อภิมหาเศรษฐีต้องการปกป้องรักษาความมั่งคั่งมากขึ้น

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

อภิมหาเศรษฐีต้องการปกป้องรักษาความมั่งคั่งมากขึ้น

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ ก.ค. 24, 2017 7:40 pm

วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    ประมาณเดือนมิถุนายนของทุกปี ดิฉันจะนำพอร์ตการลงทุนของเศรษฐีที่ แคปเจมิไน ทำมาเล่าให้ท่านอ่าน แต่ปีนี้รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่ออกมา จึงขออนุญาตนำรายงานของ ไนท์แฟรงก์ และข้อมูลบางส่วนของ เวลท์เอ๊กซ์ มาแบ่งปันกับท่านค่ะ

    ข้อแตกต่างคือ สองสำนักนี้สำรวจข้อมูลเฉพาะของอภิมหาเศรษฐี คือมีความมั่งคั่งเกิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,020 ล้านบาท) ขึ้นไป ที่เรียกว่า Ultra High Net Worth Individuals (UHNWIs) ในขณะที่แคปเจมิไน สำรวจผู้มีความมั่งคั่งสูง ที่มีความมั่งคั่ง 1 ล้านเหรียญขึ้นไป

    ไนท์แฟรงก์คาดว่า จำนวนประชากรของอภิมหาเศรษฐีในโลกอยู่ที่ประมาณ 193,490 คน ในขณะที่เวลท์เอ๊กซ์ ประมาณว่าอภิมหาเศรษฐีที่มีความมั่งคั่งเกิน 30 ล้านเหรียญในโลกนี้มีถึง 226,450 คน มีความมั่งคั่งรวมกัน 27.035 ล้านล้านเหรียญ หรือประมาณ 919.2 ล้านล้านบาท และจะเพิ่มจำนวนเป็น 299,000 คนในอีก 4 ปีข้างหน้า โดยเมื่อจัดอันดับประเทศที่มีประชากรอภิมหาเศรษฐี มากที่สุด ในปี 2559 นั้น ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 26 ค่ะ มีอภิมหาเศรษฐี 1,250 คน (เพิ่มขึ้น 4.2%) มีความมั่งคั่งรวมประมาณ 5.9 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้น 0.3%)

    เวลท์เอ๊กซ์ ยังให้ข้อมูลจากการสำรวจเพิ่มเติมว่า อภิมหาเศรษฐีเหล่านี้ ร่ำรวยจากการสร้างตัวขึ้นมาเอง 66.4% จากการรับมรดกและสร้างตัวขึ้นมา 21.9% และที่เหลือ 11.7% ร่ำรวยจากการรับมรดกค่ะ

    การสำรวจของไนท์แฟรงก์ จะครอบคลุมการลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภท รวมถึงธุรกิจส่วนตัวด้วย ไม่ได้เน้นเฉพาะการลงทุนแบบพอร์ตโฟลิโอเหมือนของแคปเจมิไน จึงไม่สามารถแยกว่าลงทุนหุ้น ตราสารหนี้ เงินสดเป็นสัดส่วนเท่าใด แต่จะเป็นสัดส่วนรวมว่า อภิมหาเศรษฐีทั่วโลก มีการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอ ที่รวมหุ้น ตราสารหนี้ เงินสด โลหะมีค่า ฯลฯ เป็นสัดส่วนโดยเฉลี่ย 25% ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (ไม่รวมหลังที่พักอาศัยอยู่ และบ้านหลังที่สอง) เฉลี่ย 24% ลงทุนในธุรกิจส่วนตัว 23% บ้านที่พักอาศัยอยู่และบ้านหลังที่สองมีมูลค่ารวมประมาณ 16% ลงทุนในของสะสม 6% และลงทุนอื่นๆอีก 6%

    ปัจจัยที่ใช้ในการเลือกลงทุนมีหลายปัจจัย แต่ที่อภิมหาเศรษฐีกล่าวถึงมากที่สุดในการเลือกลงทุนในปี 2559 คือ 66% ต้องการปกป้องรักษาความมั่งคั่ง  60%ต้องการให้เงินเติบโต 52% ต้องการส่งต่อให้ทายาท  47%ต้องการรายได้จากผลตอบแทนการลงทุน  45% ต้องการกระจายความเสี่ยง  44%ต้องการรับความเสี่ยงให้น้อยที่สุด 43%ต้องการเสียภาษีให้น้อยที่สุด 42%ต้องการความเป็นส่วนตัว  27%ต้องการสภาพคล่องในการลงทุน  26% ต้องการป้องกันการถูกแทรกแซงทางการเมือง (ตัวเลขสูงเนื่องจากละตินอเมริกา มีการกล่าวถึงปัจจัยนี้ถึง 42% จึงมีการทำให้น้ำหนักเฉลี่ยสูงขึ้น)  21% ต้องการหาวิธีใหม่ๆในการลงทุน  14%ต้องการเคลื่อนย้ายการลงทุนได้เร็ว   9%ต้องการให้คืนกับสังคม และ 3%ลงทุนเพื่อให้คนอื่นมองว่าตนเองเป็นประชากรโลกที่รับผิดชอบ

    ความต้องการปกป้องรักษาความมั่งคั่ง ทำให้อภิมหาเศรษฐีเหล่านี้ ถือสินทรัพย์สภาพคล่อง (เงินสดและเทียบเท่า) ไว้เป็นสัดส่วนค่อนข้างสูงคือ เวลท์เอ๊กซ์ คาดว่าในอร์ตมีการลงทุนในสภาพคล่องสูงถึง 35.4% ลงทุนนอกตลาด 33% ลงทุนในตลาด 25% และลงทุนในอสังหาริมทัพย์และสินทรัพย์ประเภทของหรูหรา 6.6%

    ข้อมูลของสองค่ายนี้แตกต่างกัน ดิฉันวิเคราะห์ว่า ส่วนหนึ่งคือทาง ไนท์แฟรงก์นำธุรกิจส่วนตัวและที่พักอาศัยมาคำนวณรวมด้วย ในขณะที่เวลท์เอ๊กซ์ ไม่ได้นับรวม

    เนื่องจากอภิมหาเศรษฐีเหล่านี้ มีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง ท่านผู้อ่านอาจจะอยากทราบว่า เขาใช้ปัจจัยอะไรในการตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยหลักในปี 2559 เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ ความปลอดภัยส่วนบุคคล การเข้ากับชีวิตความเป็นอยู่ หรือไลฟ์สไตล์  เมื่อซื้อแล้วเงินลงทุนปลอดภัย เพื่อการศึกษาของบุตร เพื่อโอกาสในการทำกำไร เพื่อสุขภาพ มีการคมนาคมเชื่อมต่อที่ดี และเหตุผลทางธุรกิจ ทั้งนี้ ไม่ได้สำรวจปัจจัยสำหรับใช้ในการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์อื่นๆ (ซึ่งดิฉันคาดเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องโอกาสในการทำกำไรทั้งจากรายได้ค่าเช่า และจากมูลค่าเพิ่ม)

    พูดถึงการศึกษา พบว่า อภิมหาเศรษฐีให้ความสำคัญกับการศึกษาของลูกมาก มีความนิยมส่งบุตรหลานไปเรียนต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงเรียนในอังกฤษ ตามสถิติบอกว่า จำนวนนักเรียนไทยจากครอบครัวฐานะดี ที่ไปเรียนในอังกฤษ เพิ่มจาก 135 คนในปี พ.ศ. 2548-2549 เป็น 303 คนในปีที่แล้ว คิดเป็นอัตราเพิ่ม 124% คนจีนก็นิยมส่งลูกไปเรียนอังกฤษเช่นกัน โดย เพิ่มจาก 1,005 คนเมื่อ 9 ปีก่อน เป็น 2,924 คนในปี 2559

    สิ่งที่ผู้ปกครองมองหา ไม่ใช่มีเพียงการสอนเท่านั้น แต่ยังเป็นคุณภาพชีวิตที่ดี กิจกรรมเสริมหลักสูตรที่มีให้เลือกทำ และการที่นักเรียนที่จบชั้นมัธยมจากอังกฤษ สามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ทั้งในอังกฤษและอเมริกา จึงมีความคล่องตัวกว่า ขณะที่โรงเรียนในสหรัฐอเมริกา จะทำหลักสูตรไว้เพื่อให้เรียนมหาวิทยาลัยต่อในสหรัฐเท่านั้น

    ในรายงานของไนท์แฟรงก์ มีการเปรียบเทียบราคาคอนโดมิเนียมเกรดเอ ในประเทศต่างๆ ว่าถูกหรือแพงเพียงใด โดยแชมป์ยังคงเป็นรัฐโมนาโคเช่นเดิม คือ เงิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐจะซื้อได้ 17 ตารางเมตร (ประมาณตารางเมตรละ 2 ล้านบาท) ตามมาด้วยฮ่องกง ตารางเมตรละประมาณ 1.7 ล้านบาท  นิวยอร์ค 1.31 ล้านบาทต่อตารางเมตร ลอนดอน 1.13 ล้านบาท ปารีส 618,000 บาทต่อตารางเมตร ปักกิ่ง 586,000 บาท  โตเกียว 370,000 บาท และเมลเบอร์น 310,000 บาทต่อตารางเมตร

    ดูไปดูมา คอนโดมิเนียมเกรดเอ ในกรุงเทพมหานครของเราเริ่มจะแพงใกล้เคียงกับโตเกียวแล้วค่ะ

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก The Wealth Report 2017 ของ ไนท์แฟรงก์  และ World Ultra Wealth Report 2017 ของ Wealth-X

    พบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ
[/size]



ตอบกลับโพส