั้นส่วนใหญ่มากกว่า 90 เปอร์เซนต์จะใช้เงินที่ได้รางวัลหมดในระยะเวลาเพียง 3 ปี เราเคยได้ยินเรื่องของสามล้อถูกหวยอยู่บ่อยๆที่ว่าคนรับจ้างถีบสามล้อวันหนึ่งถูกหวยรางวัลที่หนึ่งได้เงินมาหลายล้านบาท จากนั้นเขาใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ซื้อรถซื้อบ้านแจกญาติๆ กินดื่มเที่ยวกับเพื่อนๆจนเงินหมด จากนั้นก็กลับไปถีบสามล้อหาเงินประทังชีวิตเช่นเดิม ถึงแม้วันนี้จะไม่มีอาชีพถีบสามล้ออีกแล้ว แต่สุภาษิตนี้ยังน่าจะอยู่คู่สังคมไทยไปอีกนาน
สำหรับคนที่ไม่มีมรดกหรือพ่อแม่ไม่มีเงินลงทุนก้อนแรกให้จะสามารถร่ำรวยจากตลาดหุ้นได้อย่างไร จากประสบการณ์ของนักลงทุนจำนวนมากที่ผู้เขียนรู้จักสามารถสร้างตัวเองได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
หนึ่ง ทำงานเก็บเงิน
ถ้าไม่มีมรดกหรือกิจการส่วนตัวของครอบครัว สิ่งที่ทำได้คือทำงานกินเงินเดือน พนักงานประจำส่วนใหญ่ไม่สามารถเก็บเงินได้เพราะมีสิ่งล่อใจจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นมือถือรุ่นใหม่ รถรุ่นใหม่หรือเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าสวยๆใหม่ๆก็ตามที พอเก็บเงินได้สักก้อนก็อยากจะนำไปดาวน์รถเป็นของขวัญให้ตนเอง โดยไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายในการมีรถยนต์ไว้ครอบครองนั้นสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าประกันภัย ค่าน้ำมัน และค่าซ่อมบำรุงรักษาหลายคนไม่มีเงินก้อนก็ซื้อของก่อนผ่อนทีหลัง หรือไม่ก็ใช้บัตรเครดิตจนเป็นหนี้จำนวนมาก
การมีวินัยในการเก็บเงินถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความร่ำรวยด้วยตนเอง ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าหวังว่าจะมีใครมาช่วยได้ หลักการในการเก็บเงินคือตามสัญชาตญานของมนุษย์แล้ว ถ้าเราไม่เห็นหรือไม่รู้สึกว่าไม่มีเงินก้อนนั้น เราก็จะไม่ใช้มัน เช่น เพียงแค่รู้ว่าเราได้โบนัสที่จะออกในเดือนหน้า เราก็คิดหาเรื่องใช้เงินก้อนนั้นแล้ว จนหลายคนบอกว่าโบนัสถูกใช้หมดตั้งแต่เงินยังไม่เข้าบัญชีเสียด้วยซ้ำไป ดังนั้นถ้าเราไม่คิดว่าได้โบนัส เราก็จะไม่ใช้เงินโบนัสนั้นถึงแม้เราจะได้โบนัสจริงๆ การเก็บเงินที่จะสร้างความมั่งคั่งได้นั้นควรจะเก็บอย่างน้อย 50 เปอร์เซนต์ของเงินที่ได้รับในแต่ละเดือน ถ้าทำได้หมายความว่าในแต่ละวันที่เราทำงาน เราสามารถหยุดทำงานได้ตามวันที่เราทำงานเพราะเราใช้จ่ายแค่ครึ่งเดียวของที่เราหาได้ในแต่ละวันหรือแต่ละเดือน และถ้าได้โบนัสมาก็นำมาเป็นเงินลงทุน คิดเสียว่าเงินก้อนนี้ไม่ได้รับมา สมองเราก็จะไม่คิดใช้เงินก้อนนั้น ถ้าเงินเดือนขึ้นก็แบ่งเก็บครึ่งหนึ่งเช่นเดียวกัน
สมมุติว่าพนักงานคนหนึ่งได้เงินเดือนเดือนละ 3 หมื่นบาท โบนัสปีละ 3 เดือน ถ้าเก็บเงินได้ครึ่งหนึ่งคือ 1.5 หมื่นบาทและโบนัสเก็บเข้าบัญชีทุกปี ภายในเวลา 4 ปีจะมีเงินเก็บถึง 1,080,000 บาท นั่นคือ 1 ล้านบาทแรกจากการทำงานโดยเริ่มต้นจากศุนย์และไม่ต้องขอเงินจากพ่อแม่แต่อย่างใด ซึ่งเงินก้อนนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่ำรวยโดยไม่ต้องง้อมรดก การจะทำเช่นนี้ได้ต้องมีวินัยในตนเองเรื่องของการใช้ชีวิตและเก็บเงิน เงินเดือนเพียง 3 หมื่นบาทและเก็บเงินถึง 1.5 หมื่นบาทนั้นจำเป็นต้องหยุดความอยากได้ในระยะสั้นของตนเองเพื่อเป้าหมายในระยะยาว เช่น ไม่ใช้บัตรเครดิตเพราะทำให้การเก็บเงินไม่บรรลุเป้าหมาย หรือไม่คิดนำเงินสองแสนที่เก็บได้ไปซื้อรถยนต์ การเดินทางโดยรถสาธารณะหรือรถไฟฟ้าน่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่า การซื้อบ้านน่าจะยังไม่ใช่เป้าหมายในตอนนี้ ดังนั้นการเช่าบ้านจึงน่าจะเป็นทางออกสำหรับคนที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่หรือญาติ สำหรับคนที่เริ่มต้นทำงานแล้ว ระยะเวลาเพียง 4 ปีในการเก็บเงินให้ได้หนึ่งล้านนั้นถือว่าไม่นานเพราะถึงตอนนั้นยังอายุไม่ถึง 30 ปีด้วยซ้ำไป
คราวหน้าเราจะมาพูดถึงขั้นตอนต่อไปในการสร้างความร่ำรวยโดยไม่ง้อมรดกจากใครๆ