โค้ด: เลือกทั้งหมด
คนเราจะรวยหรือจนนั้นผมเคยพูดหลายครั้งแล้วว่าขึ้นอยู่กับ “ความสว่าง” ของ “โคมไฟวิเศษ 3 ดวง” รวมกัน โคมไฟดวงแรกก็คือ “เงินตั้งต้น” ที่เราอาจจะได้มาจากโชคเช่นการ “เกิดมารวย” การเกิดมาฉลาด หรือแม้แต่การถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 หรือการทำงานได้เงินและเก็บออมไว้ ส่วนโคมไฟดวงที่สองก็คือผลตอบแทนแบบทบต้นที่เราทำได้จากการลงทุน และโคมไฟดวงที่สามก็คือระยะเวลาของการลงทุน โดยที่โคมไฟทั้งสามดวงนั้น ความสว่างมากก็คือ หนึ่งมีเงินตั้งต้นมาก สองได้ผลตอบแทนการลงทุนแบบทบต้นสูง และสาม มีระยะเวลาการลงทุนยาวนาน ตามลำดับ โดยที่บทความทั้งหลายที่ผมเขียนในคอลัมน์นี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของโคมไฟดวงที่สองและสาม นั่นก็คือ การทำผลตอบแทนการลงทุนให้ดีโดยการลงทุนแบบ VI และการลงทุนระยะยาวในหุ้น ส่วนโคมไฟดวงแรกนั้น ผมพูดถึงน้อย และนี่ก็คือสิ่งที่ผมจะพูดถึงในวันนี้
การมีเงินตั้งต้นสำหรับการลงทุนนั้นมีความสำคัญมากโดยเฉพาะในช่วงแรกของชีวิตการลงทุน ถ้าเราไม่มีเงินลงทุนหรือมีน้อยมาก โอกาสที่เราจะรวยจากการลงทุนก็จะยาก พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าโคมไฟดวงแรกนั้น “มืดสนิท” โคมไฟดวงอื่นก็จะทำงานไม่ได้ ดังนั้น การเพิ่มความสว่างให้กับโคมไฟดวงแรกจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และการเพิ่มนี้ก็ควรที่จะทำต่อไปเรื่อย ๆ อย่าเลิกทำงานหาเงินและออมเงินตราบที่เงินที่หาได้นั้นยังมีจำนวนมากกว่าเงินปันผลจากการลงทุนนี่เป็นกฎคร่าว ๆ ที่จริงถ้าจะให้ดีหรือเราต้องการรวยเร็วขึ้นและงานที่เราทำนั้น “มีคุณค่า” ในความรู้สึกของเราและไม่น่าเบื่อ ผมเองก็คิดว่าเราก็ควรจะทำไปเรื่อย ๆ จนรายได้จากการทำงานนั้น “ไม่มีความสำคัญต่อไป” คืออาจจะคิดเป็นแค่ 20-30% ของเงินปันผลเท่านั้น
ประสบการณ์ของผมก็คือ ผมเริ่มลงทุน “เพื่อชีวิต” อย่างจริงจังประมาณปี 2538-39 เมื่ออายุ 40ปีต้น ๆ ด้วยเงินออมที่ไม่มากนักแต่ก็ไม่น้อยเมื่อเทียบกับผู้บริหารระดับใกล้เคียงกันทั้ง ๆ ที่ผมเพิ่งทำงานและสามารถมีเงินเก็บได้เพียงประมาณ 10 ปีเศษ ๆ หลังจากเรียนจบปริญญาเอก เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าผมเองเป็นคนที่มีนิสัยประหยัดและไม่ใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น นี่เป็นนิสัยที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยังเด็กและจำความได้ ผมคิดว่าโดยเฉลี่ยแล้วผมน่าจะออมเงินมากกว่า 30% ของรายได้ในแต่ละปีของผม แต่เหตุผลที่ทำให้ผมสามารถออมเงินได้มากนั้นไม่ใช่เพราะนิสัยประหยัดเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะผมไม่ได้สร้าง “ภาระ” ที่จะต้องจ่ายเงินมากในชีวิตประจำวันด้วย เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ผมไม่ซื้อทรัพย์สินใหญ่ ๆ เช่นบ้านและรถยนต์ที่จะต้องจ่ายค่าผ่อนจำนวนมากในแต่ละเดือน และนี่ก็คือเคล็ดลับสำคัญในการเพิ่มความสว่างให้แก่โคมไฟดวงแรก นั่นคือ อย่าสร้างรายจ่าย “ถาวร” โดยเฉพาะที่เป็นรายการใหญ่ ๆ โดย “ไม่จำเป็น”
ถ้าเราเกิดมา “จน” นั่นคือ พ่อแม่มีฐานะยากจนและมีรายได้ต่ำตลอดชีวิต นั่นก็หมายความว่าเราจะหวังได้เงินเริ่มต้นเพื่อนำมาลงทุนจากครอบครัวไม่ได้ ทางเดียวที่จะสร้างและเพิ่มความสว่างให้กับโคมไฟดวงแรกก็คือ การทำงานที่มีรายได้สูงพร้อม ๆ กับการเก็บออมในอัตราที่สูงด้วย แต่การสร้างรายได้ที่สูงจากการทำงานนั้น สำหรับคนที่เกิดมาจนส่วนใหญ่แล้วแทบจะมีทางเดียวนั่นก็คือ พยายามเรียนหนังสือให้สูงในสายวิชาที่ “ทำเงิน” ซึ่งมักจะเป็นวิชาในสายที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เช่น แพทย์หรือวิศวกรรมจากสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง หลังจากนั้น ก็พยายามพัฒนาตนเองเพื่อที่จะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้บริหาร ในกรณีแบบนี้ บ่อยครั้งเราก็มักจะต้องเรียนเพิ่มในระดับสูงขึ้นเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจสูงขึ้นไปอีกหรือได้รับการยอมรับมากขึ้น นี่ก็วิธีเพิ่มความสว่างของไฟดวงแรกโดยโดยใช้แรงกายและใจของเราล้วน ๆ บ่อยครั้งก็เป็นเรื่องที่หนัก น่าเบื่อหน่าย และใช้เวลามาก และนั่นก็คือเส้นทางในการหาและเพิ่มเงินเริ่มต้นของผม แต่เนื่องจากผมเน้นไปที่การเรียนมากจนถึงปริญญาเอก ทำให้เงินที่ได้มาจากการทำงานถูกใช้ไปหมด กว่าโคมไฟดวงแรกจะถูกจุดติด ผมก็อายุ 32 ปีเข้าไปแล้ว
สำหรับคนที่เกิดมาไม่จนแต่ก็ไม่ได้รวยพอที่จะได้เงินจากครอบครัวเป็นเรื่องเป็นราวนั้น เส้นทางทำเงินนอกจากการเรียนให้ดี ทำงานเป็นลูกจ้าง และไต่เต้าขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูง แล้ว อีกหนทางหนึ่งก็คือ การเริ่มต้นทำธุรกิจขนาดย่อมในสายงานที่ตนมีความรู้และมีประสบการณ์จากการทำงาน ซึ่งนี่ก็เป็นวิธีที่จะเพิ่มความสว่างให้กับโคมไฟดวงแรกที่ดีและมีความเป็นไปได้แต่ก็มักจะต้องอาศัยเวลาในการเรียนรู้และหาช่องทางรวมถึง “คอนเน็คชั่น” หรือลูกค้าหรือคนที่จะติดต่อทำธุรกิจด้วย ดังนั้น ก่อนที่จะเริ่มได้ก็มักจะต้องใช้เวลาพอสมควรยกเว้นแต่ว่าทางบ้านจะมี “ฐานธุรกิจ” เดิมอยู่แล้วที่ทำให้การเริ่มธุรกิจนั้นง่ายขึ้น “หลายเท่า”
คนที่เกิดมาจากครอบครัวที่มีฐานะดีนั้น ต้องถือว่าโชคดีและมักจะทำให้โคมไฟดวงแรกสุกสว่างตั้งแต่อายุยังน้อย บางคนก็จะได้รับเงินเป็น “ของขวัญ” ในโอกาสต่าง ๆ บางคนได้รับเงินมาเป็นเงิน “ตั้งตัว” เพื่อที่จะ “ต่อยอด” เพื่อที่จะ “ทำธุรกิจ” หรือเพื่อที่จะ “ลงทุน” ในตลาดหุ้นในยุคปัจจุบันที่การลงทุนในหุ้นนั้นก็เป็นกิจกรรมที่ทำได้โดยที่ไม่ได้เกิดความรู้สึกว่าเอาเงินไป “เล่น” อย่างที่เป็นในยุคก่อน คนที่ได้เงินจากครอบครัวที่มีฐานะนั้น บางทีเขาก็ไม่รู้หรอกว่ามัน “ช่วย” ให้เขารวยเร็วขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับคนที่ต้องดิ้นรนหาเงินเลี้ยงตนเองและบางทีก็ต้อง “เลี้ยงพ่อแม่” ด้วยอย่างคนรุ่นก่อนบางคน เหตุผลก็เพราะเขามักได้เงินมาอย่างง่าย ๆ ดังนั้น เงิน 2-3 ล้านบาทจึงอาจจะไม่ได้รู้สึกว่ามาก แต่คนในรุ่นผมที่คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังจนอยู่นั้น กว่าจะได้เงินแสนก็กินเวลาเป็นปี ๆ เงินเป็นล้านบาทนั้นแทบจะเป็นความฝันและอาจจะต้องใช้เวลายาวเป็นหลาย ๆ ปีกว่าจะเก็บออมได้
วิธีการได้เงินหรือได้แสงไฟจากโคมไฟดวงที่หนึ่งเองก็เป็นประเด็นต่อเนื่องไปถึงโคมไฟดวงที่สองและสาม ถ้าเราได้เงินมาง่ายและเรารู้ว่าอย่างไรเสียเงินส่วนนี้ก็จะมีอยู่หรือมีมาเรื่อย ๆ เนื่องจากเหตุผลเช่น งานของเรามั่นคงและรายได้มีแต่จะเพิ่มขึ้น หรืออย่างไรเสียพ่อแม่ก็จะต้องสนับสนุนหรือให้เงินเพิ่มอีกถ้าเรา “หมดตัว” ด้วยเหตุใดก็ตาม กรณีแบบนี้ก็เหมือนกับว่าเรามี “หลังอิง” ที่แน่นหนามั่นคงมาก ดังนั้น เราก็ “กล้าเสี่ยง” มากขึ้น กล้าที่จะเพิ่มความสว่างของโคมไฟดวงที่สองหรือเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน เร่งให้มันสว่างสุด ๆ อาจจะโดยการเล่นหรือลงทุนในหุ้นแบบเน้นหุ้นน้อยตัวมาก ๆ เล่นหุ้นที่มีการเก็งกำไรสูง หรือแม้แต่เล่นมาร์จิน ซึ่งผลจากการนี้ก็อาจจะทำให้ผลตอบแทนสูงลิ่ว—หรือไม่ก็ “เจ๊ง” ไปเลย แต่นี่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนหลายคนร่ำรวยมหาศาลในเวลาอันสั้น ในขณะที่คนที่ได้เงินต้นหรือแสงสว่างจากโคมไฟดวงที่หนึ่งมาด้วยความยากลำบากและไม่สามารถเสียเงินนั้นไปได้ เขาก็จะไม่กล้าเสี่ยงมากเกินไป เขาไม่กล้าที่จะเร่งความสว่างของโคมไฟดวงที่สองมากเกินไป ดังนั้น โอกาสที่เขาจะรวยเร็วมาก ๆ ก็จะน้อยลง เช่นเดียวกับที่โอกาสที่จะเจ๊งก็คงจะน้อยลงมากเช่นกัน
บทสรุปสำหรับเรื่องทั้งหมดก็คือ คนแต่ละคนนั้นมีโคมไฟดวงแรกที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับโชคและความพยายามรวมถึงการกำหนดกลยุทธ์ของเขาด้วย การวิเคราะห์โคมไฟดวงที่หนึ่งจะบอกให้เรารู้ว่าเราจะมีฐานะความมั่งคั่งอย่างไรและเราจะต้องมีกลยุทธ์แบบไหนที่จะทำให้เส้นทางนั้นราบรื่นและไปได้เร็วที่สุดในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ อย่าไปตามอย่างวิธีการของคนอื่นโดยเฉพาะถ้าเรารู้ว่าโคมไฟของเขากับของเรานั้นแตกต่างกันมาก ผมเองนั้นเชื่อว่าเส้นทางชีวิตและความมั่งคั่งนั้น เราเองมีความสามารถในการกำหนดมันได้แค่ในระดับหนึ่ง แต่ “ดวง” หรือโชคชะตานั้น น่าจะเป็นพลังที่เราฝืนได้ยาก ดังนั้น เราต้องยอมรับมัน เราอาจจะต้องยอมรับว่าเราอาจจะทำได้แค่นี้ หรือรวยได้แค่นี้ แล้วก็จงสบายใจและพอใจกับมัน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ความมั่งคั่งนั้น พอถึงจุดหนึ่งแล้ว ความหมายต่อชีวิตมันก็มีไม่มาก เฮนรี่ ฟอร์ด เจ้าของผู้ก่อตั้งธุรกิจรถฟอร์ดที่มีชื่อเสียงและรวยระดับโลกเคยกล่าวในขณะที่ใกล้ตายด้วยสุขภาพที่ทรุดโทรมส่วนหนึ่งเพราะทำงานหนักว่า เขาอยากใช้เงินทั้งหมดที่ได้มาซื้อสุขภาพของเขาคืนมา แต่มันก็ทำไม่ได้ ดังนั้น จงพอใจกับสิ่งที่เราทำได้ในเรื่องของเงินทองโดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับใครหรือกับมาตรฐานอะไรที่ไม่ใช่ตนเอง