ประวัติศาสตร์และอนาคตของมนุษยชาติ/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ประวัติศาสตร์และอนาคตของมนุษยชาติ/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ ก.ค. 23, 2017 6:59 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    เมื่อเร็ว ๆ  นี้  มีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องของประวัติศาสตร์ออกมา 2 เล่มต่อเนื่องกันโดยนักประวัติศาสตร์ชื่อ Yuval Noah Harari  หนังสือสองเล่มนี้เป็นหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์และการทำนายอนาคตของมนุษยศาสตร์ตามลำดับ  ทั้งสองเล่มเป็นหนังสือขายดี  เป็น Best Seller ระดับนานาชาติ  คนที่เขียนคำนิยมและยกย่องชมเชยให้กับหนังสือนั้นรวมถึงอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา  บิล เกต และมาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก   ดังนั้น  มันไม่ใช่หนังสือธรรมดา ๆ ที่คอหนังสือจะมองข้ามได้  โดยเฉพาะผมเองที่เป็นคนชอบศึกษาประวัติศาสตร์ผมจึงอ่านทั้งสองเล่มอย่าง “วางไม่ลง”  ผมคิดว่ามันเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมากเพราะมันเป็นประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นล้านเป็นแสนปีแต่เขียนให้จบภายในไม่กี่ร้อยหน้า  ที่สำคัญ  มันให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์อย่างลึกซึ้ง  มันทำให้รู้ว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาอย่างไรจนมาเป็นอย่างทุกวันนี้ที่เรามีสังกัดเป็นคนชาตินั้นชาตินี้  มีศาสนา  มีวัฒนธรรม  มีนิสัยใจคอ  มีพฤติกรรมต่าง ๆ  ที่แตกต่างจากสัตว์อื่น ๆ  ทั้งโลก  อยู่กันในหมู่บ้านและเมือง  มีเงินใช้  มีตลาดและการซื้อขายหุ้น  และยังมีอะไรต่าง ๆ  อีกมากมายที่มนุษย์ “สร้างและจินตนาการขึ้นมา” และทุกคนยอมรับ

    หนังสือเล่มแรกที่เล่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็คือ  Sapiens: A Brief History of Humankind  เล่มนี้เริ่มเล่าตั้งแต่การที่มนุษย์เริ่มรู้จักคิดอย่างมีเหตุมีผลมีความเข้าใจและสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ ตั้งแต่เมื่อประมาณ 70,000 ปีก่อน  ซึ่งเหตุผลที่มนุษย์เริ่มเป็นสัตว์ที่มีความคิดนี้ก็ยังไม่ชัดว่าเป็นเพราะอะไร  เพราะก่อนหน้านั้นที่มนุษย์ยุคใหม่เริ่มปรากฏขึ้นเมื่อประมาณ 150,000 ปี นั้น  พวกเราก็ยังคล้าย ๆ  กับลิงชิมแปนซีที่เดินหากินอยู่ในป่าไปวัน ๆ  ต่อมา  ประมาณ 40,000 ปี ที่แล้ว  มนุษย์ก็เดินทางจากอาฟริกาไปทั่วโลกซึ่งรวมถึงอเมริกาและออสเตรเลียที่ต้องข้ามทะเลกว้างแต่ในสมัยนั้นโลกยังเป็นยุคน้ำแข็งที่คนสามารถเดินข้ามทะเลที่เป็นน้ำแข็งต่อกันไปถึงแผ่นดินใหม่เหล่านั้นได้

    มนุษย์เราเพิ่งจะเริ่มรู้จักปลูกพืชทำการเกษตรและอยู่กันเป็นหมู่บ้านประมาณ 11,000 ปีที่แล้วนี่เองหลังจากที่อาศัยอยู่ในถ้ำ  หาของป่า  ล่าสัตว์เลี้ยงชีพมาเป็นแสน ๆ ปี  และนี่ก็เป็นการ “ปฏิวัติ” ครั้งสำคัญและเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่ก่อให้เกิดอารยะธรรมที่ดำเนินมาอย่างรวดเร็วจนถึงทุกวันนี้

    การที่มนุษย์เริ่มอยู่กับที่เป็นหลักเป็นแหล่งและมีอาหารอุดมสมบูรณ์ทำให้มนุษย์มีการขยายจำนวนประชากรขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเมืองและดังนั้นจึงต้องมี “สถาบัน” ที่จะควบคุมให้สังคมมีความสงบสุข  นั่นทำให้มนุษย์เริ่มต้องมีผู้ปกครองและระบบการปกครอง  เริ่มมีรัฐ  มีกษัตริย์  มีศาสนา  มีกฎหมายมีระบบความนึกคิดต่าง ๆ  มีเงินเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าที่เริ่มมี  “ผู้เชี่ยวชาญ”  ที่ทำงานอาชีพต่าง ๆ  นำสินค้าที่ตนเองผลิตมาแลกเปลี่ยนกับสินค้าที่ตนเองต้องการ  อย่างไรก็ตาม  ในช่วงนี้มนุษย์ในโลกก็ยังพัฒนาไปอย่าง “ช้า ๆ” เพราะทุกอย่างก็อาศัยกำลังคนและสัตว์ประกอบกับเครื่องมือที่ยังไม่ซับซ้อน

    การ “ปฏิวัติครั้งที่สอง”  ของมนุษยชาติ น่าจะเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 500 ปีมานี่เอง  นี่คือการปฏิวัติทาง  “วิทยาศาสตร์”  ที่คนเริ่มมีความคิดว่าสิ่งและปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นสามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลและการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์  เป็นเรื่องของ “ธรรมชาติ”  ไม่ใช่เกิดจากการบัญชาของพระเจ้าหรือภูตผีปีศาจหรือความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมานานโดยพระที่อ้างว่าเป็นผู้นำสารของพระเจ้า    ยุคนี้น่าจะเริ่มประมาณสมัยกาลิเลโอที่พิสูจน์ว่าโลกกลม  ไม่ได้แบนเหมือนอย่างที่คนเข้าใจ  เป็นต้น

    การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์นั้นเป็นจุดที่ก่อให้เกิดการ  “ปฏิวัติทางอุตสาหกรรม”  ที่เริ่มต้นมาประมาณ 250 ปีก่อนหน้านี้จากการคิดค้นเครื่องจักรไอน้ำของเจมส์ วัตต์ที่เปลี่ยนแปลงการผลิตของมนุษย์อย่างสิ้นเชิงจากการใช้แรงงานคนและสัตว์มาใช้เครื่องจักรกลที่ใช้พลังความร้อนที่ทำให้การผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

    การปฏิวัติครั้งล่าสุดนั้นเพิ่งจะเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 50-60 ปีมานี้เองนั่นก็คือการ “ปฏิวัติของข้อมูลและข่าวสาร” ที่เริ่มจากการใช้คอมพิวเตอร์มาประมวลผล  และนี่ก็นำไปสู่การปฏิวัติทางด้านไบโอเท็คโนโลยีที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในตัวของมนุษย์และอาจจะนำไปสู่การทำลายมนุษยชาติเองในที่สุดตามความเชื่อของฮาราริ

    จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ผมคิดว่ามาจากแนวทางการเขียนที่นำเอาธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ที่จริง ๆ  แล้วก็เป็นเพียงสัตว์ชนิดหนึ่งที่ “บังเอิญ” มีวิวัฒนาการที่แตกต่างออกไป  “เล็กน้อย”  เช่นเรื่องของความสามารถในการพูดและภาษาซึ่งทำให้สามารถติดต่อสื่อสารได้ดีขึ้นและใช้มันจนประสบความสำเร็จกลายเป็น  “คนเหนือสัตว์” ที่สามารถเอาชนะสัตว์ทั้งมวลและทำอะไรต่าง ๆ  ที่สัตว์ไม่สามารถทำได้  อย่างไรก็ตาม  ยีนของคนก็ยังเป็นแบบเดิม  มีอารมณ์และนิสัยแบบเดิม  ยังกินและทำลายสัตว์อื่นรวมทั้งพวกตัวเองที่เป็น “กลุ่มอื่น”  เป็นต้น  นอกจากนั้น  การที่วิวัฒนาการก้าวหน้ามากขึ้นนั้นก็อาจจะไม่ได้ทำให้มนุษยชาติดีขึ้นแต่อย่างใดด้วย

    หนังสือเล่มที่สองชื่อ Homo Deus: A Brief History of Tomorrow  ซึ่งเป็นการทำนายถึงอนาคตของมนุษยชาติ   ธีมของหนังสือเล่มนี้ดูเหมือนว่าจะมองเรื่องของวิวัฒนาการของมนุษยชาติในแง่ร้าย  เขามองว่ามนุษย์พยายามสร้างและพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ  เพื่อสร้างพลังอำนาจให้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  และพยายามเอาชนะธรรมชาติและปราศจากการตระหนักรู้ถึงผลกระทบที่จะตามมาว่าวันหนึ่งสิ่งที่มนุษยชาติทำนั้นจะทำลายตัวเอง สิ่งต่าง ๆ  เหล่านั้นรวมถึงการที่มนุษย์อาจจะรบกันเองจนโลกสลาย   ทำลายสิ่งแวดล้อมจนอยู่ไม่ได้  หรืออาจจะสร้างหุ่นยนต์หรือ AI ขึ้นมามีความรู้ความสามารถสูงจนคนไม่มีความหมาย  คนจำนวนมหาศาลอาจจะต้องตกงานและเกิดความยากลำบากจากการพัฒนาของหุ่นยนต์   คนอาจจะอยู่ได้เป็นอมตะแต่ชีวิตก็อาจจะไร้ความหมาย  เขาคิดว่ามนุษย์จะต้องพยายามกลับมาคิดว่าจะพัฒนากันอย่างไรที่จะทำให้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะทำให้มนุษย์มีความสุขขึ้นแทนที่จะพยายามควบคุมทุกอย่างและเพิ่มศักยภาพขึ้นเรื่อย ๆ  เขากลัวว่าวันหนึ่งมนุษย์ก็อาจจะเป็นแค่ “ระบบทางชีวภาพ” อีกระบบหนึ่งที่ถูกคุมด้วยระบบเครือข่ายใหญ่ของโลกที่จะคอยบอกว่าเราจะต้องทำอะไรนาทีต่อนาที

    ถ้ามองถึงตัวฮาราริเองนั้น  เขาเป็นคนยิวที่มีความคิด “สุดโต่ง”  นอกจากประวัติศาสตร์แล้ว  เขาน่าจะเป็นนักปรัชญาและออกจะมีแนวชีวิตแบบ “ตะวันออก”  เช่น  เขาเป็นนักวิปัสสนาตัวยง  ต้องนั่งทำทุกวันและปีหนึ่งต้องสละเวลา  บางทีเป็นเดือน  เพื่อนั่งทำสมาธิโดยไม่ติดต่อกับผู้คน  เขาบอกว่าการทำสมาธิเป็นส่วนหนึ่งของการทำวิจัยที่สำคัญมากของเขา   เขาไม่กินเนื้อสัตว์เพราะเชื่อในเรื่อง “สิทธิของสัตว์” อย่างแรงกล้า  เขาไม่คิดว่ามนุษย์นั้นควรมีสิทธิและอ้างสิทธิเหนือสัตว์  เขาแต่งงานอยู่กินกับผู้ชายและไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ  เช่นเดียวกัน  ดูเหมือนว่าหนังสือจำนวนมากมายที่เขาเขียนเองนั้น  ก็ “สุดโต่ง”  แต่ก็เต็มไปด้วยเหตุผล  ผมเองคิดว่าเขาจะเป็น “ยักษ์”  หรือผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งของโลกในฐานะนักคิดที่มีความเป็นเอกลักษณ์  หนังสือ 2 เล่มที่สร้างชื่อให้  “ดังระเบิด”  นี้  ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและอีกกว่า 30 ภาษาทั่วโลก  ผมเองได้แต่หวังว่าวันหนึ่งจะมีแปลเป็นภาษาไทย
[/size]



ตอบกลับโพส