ความทรงจำวิกฤติปี 40/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ความทรงจำวิกฤติปี 40/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ ก.ค. 02, 2017 7:10 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    ขณะที่เขียนบทความนี้ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2560 ก็เป็นวันครบรอบ 20 ปี ของการ “ลอยตัวค่าเงินบาท” ในปี 2540 ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ก่อให้เกิดวิกฤติ  “ต้มยำกุ้ง” ซึ่งเป็นวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทยและต่อมาลามไปทั่วเอเซีย  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  การเปลี่ยนระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศจากระบบคงที่เป็นระบบ  “ยืดหยุ่นที่มีการจัดการ”  ทำให้ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐปรับตัวจาก 25 บาทเป็น 56 บาทและยืนอยู่ในระดับประมาณ 40 บาทในระยะเวลาอันสั้น  ค่าเงินของประเทศในเอเชียอื่น ๆ  ก็อ่อนค่าลงตาม ๆ  กันและก่อให้เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างกว้างขวางและต้องอาศัยกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF เข้ามาช่วยกู้สถานะมิให้ประเทศต้อง “ล้มละลาย” เพราะไม่มีเงินตราสำรองเพียงพอที่จะจ่ายเป็นค่าสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ

    ผมคงไม่พูดถึงสาเหตุและผลกระทบที่ตามของวิกฤติที่มีคนพูดถึงมากพอแล้วแต่จะพยายามเล่าถึงความทรงจำของตนเองในฐานะที่ได้เผชิญกับช่วงเวลาที่เลวร้ายในฐานะที่เป็นผู้บริหารสถาบันการเงินที่เรียกว่า  “บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์” ที่ถูกกระทบมากที่สุดในยามนั้น

    ในปี 2536 หลังจากที่ประเทศไทย “เปิดเสรีทางการเงิน” บริษัทเงินทุนก็สามารถที่จะนำเงินต่างประเทศเข้ามาและปล่อยกู้ให้กับกิจการต่าง ๆ  ที่ในขณะนั้นต่างก็ต้องการขยายการลงทุนเพื่อรองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดในระดับ 10% ต่อปีขึ้นไป  ผมเองยังจำได้ว่าบริษัทต่าง ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นลูกค้าหลักของบริษัทเงินทุนนั้น   ต่างก็ต้องการเงินกู้ที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินกู้ที่เป็นเงินบาทมาก  อย่างไรก็ตาม  บริษัทเงินทุนเองนั้นก็มีวงเงินไม่พอที่จะให้ได้ทั้งหมด  ดังนั้น  ก็จะมีการจัดสรรให้เฉพาะกับบริษัทที่  “มีขนาดใหญ่และแข็งแกร่งและเป็นบริษัทที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัท” โดยที่เราจะไม่สนใจหรือพิจารณาถึงความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่ว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์นั้นมีรายได้เป็นเงินบาทแต่กลับมีรายจ่ายค่าดอกเบี้ยและการคืนเงินต้นเป็นสกุลดอลลาร์  เหตุผลก็เพราะว่าแบ็งค์ชาติได้ให้ความมั่นใจว่าระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราของเรานั้นใช้อัตรา  “คงที่” ไม่เปลี่ยนแปลง

    การเติบโตของการปล่อยสินเชื่อในขณะนั้นสูงมาก  การโตปีละหลายสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องที่  “ไม่ยาก”  และทุกบริษัทก็ทำ  แต่ผมเองนั้น  ในฐานะที่ทำงานทางด้านวาณิชธนกิจแต่ต้องนั่งเป็นกรรมการพิจารณาสินเชื่อด้วยก็มักจะรู้สึกไม่สบายใจบ่อยครั้งที่มีการประชุมอนุมัติสินเชื่อ  เพราะผมเองรู้สึกว่าบริษัทที่มากู้นั้นมักจะไม่ได้มีขนาดที่ใหญ่และแข็งแกร่งจริง  ข้อมูลผลการดำเนินงานในอดีตนั้นมักจะกระจัดกระจายภายใต้หลายชื่อหรือหลายบริษัท  พวกเขาส่วนใหญ่มี “อนาคต” ที่ใหญ่มาก  เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับผู้บริหารทางด้านการปล่อยสินเชื่อ  ผลก็คือ  โครงการได้รับการอนุมัติพร้อม ๆ  กับวงเงินกู้ต่างประเทศจำนวนมหาศาล   ครั้งหนึ่งผมยังจำได้ว่ามีโครงการเงินกู้ร่วมให้กับโรงงานเหล็กที่ใหญ่โต  แต่เมื่อมีสมาชิกผู้ให้กู้บางบริษัทถามว่ากำลังการผลิตที่จะเกิดขึ้นจากโรงงานเหล็กหลาย ๆ  แห่งของหลาย ๆ  บริษัทที่กำลังสร้างโรงงานนั้นจะสูงเกินกว่าความต้องการในประเทศมากจะทำให้ยอดขายไม่ได้ตามประมาณการ    ผู้จัดการกลุ่มปล่อยเงินกู้ก็ไม่สามารถตอบได้  อย่างไรก็ตาม  โครงการก็ได้รับการอนุมัติ  บริษัทที่ปล่อยกู้ต่างก็มีความสุขที่ได้ปล่อยเงินกู้ก้อนโต   ในยามที่เศรษฐกิจดีมากทุกอย่างก็มีแต่ความสดใส  ไม่มีใครคิดถึงความเสี่ยงที่หนี้จะเสีย  การเงินในระบบคล่องมาก  คุณสามารถขอเงินกู้ได้เสมอโดยเฉพาะถ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริหารสถาบันการเงิน

    พอเริ่มต้นปี 2540 ความผิดพลาดทั้งหมดก็แสดงตัวออกมาพร้อม ๆ  กัน  สถาบันการเงินที่อ่อนแอเนื่องจากมีการขยายตัวสูงโดยที่ไม่มีคุณภาพก็เริ่มล้มเหลว  ประชาชนเริ่มทยอยถอนเงินออกจากบริษัทเงินทุนและแบ็งค์ที่มีการบริหารงานผิดพลาดและ/หรือส่อทุจริต  หลาย ๆ บริษัทถูกแบ็งค์ชาติสั่งเพิ่มทุน  บริษัทและกิจการต่าง ๆ  ที่มีการขยายงานเกินตัวและไม่เหมาะสมเริ่มมีปัญหา  การส่งออกของประเทศชะลอตัวลงเนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งเกินความเป็นจริงส่งผลให้ขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นมาก  ทั้งหมดนี้ได้ลามไปถึงสถาบันการเงินที่ใหญ่และแข็งแกร่งอย่างเช่นธนาคารทั้งหลายรวมถึงธนาคารขนาดใหญ่ที่เคยเป็นสถาบันที่ “ค้ำยัน” เศรษฐกิจและการเงินของประเทศที่ต้องพยายามต่อสู้เอาตัวรอดเช่นเดียวกันโดยเฉพาะเมื่อมีการประกาศลดค่าเงินในวันที่ 2 กรกฎาคม

    หลังจากการประกาศลดค่าเงินบาทอย่างมโหฬาร  บริษัทเงินทุนที่ไม่ได้เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างก็ทยอยถูกสั่งปิดกิจการ  ผมเองในฐานะที่อยู่ในบริษัทเงินทุนที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารนั้น  ยังสามารถเปิดทำการอยู่ได้  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันก็คือมีคนมาไถ่ถอนเงินฝากที่เรียกว่า PN ทุกวันโดยที่ไม่มีใครมาฝากเพิ่ม  ทุกเย็นผมต้องคอยรอลงนามร่วมกับกรรมการผู้จัดการที่จะขอเงินกู้จากแบ็งค์ชาติเพื่อที่จะทำให้มีเงินพอชำระหนี้เฉลี่ยวันละหลายร้อยล้านบาท  นี่คืออาการที่ “เลือดไหลไม่หยุด”  ทรัพย์สินทั้งหลายของบริษัทถูกเอาไปจำนำกับธนาคารแห่งประเทศไทย  ในอีกด้านหนึ่ง  เราไม่มีธุรกิจอะไรให้ทำ  ไม่มีการปล่อยกู้อีกต่อไป  สิ่งที่ต้องทำทุกวันกลายเป็นการกำหนดกลยุทธ์ในการเอาตัวรอด  วิธีหนึ่งก็คือ  การเพิ่มทุนซึ่งก็เป็นไปไม่ได้ในสถานการณ์แบบนั้น   อีกแนวทางหนึ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากทางการก็คือ  การควบรวมกิจการกับบริษัทเงินทุนอื่น ๆ  ซึ่งถ้าสำเร็จก็อาจจะต้องเพิ่มทุนตามมา  ดังนั้น  งานหลัก  ๆ  ของผมก็คือการคุยและประชุมกับกลุ่มบริษัทเงินทุนที่อยู่ในเครือข่ายทำแผนควบรวมกิจการ  ทั้งหมดนั้นไม่สำเร็จ  จนในที่สุดแบ็งค์ชาติเข้ามาควบคุมบริษัทและผมต้องออกจากงาน

    ช่วงปี 2540 นั้นผมมีเวลาว่างมาก  ตอนเที่ยงผมก็มักจะเดินไปกินอาหารกลางวันที่ห้างดังย่านสยามสแควร์  ผมยังจำได้ว่ามันค่อนข้างเงียบอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับวันนี้ที่มันคึกคักและมีคนเต็มไปหมดโดยเฉพาะนักท่องเที่ยว  ร้านค้าในห้างนี้ก็ไม่เต็ม  มีร้านว่าง ๆ  พอสมควร  ในตอนนั้นผมคิดว่าอสังหาริมทรัพย์แบบนี้คงหมดอนาคต   พูดถึงเรื่องอาคารสำนักงาน  ผมเองยังจำได้ว่าช่วงที่ทุกอย่างยังบูมสำหรับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์และคนบอกว่าพวกพนักงานเป็น “มนุษย์ทองคำ”  เพราะมีรายได้ดีมาก   เราก็เคยไปดูอาคารสำนักงานใหม่ที่ใหญ่และดูดีที่เราอยากจะมี  นั่นคือประมาณปี 2539  แต่สุดท้ายไม่ได้ซื้อ  เพราะเราเริ่มตระหนักว่ามรสุมลูกใหญ่กำลังมา  และนี่ก็เป็นสัญญาณอีกอย่างหนึ่งว่า  เมื่อบริษัทเริ่มย้ายสำนักงานใหม่ที่ดูหรูหรามาก  นั่นอาจจะเป็นช่วงท้ายของความเฟื่องฟูของธุรกิจ

    ผมคงอดไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้น  ปี 2540 โดยเฉพาะหลังจากที่ผมออกจากงานและไปนั่งทำงานในฐานะที่ปรึกษาบริษัทขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง  ผมก็เริ่มตั้งใจศึกษาและลงทุนตามแนว Value Investments อย่างเข้มข้น  ส่วนหนึ่งเนื่องจากไม่ค่อยจะมีอะไรทำ   แต่ส่วนสำคัญยิ่งกว่าก็คือ  การที่จะต้องใช้ชีวิตโดยอาศัยเงินที่เก็บสะสมมาเลี้ยงชีวิตที่ไม่มั่นคงหลังจากต้องออกจากงานในวัย 40 กลาง ๆ และยังไม่รู้ว่าจะสามารถหางานที่เหมาะสมและทำเงินได้มากน้อยแค่ไหน  หนังสือเล่มแรกแนว Value Investment ชื่อ  “ตีแตก”  ของผมออกวางขายในตลาดด้วยความเงียบเหงาเช่นเดียวกับตลาดหุ้นที่มีการซื้อขายเพียงวันละ 3- 4,000 ล้านบาท  และนั่นเป็นการเริ่มชีวิตใหม่ของผมในฐานะนักลงทุน VI  และน่าจะเป็นการเริ่มต้นกระแสการลงทุนแบบ VI ในตลาดหุ้นไทยด้วย
[/size]



ตอบกลับโพส