โค้ด: เลือกทั้งหมด
ท่านผู้อ่านที่ติดตามเรื่องราวของประเทศกรีซ คงจะทราบดีว่า หลังจากการเจรจาเรื่องการขอกู้เงินก้อนใหม่ของกรีซ เกิดชะงักงันเพราะไม่สามารถตกลงเรื่องมาตรการต่างๆที่กรีซจะต้องดำเนินการเพื่อให้เจ้าหนี้รู้สึกว่ามีโอกาสที่จะได้รับชำระหนี้คืนบ้าง และนายกรัฐมนตรีของกรีซ หาทางออกให้ตัวเองด้วยการประกาศว่าจะไปทำประชามติ ให้ประชาชนเลือกว่าจะยอมทำตามมาตรการรัดเข็มขัดที่กลุ่มเจ้าหนี้ต้องการหรือไม่
สิ่งที่นายกรัฐมนตรีของกรีซคาดไว้คือ หากประชาชนลงประชามติว่า “ไม่รับ” มาตรการรัดเข็มขัดอันโหดร้ายของกลุ่มเจ้าหนี้ เขาก็จะสามารถเดินไปเจรจากับกลุ่มเจ้าหนี้ ให้ผ่อนปรนมาตรการได้ โดยที่ยังสามารถอยู่ในกลุ่มยูโรได้ต่อไป
ทางเจ้าหนี้จึงยุติการเจรจาจนกว่าจะมีความคืบหน้าเรื่องประชามติจากกรีซ ทำให้ในวันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2558 กรีซเป็นประเทศพัฒนาแล้วประเทศแรกที่ผิดนัดชำระหนี้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ ไอเอ็มเอฟ (IMF)
ประชาชนชาวกรีก ก็ยากที่จะตัดสินใจเช่นกัน เพราะไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว และแม้จะสามารถแก้ไขได้ ก็จะไม่กลับไปสู่สภาพเดิม
ที่น่าเป็นห่วงคือ คนกรีกส่วนใหญ่ ยังไม่เข้าใจถึงผลกระทบของการลงประชามติของตนเอง ในขณะที่คนที่มองจากภายนอก มองว่าการลงประชามติครั้งนี้ เปรียบเสมือนการลงประชามติว่าจะออกจากการใช้เงินสกุล”ยูโร” หรือไม่ อย่างกลายๆนั่นเอง
เพราะหากเบี้ยวหนี้ ก็แปลว่าตั้งใจเบี้ยวยาว และไม่ยอมปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เจ้าหนี้บังคับ คงไม่สามารถไปเจรจาขอกู้เงินเพิ่มได้ แต่ไม่แน่นะคะ อาจจะเป็นไปได้ เพราะสมัยนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ และทาง ECB ก็อาจต้องเตรียมประชุมเพื่อให้เงินช่วยเหลือฉุกเฉินกับกรีซในวันจันทร์
สถานการณ์ในกรีซแย่ลงเรื่อยๆ เงินสดที่เคยกำหนดให้เบิกได้วันละ 60 ยูโรต่อคนนั้น ถูกลดลงมาเหลือ 50 ยูโรแล้ว คาดว่าธนาคารพาณิชย์ในกรีซเหลือเงินสดอยู่ประมาณ 500 ล้านยูโรเท่านั้น จึงไม่แน่ใจว่า หลังจากลงประชามติในวันอาทิตย์แล้ว ธนาคารจะเปิดทำการได้ในวันจันทร์
นักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหญ่อย่าง โจเซฟ สติกลิกซ์ และพอล ครุกแมน สองนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบิล แนะนำกรีซว่า ให้ลงประชามติ “ไม่” และกลับไปใช้เงินสกุลของตัวเอง เพื่อสักวันหนึ่งจะเป็นไท อย่างแท้จริง ดีกว่าฝืนอยู่ใน ยูโร และไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง จะต้องเผชิญกับเศรษฐกิจตกต่ำไปอีกยาวนาน
ในขณะที่ อาจารย์เศรษฐศาสตร์ 246 คนในประเทศกรีซ ออกมาแสดงความเห็นว่า ให้ลงประชามติ “รับ” มาตรการรัดเข็มขัดต่างๆเสีย เพราะไม่เช่นนั้น ประเทศจะประสบกับหายนะทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และภูมิรัฐศาสตร์
ดิฉันไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ แต่เห็นว่า หากเราบังคับตัวเองไม่ได้ เราอาจจะต้องใช้เครื่องมือเข้ามาช่วย และหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยให้เรามีวินัย อาจต้องมาจากแรงกดดันจากภายนอก เพราะถ้าให้จัดการกันเอง อาจมีความอลุ้มอล่วยให้กันมากเกินไป ซึ่งจะเป็นแรงกดดันจากภายในหรือภายนอก คนในชาติต้องเป็นผู้ตัดสินเองค่ะ
ที่แน่ๆคือ ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้
เมื่อสามปีก่อน หลังจากเจ้าหนี้ยอมลดหนี้ให้กรีซ 70-75% และยืดให้จ่ายชำระคืน 30 ปีนั้น ยังพอมีความหวังว่ารัฐบาลกรีซจะควบคุมการใช้จ่ายและนโยบายต่างๆ เพื่อให้สามารถทำตามแผนจ่ายคืนหนี้ได้ แม้ตอนนั้นก็เริ่มมีกระแสความไม่พอใจของประชาชน แต่ประชาชนก็กลัวการออกจากยูโรโซน เนื่องจากกลัวความไม่แน่นอน แต่ในสามปีที่ผ่านมา คนกรีกลำบากมากขึ้น ว่างงานมากขึ้น ความกลัวความไม่แน่นอนจากการออกจากยูโรโซน อาจจะลดน้อยถอยลงไป
หากเป็นเช่นนี้ กรีซก็อาจจะไม่มีทางเลือก นอกจากชักดาบ แล้วออกไปตั้งตัวใหม่ อาจจะหันไปซบเจ้าหนี้รายใหม่ เช่นรัสเซียหรือจีน และกลับไปใช้เงินสกุล “ดรักม่า” ของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ดี โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป โดยประชากรสูงวัยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาก ก็ทำให้แนวโน้มรายได้ในอนาคตของรัฐ ไม่พอที่จะนำมาดูแลประชากรสูงวัย และใช้คืนหนี้อันมหาศาลเหล่านี้
ข้อมูลจาก World Fact Book บ่งว่า ประชากรวัย 65 ปีขึ้นไป มีสัดส่วนถึง 20.2% ของประชากร 10.7 ล้านคน และมีประชากรกลุ่มที่กำลังจะสูงวัย คือมีวัย 55-64 ปี อีก 12.7% ในขณะที่มีประชากรในวัยทำงาน ที่มีอายุ 25-54 ปี ในสัดส่วน 43.2% วัยหนุ่มสาว 15-24 ปี 9.8% และวัยเด็ก 0-14 ปี 14.1%
นอกจากนี้ประชากรของกรีซยังมีอายุยืน คืออายุเฉลี่ย ณ แรกเกิดในปัจจุบันเท่ากับ 80.3 ปี และอัตราการเพิ่มของประชากรต่ำมากเพียง 0.01% เท่านั้น (เทียบกับของไทยที่มีจำนวนประชากร 65.1 ล้านคน มีอัตราการเพิ่ม 0.39%) โอกาสที่จะมีประชากรในอนาคตมาทำงาน เสียภาษี เพื่อจ่ายคืนหนี้ จึงลำบากมากขึ้น
ปัจจุบัน กรีซมีแรงงาน 3.91 ล้านคน และมีอัตราว่างงานสูงถึง 26.8%
ถ้ากลุ่มเจ้าหนี้ปัจจุบันเห็นว่า การยอมปล่อยให้กรีซดำเนินนโยบายต่างๆเอง อาจทำให้มีโอกาสได้รับเงินคืนน้อยลง ก็คงต้องหันหน้ามาเจรจา ยอมผ่อนปรนเงื่อนไขบางอย่าง เพื่อเลี้ยงไข้กรีซให้อยู่ในยูโรโซนต่อไป อย่างน้อยก็เพื่อให้ได้รับเงินต้นคืนมากกว่านี้
ณ ขณะนี้ กรีซต้องการสภาพคล่อง ต้องการเงินเข้าหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจ โดยไอเอ็มเอฟประมาณว่า กรีซต้องการเงินกู้เพิ่มอีก 60,000 ล้านยูโร (ประมาณ 2.28 ล้านล้านบาท) เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไป
รัฐบาลกรีก จะสามารถรับผิดชอบดูแลประชาชนไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ ยังไม่มีใครทราบ เพราะที่ผ่านๆมา นักการเมืองมาสร้างนโยบายประชานิยมในช่วงทศวรรษที่แล้ว แล้วนักการเมืองก็จากไป ทิ้งผลพวงของหนี้และการเสพติดนโยบายประชานิยมให้กับประชาชน จนต้องขอรับความช่วยเหลือจาก ไอเอ็มเอฟ และธนาคารกลางยุโรป
เลขาธิการ OECD คุณแองเกล กูเรีย กล่าวเอาไว้ว่า ปัญหาสำคัญอยู่ที่มีการซ่อนตัวเลขการขาดดุลงบประมาณของกรีซจาก 15% ของจีดีพี เหลือเพียง 5 % ของจีดีพี เพื่อให้มีคุณสมบัติสามารถเข้าอยู่ในกลุ่มใช้เงินสกุลยูโรได้ในปี 2004
ถ้าเดาจากธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ฝ่ายโหวต “รับ” น่าจะได้ชัยชนะ แต่จะเป็นชัยชนะแบบฉิวเฉียด ซึ่งจะทำให้กรีซยังคงอยู่ในยูโรโซนได้ต่อไป และสัดส่วนที่สูงของฝ่าย “ไม่รับ” ก็จะทำให้รัฐบาลมีข้ออ้างที่จะเจรจาต่อรองได้เพิ่ม แต่อาจจะต้องยอมแลกกับการเข้ามาควบคุมการดำเนินการทางการเงินการคลังของกลุ่มเจ้าหนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถปฏิบัติได้
ถ้าเดาจากฐานโครงสร้างประชากร ฝ่ายโหวต “ไม่รับ” น่าจะได้ชัยชนะ แต่จะเป็นชัยชนะแบบฉิวเฉียด ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีข้ออ้างที่จะเจรจาต่อรองได้เพิ่ม และสัดส่วนที่สูงของฝ่าย “รับ” ก็จะทำให้รัฐบาลใช้เป็นข้ออ้างในการอยู่ในยูโรโซนต่อไป
ไม่ว่าผลของการลงประชามติของชาวกรีกจะออกมาอย่างไรก็ตาม ก็จะตอกย้ำให้ทุกคนตระหนักว่า “ความไม่เที่ยง ความไม่ยั่งยืน เป็นเรื่องธรรมดาของโลก”