มหาเศรษฐีสนใจบริหารความมั่งคั่งใกล้ชิดขึ้น/วิวรรณ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

มหาเศรษฐีสนใจบริหารความมั่งคั่งใกล้ชิดขึ้น/วิวรรณ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ มี.ค. 14, 2016 1:14 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    ในเดือนมีนาคมของทุกปี ไนท์แฟรงก์ จะทำการเผยแพร่การสำรวจความเห็นและความรู้สึกของผู้มีความมั่งคั่งสูงในระดับมหาเศรษฐีซึ่งอยู่ในภูมิภาคต่างๆของโลก โดยผ่านผู้จัดการดูแลความมั่งคั่งของกลุ่มคนเหล่านี้ คือไพรเวทแบงเกอร์ และที่ปรึกษาการบริหารความมั่งคั่ง

    ผลสำรวจที่ทำล่าสุดเมื่อปลายปีที่แล้วและเผยแพร่ใน The Wealth Report 2016 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นผลสำรวจครบรอบ 10 ปี จึงน่าสนใจเป็นพิเศษ โดยพบว่า จำนวนผู้มีความมั่งคั่งสูงในโลกที่มีความมั่งคั่ง 1 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไปโดยไม่นับรวมที่อยู่อาศัยหลัก ได้เพิ่มจำนวนจาก 8.7 ล้านคนในปี 2005 เป็น 13.3 ล้านคน ในปี 2015 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 18 ล้านคนในปี 2025 หรือในอีก 10 ปีข้างหน้า

    การสำรวจของไนท์แฟรงก์ได้ร่วมมือกับ Wealth X ค่ะ และเจาะเฉพาะผู้มีความมั่งคั่งสูงที่มีความมั่งคั่ง 30 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1,050 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งดิฉันขอเรียกกลุ่มนี้ว่ามหาเศรษฐี  ในปี 2005 กลุ่มมหาเศรษฐีเหล่านี้มีจำนวนประมาณ 116,800 คน  เพิ่มขึ้นเป็น 187,500 คนในปี 2015 โดยมีความมั่งคั่งรวมกัน 19.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มจำนวนเป็น 263,500 คน ในอีก 10 ปีข้างหน้า

    ดิฉันสนใจการลงทุนของคนกลุ่มนี้เป็นพิเศษ เพราะได้นำมาใช้เป็นตัวอย่างเปรียบเทียบกับคนกลุ่มอื่นๆ เพื่อการศึกษาเรื่องการจัดพอร์ตการลงทุนค่ะ  พบว่า พอร์ตการลงทุนโดยเฉลี่ยของมหาเศรษฐีทั่วโลกในปี 2015 จัดสรรไปลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน 28% ที่พักอาศัย 24% ลงทุนในธุรกิจส่วนตัว 19% อยู่ในรูปของเงินสด เงินฝาก(หรือกองทุนตลาดเงิน) 15%  ในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน 11% ลงทุนในของสะสม 2% และลงทุนในโลหะมีค่า เช่น ทองคำ 1%

    ท่านอาจจะสงสัยว่า ตามปกติดิฉันเคยบอกว่า การจัดพอร์ตการลงทุนต้องไม่นับรวมที่อยู่อาศัยที่เราอาศัยอยู่ เพราะไม่สามารถได้รับผลตอบแทนในรูปตัวเงินได้ ซึ่งแนวคิดนั้นก็ยังถูกต้องอยู่  แต่พอมีความมั่งคั่งมากขนาดนี้ มหาเศรษฐีเหล่านี้ไม่ได้มีบ้านหลังเดียวค่ะ เฉลี่ยทั่วโลก มีบ้านและคอนโดมิเนียมกันคนละ 3.7 หลัง/แห่ง และเขาพร้อมขายส่วนที่ไม่ใช่หลังหลักที่อาศัยอยู่ค่ะ คือซื้อไว้เพื่ออยู่อาศัยในบางช่วง และพร้อมขายหากได้ราคาดี อย่างนี้ถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง และคนกลุ่มนี้ก็ลงทุนในสัดส่วนสูงด้วยค่ะ เฉลี่ยถึง 24% ของพอร์ต

    โดยแชมป์ของราคาที่พักอาศัยคือโมนาโค เงิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐซื้อที่อยู่อาศัยชั้นดี ได้เพียง 17 ตารางเมตร  รองลงมาคือฮ่องกง 20 ตารางเมตร แพงกว่าลอนดอนซึ่ง 1 ล้านเหรียญซื้อได้ 22 ตารางเมตร นิวยอร์คได้ 27 และโตเกียวได้ 83 ตารางเมตรค่ะ

    หากท่านดูประวัติการเพิ่มหรือลดการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ท่านก็พอจะมองออกว่า แนวโน้มเงินไหลเข้าในสินทรัพย์การลงทุนต่างๆจะเป็นอย่างไร  โดย 62%ของมหาเศรษฐีเหล่านี้ บอกว่าในสิบปีที่ผ่านมา ได้มีการเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน คือ หุ้น พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนรวม ฯลฯ มากขึ้น  และมีมหาเศรษฐีถึง 54%บอกว่าลงทุนในที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ 49% ยังบอกว่าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

    สำหรับการลงทุนในธุรกิจส่วนตัวนั้น ส่วนใหญ่คือ 49% บอกว่าไม่เปลี่ยนแปลง คือไม่ได้ลงทุนเพิ่ม และที่ปรับลดลงมากที่สุดคือ โลหะมีค่า ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือทองคำค่ะ โดย 41% ของมหาเศรษฐีบอกว่ามีการลงทุนลดลง และ 45% บอกว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงสัดส่วนการลงทุน

    จากข้อมูลนี้ ก็พอจะเห็นได้ว่า ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เงินลงทุนของคนกลุ่มนี้ได้ไหลเข้าไปในสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร กองทุนรวม ตลาดอนุพันธ์ฯลฯ ตลาดเหล่านี้จึงได้อานิสงส์ และไหลออกจากทองคำ (ดิฉันเดาว่าไหลออกในช่วง 2-3 ปีหลัง) โดยมหาเศรษฐีต่างบอกว่ามีความใส่ใจในการดูแลบริหารจัดการความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น ใกล้ชิดขึ้น

    ท่านผู้อ่านก็คงอยากทราบต่อไปว่า แล้วอีกสิบปีข้างหน้า มหาเศรษฐีเหล่านี้สนใจจะลงทุนอะไรเพิ่ม เผื่อจะได้ตามไปลงทุนบ้าง

    ทั้งนี้ 70% ของมหาเศรษฐี จะลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ทางการเงิน  47%บอกว่าจะลงทุนเพิ่มในอสังหาริมทรัพย์  41%จะเพิ่มในที่อยู่อาศัย  39%จะเพิ่มในธุรกิจส่วนตัว   36%จะเพิ่มของสะสม  30%จะเพิ่มเงินสด  ในขณะที่ 44% จะไม่เปลี่ยนแปลงสัดส่วนการลงทุน

    ในส่วนของโลหะมีค่านั้น  41%ของมหาเศรษฐี ตั้งใจจะลดสัดส่วนการลงทุนลง  45%ไม่เปลี่ยนแปลง และมีเพียง 14% เท่านั้น ที่จะเพิ่มการลงทุนในโลหะมีค่าค่ะ

    เป็นที่น่าดีใจที่ประเด็นการลงทุนเพื่อให้กับสังคมและมวลมนุษยชาติ หรือ Philanthropy Investment เป็นประเด็นที่มหาเศรษฐีเกือบทั้งหมด คำนึงถึงมากขึ้น โดยในอีกสิบปีข้างหน้านี้ มหาเศรษฐี 17% บอกว่าจะทำกิจกรรมด้านการให้แก่สังคมเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น ในขณะที่ 80%จะให้เพิ่มขึ้นถึงเพิ่มขึ้นมาก

    ข้อกังวลของมหาเศรษฐีก็มีค่ะ กังวลเรื่องการสืบทอดกิจการ ภาษีทรัพย์สิน และเศรษฐกิจโลก และมีจำนวนมากที่ไม่อยากเปิดเผยความมั่งคั่งของตัวเอง เนื่องจากกังวลเรื่องปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยบอกว่ามีรัฐบาลในหลายๆประเทศพยายามทำให้มหาเศรษฐีเป็นแพะรับบาปในเรื่องความเหลื่อมล้ำ

    รายงานนี้มีข้อมูลของประเทศไทยด้วยค่ะ จากการสำรวจได้ประมาณว่าประเทศไทยมีผู้มีความมั่งคั่งสูงเกิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (High Net Worth Individuals)จำนวน 20,700 คน ในจำนวนนี้ เป็นเศรษฐี คือมีความมั่งคั่งเกิน 10 ล้านเหรียญ (Multi-Millionaires) 1,270 คน  เป็นมหาเศรษฐี คือมีความมั่งคั่ง 30 ล้านเหรียญขึ้นไป(Ultra High Net Worth Individuals) 572 คน   เป็นมหาเศรษฐีร้อยล้าน คือมีความมั่งคั่ง 100 ล้านเหรียญขึ้นไป (Centa-Millionaires) 77 คน และเป็นอภิมหาเศรษฐี คือมีความมั่งคั่ง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป (Billionaires) จำนวน 9 คน

    โดยกรุงเทพมหานครมีผู้มีความมั่งคั่งสูง 13,300 คน มีเศรษฐี 10 ล้านเหรียญ 810 คน และมีมหาเศรษฐี 30 ล้านเหรียญ 368 คน
[/size]



ตอบกลับโพส