โค้ด: เลือกทั้งหมด
เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องของประวัติศาสตร์ออกมา 2 เล่มต่อเนื่องกันโดยนักประวัติศาสตร์ชื่อ Yuval Noah Harari หนังสือสองเล่มนี้เป็นหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์และการทำนายอนาคตของมนุษยศาสตร์ตามลำดับ ทั้งสองเล่มเป็นหนังสือขายดี เป็น Best Seller ระดับนานาชาติ คนที่เขียนคำนิยมและยกย่องชมเชยให้กับหนังสือนั้นรวมถึงอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา บิล เกต และมาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก ดังนั้น มันไม่ใช่หนังสือธรรมดา ๆ ที่คอหนังสือจะมองข้ามได้ โดยเฉพาะผมเองที่เป็นคนชอบศึกษาประวัติศาสตร์ผมจึงอ่านทั้งสองเล่มอย่าง “วางไม่ลง” ผมคิดว่ามันเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมากเพราะมันเป็นประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นล้านเป็นแสนปีแต่เขียนให้จบภายในไม่กี่ร้อยหน้า ที่สำคัญ มันให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์อย่างลึกซึ้ง มันทำให้รู้ว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาอย่างไรจนมาเป็นอย่างทุกวันนี้ที่เรามีสังกัดเป็นคนชาตินั้นชาตินี้ มีศาสนา มีวัฒนธรรม มีนิสัยใจคอ มีพฤติกรรมต่าง ๆ ที่แตกต่างจากสัตว์อื่น ๆ ทั้งโลก อยู่กันในหมู่บ้านและเมือง มีเงินใช้ มีตลาดและการซื้อขายหุ้น และยังมีอะไรต่าง ๆ อีกมากมายที่มนุษย์ “สร้างและจินตนาการขึ้นมา” และทุกคนยอมรับ
หนังสือเล่มแรกที่เล่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็คือ Sapiens: A Brief History of Humankind เล่มนี้เริ่มเล่าตั้งแต่การที่มนุษย์เริ่มรู้จักคิดอย่างมีเหตุมีผลมีความเข้าใจและสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ ตั้งแต่เมื่อประมาณ 70,000 ปีก่อน ซึ่งเหตุผลที่มนุษย์เริ่มเป็นสัตว์ที่มีความคิดนี้ก็ยังไม่ชัดว่าเป็นเพราะอะไร เพราะก่อนหน้านั้นที่มนุษย์ยุคใหม่เริ่มปรากฏขึ้นเมื่อประมาณ 150,000 ปี นั้น พวกเราก็ยังคล้าย ๆ กับลิงชิมแปนซีที่เดินหากินอยู่ในป่าไปวัน ๆ ต่อมา ประมาณ 40,000 ปี ที่แล้ว มนุษย์ก็เดินทางจากอาฟริกาไปทั่วโลกซึ่งรวมถึงอเมริกาและออสเตรเลียที่ต้องข้ามทะเลกว้างแต่ในสมัยนั้นโลกยังเป็นยุคน้ำแข็งที่คนสามารถเดินข้ามทะเลที่เป็นน้ำแข็งต่อกันไปถึงแผ่นดินใหม่เหล่านั้นได้
มนุษย์เราเพิ่งจะเริ่มรู้จักปลูกพืชทำการเกษตรและอยู่กันเป็นหมู่บ้านประมาณ 11,000 ปีที่แล้วนี่เองหลังจากที่อาศัยอยู่ในถ้ำ หาของป่า ล่าสัตว์เลี้ยงชีพมาเป็นแสน ๆ ปี และนี่ก็เป็นการ “ปฏิวัติ” ครั้งสำคัญและเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่ก่อให้เกิดอารยะธรรมที่ดำเนินมาอย่างรวดเร็วจนถึงทุกวันนี้
การที่มนุษย์เริ่มอยู่กับที่เป็นหลักเป็นแหล่งและมีอาหารอุดมสมบูรณ์ทำให้มนุษย์มีการขยายจำนวนประชากรขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเมืองและดังนั้นจึงต้องมี “สถาบัน” ที่จะควบคุมให้สังคมมีความสงบสุข นั่นทำให้มนุษย์เริ่มต้องมีผู้ปกครองและระบบการปกครอง เริ่มมีรัฐ มีกษัตริย์ มีศาสนา มีกฎหมายมีระบบความนึกคิดต่าง ๆ มีเงินเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าที่เริ่มมี “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่ทำงานอาชีพต่าง ๆ นำสินค้าที่ตนเองผลิตมาแลกเปลี่ยนกับสินค้าที่ตนเองต้องการ อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้มนุษย์ในโลกก็ยังพัฒนาไปอย่าง “ช้า ๆ” เพราะทุกอย่างก็อาศัยกำลังคนและสัตว์ประกอบกับเครื่องมือที่ยังไม่ซับซ้อน
การ “ปฏิวัติครั้งที่สอง” ของมนุษยชาติ น่าจะเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 500 ปีมานี่เอง นี่คือการปฏิวัติทาง “วิทยาศาสตร์” ที่คนเริ่มมีความคิดว่าสิ่งและปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นสามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลและการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องของ “ธรรมชาติ” ไม่ใช่เกิดจากการบัญชาของพระเจ้าหรือภูตผีปีศาจหรือความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมานานโดยพระที่อ้างว่าเป็นผู้นำสารของพระเจ้า ยุคนี้น่าจะเริ่มประมาณสมัยกาลิเลโอที่พิสูจน์ว่าโลกกลม ไม่ได้แบนเหมือนอย่างที่คนเข้าใจ เป็นต้น
การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์นั้นเป็นจุดที่ก่อให้เกิดการ “ปฏิวัติทางอุตสาหกรรม” ที่เริ่มต้นมาประมาณ 250 ปีก่อนหน้านี้จากการคิดค้นเครื่องจักรไอน้ำของเจมส์ วัตต์ที่เปลี่ยนแปลงการผลิตของมนุษย์อย่างสิ้นเชิงจากการใช้แรงงานคนและสัตว์มาใช้เครื่องจักรกลที่ใช้พลังความร้อนที่ทำให้การผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
การปฏิวัติครั้งล่าสุดนั้นเพิ่งจะเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 50-60 ปีมานี้เองนั่นก็คือการ “ปฏิวัติของข้อมูลและข่าวสาร” ที่เริ่มจากการใช้คอมพิวเตอร์มาประมวลผล และนี่ก็นำไปสู่การปฏิวัติทางด้านไบโอเท็คโนโลยีที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในตัวของมนุษย์และอาจจะนำไปสู่การทำลายมนุษยชาติเองในที่สุดตามความเชื่อของฮาราริ
จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ผมคิดว่ามาจากแนวทางการเขียนที่นำเอาธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ที่จริง ๆ แล้วก็เป็นเพียงสัตว์ชนิดหนึ่งที่ “บังเอิญ” มีวิวัฒนาการที่แตกต่างออกไป “เล็กน้อย” เช่นเรื่องของความสามารถในการพูดและภาษาซึ่งทำให้สามารถติดต่อสื่อสารได้ดีขึ้นและใช้มันจนประสบความสำเร็จกลายเป็น “คนเหนือสัตว์” ที่สามารถเอาชนะสัตว์ทั้งมวลและทำอะไรต่าง ๆ ที่สัตว์ไม่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม ยีนของคนก็ยังเป็นแบบเดิม มีอารมณ์และนิสัยแบบเดิม ยังกินและทำลายสัตว์อื่นรวมทั้งพวกตัวเองที่เป็น “กลุ่มอื่น” เป็นต้น นอกจากนั้น การที่วิวัฒนาการก้าวหน้ามากขึ้นนั้นก็อาจจะไม่ได้ทำให้มนุษยชาติดีขึ้นแต่อย่างใดด้วย
หนังสือเล่มที่สองชื่อ Homo Deus: A Brief History of Tomorrow ซึ่งเป็นการทำนายถึงอนาคตของมนุษยชาติ ธีมของหนังสือเล่มนี้ดูเหมือนว่าจะมองเรื่องของวิวัฒนาการของมนุษยชาติในแง่ร้าย เขามองว่ามนุษย์พยายามสร้างและพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อสร้างพลังอำนาจให้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และพยายามเอาชนะธรรมชาติและปราศจากการตระหนักรู้ถึงผลกระทบที่จะตามมาว่าวันหนึ่งสิ่งที่มนุษยชาติทำนั้นจะทำลายตัวเอง สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นรวมถึงการที่มนุษย์อาจจะรบกันเองจนโลกสลาย ทำลายสิ่งแวดล้อมจนอยู่ไม่ได้ หรืออาจจะสร้างหุ่นยนต์หรือ AI ขึ้นมามีความรู้ความสามารถสูงจนคนไม่มีความหมาย คนจำนวนมหาศาลอาจจะต้องตกงานและเกิดความยากลำบากจากการพัฒนาของหุ่นยนต์ คนอาจจะอยู่ได้เป็นอมตะแต่ชีวิตก็อาจจะไร้ความหมาย เขาคิดว่ามนุษย์จะต้องพยายามกลับมาคิดว่าจะพัฒนากันอย่างไรที่จะทำให้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะทำให้มนุษย์มีความสุขขึ้นแทนที่จะพยายามควบคุมทุกอย่างและเพิ่มศักยภาพขึ้นเรื่อย ๆ เขากลัวว่าวันหนึ่งมนุษย์ก็อาจจะเป็นแค่ “ระบบทางชีวภาพ” อีกระบบหนึ่งที่ถูกคุมด้วยระบบเครือข่ายใหญ่ของโลกที่จะคอยบอกว่าเราจะต้องทำอะไรนาทีต่อนาที
ถ้ามองถึงตัวฮาราริเองนั้น เขาเป็นคนยิวที่มีความคิด “สุดโต่ง” นอกจากประวัติศาสตร์แล้ว เขาน่าจะเป็นนักปรัชญาและออกจะมีแนวชีวิตแบบ “ตะวันออก” เช่น เขาเป็นนักวิปัสสนาตัวยง ต้องนั่งทำทุกวันและปีหนึ่งต้องสละเวลา บางทีเป็นเดือน เพื่อนั่งทำสมาธิโดยไม่ติดต่อกับผู้คน เขาบอกว่าการทำสมาธิเป็นส่วนหนึ่งของการทำวิจัยที่สำคัญมากของเขา เขาไม่กินเนื้อสัตว์เพราะเชื่อในเรื่อง “สิทธิของสัตว์” อย่างแรงกล้า เขาไม่คิดว่ามนุษย์นั้นควรมีสิทธิและอ้างสิทธิเหนือสัตว์ เขาแต่งงานอยู่กินกับผู้ชายและไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ เช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าหนังสือจำนวนมากมายที่เขาเขียนเองนั้น ก็ “สุดโต่ง” แต่ก็เต็มไปด้วยเหตุผล ผมเองคิดว่าเขาจะเป็น “ยักษ์” หรือผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งของโลกในฐานะนักคิดที่มีความเป็นเอกลักษณ์ หนังสือ 2 เล่มที่สร้างชื่อให้ “ดังระเบิด” นี้ ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและอีกกว่า 30 ภาษาทั่วโลก ผมเองได้แต่หวังว่าวันหนึ่งจะมีแปลเป็นภาษาไทย