น้ำลดตอผุด/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

น้ำลดตอผุด/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ ก.ค. 30, 2017 8:25 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    สุภาษิตไทย  “น้ำลดตอผุด” นั้น  มักถูกใช้ในเรื่องของการโกงหรือคอรัปชั่นในแวดวงราชการที่คนมีอำนาจกระทำความผิด ทำสิ่งไม่ดี หรือโกงไว้  แต่ต่อมาคน ๆ นั้นตกต่ำลง  ทำให้สิ่งที่เคยทำผิดหรือโกงไว้ถูกเปิดเผยออกมาให้เห็น    แต่ผมคิดว่าสำนวนสุภาษิตนี้น่าจะสามารถนำมาใช้กับเรื่องของการลงทุนในตลาดหุ้นได้อย่างเหมาะสมด้วย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องของการทำผิดหรือโกงของบริษัทจดทะเบียนโดยผู้บริหารในขณะที่ยังมีอำนาจ  แต่เมื่อเขา “ตกต่ำลง”  สิ่งที่เขาทำไว้ก็อาจจะถูกเปิดเผยออกมา

    ปรากฏการณ์  “น้ำลดตอผุด”  ในตลาดหุ้นไทยดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ  ในช่วงเร็ว ๆ  นี้  เหตุผลที่เราเห็นกรณีต่าง ๆ  มากขึ้นนั้น  ส่วนสำคัญน่าจะมาจากการที่ก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นไทยมีผลงานหรือผลตอบแทนการลงทุนที่ดีมากโดยเฉพาะในหุ้นของบริษัทเล็กและ/หรือบริษัทที่มีคุณภาพไม่ดีแต่มีการเก็งกำไรสูงที่มีจำนวนมาก    ความ “เฟื่องฟู” ของราคาหุ้นเหล่านั้นพูดไปก็เปรียบเสมือนกับภาวะที่  “น้ำขึ้น”  สูง  ซึ่งทำให้  “ตอ”  หรือการ “โกง”  ของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนหลาย ๆ  แห่งถูกปกปิดไว้   แต่ถึงวันนี้ดูเหมือนว่าหุ้นเหล่านั้นกำลัง  “ตกต่ำลง”  ราคาหุ้นถดถอยลง  และ  “ตอ”  หรือการโกงก็ปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ  ตามระดับน้ำที่ลดลงเรื่อย ๆ

    การ “โกง” ของผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนนั้น  สำหรับ VI “พันธุ์แท้” ที่มีประสบการณ์นั้น  เป็นประเด็นสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน   แน่นอนว่าการโกงของพนักงานระดับล่างหรือระดับรอง ๆ  ในบริษัทนั้น  เป็นเรื่อง  “ปกติ” ที่มักจะต้องเกิดขึ้นในทุกบริษัทเพราะยีนของมนุษย์นั้นมีเรื่องของการ “โกง” อยู่ด้วยทุกคน   การที่จะไม่ยอมรับการโกงในทุกระดับและทุกกรณีนั้นก็เท่ากับว่าเราจะไม่ลงทุนในหุ้นเลย  สิ่งที่เราจะต้องพิจารณาก็คือ  ระดับของการโกงนั้นอยู่ในระดับไหน  มันจะกระทบกับผลประกอบการเท่าไร  หรือพูดง่าย ๆ  ก็คือ  ดูว่ามันเป็น  “ต้นทุน” ของธุรกิจที่ยอมรับได้ไหม  ถ้ามันน่าจะพอ ๆ  กับบริษัทอื่นเราก็อาจจะไม่ต้องสนใจอะไรมากนัก   แต่ถ้าเป็นการโกงของผู้บริหารระดับสูงหรือสูงสุดของบริษัท  การโกงนั้นก็อาจจะมีผลทำให้บริษัทเสียหายหนักหรือบางทีอาจจะ “ล่มสลาย” ได้  และนี่ก็คือสิ่งที่ผมจะพูดถึง

    นักลงทุนหรือนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มักจะไม่สามารถหรือไม่กล้าที่จะวิเคราะห์ประเด็นการโกงในระดับผู้บริหารสูงสุดหรือผู้ถือหุ้นใหญ่   อย่างมากก็แค่ดู  “คะแนนบรรษัทภิบาล” ที่บริษัทได้รับจากการจัดอันดับของหน่วยงานในตลาดทุน  ถ้าบริษัทได้คะแนนดีได้ “ดาว” สูง  พวกเขาก็สรุปว่าบริษัทไม่มีปัญหาในเรื่องของความซื่อสัตย์  แต่ในความเห็นของผมเองนั้น  ผมคิดว่าคะแนน Corporate Governance นั้น  สามารถอธิบายเรื่องความซื่อสัตย์หรืออะไรก็ตามได้ไม่ถึงครึ่ง  เหตุผลก็เพราะการให้คะแนนนั้นอิงอยู่กับ Form หรือรูปแบบมาตรฐาน  เช่น  มีกรรมการ “คนนอก” กี่คน  มีคณะกรรมการย่อยกี่คณะ  มีการประชุมกี่ครั้ง  เป็นต้น  ซึ่งสิ่งต่าง ๆ  เหล่านี้ไม่ได้บอกถึง  “คุณภาพ” ที่แท้จริง  ดังนั้น  ผมจึงแทบไม่สนใจว่าบริษัทได้คะแนนสูงแค่ไหน  ผมอาจจะดูถ้าคะแนนแย่จริง ๆ เท่านั้น

    การดูว่าผู้บริหารระดับสูงซื่อสัตย์แค่ไหนนั้น  ผมจะดูประวัติและพฤติกรรมที่เขาทำมากกว่าอย่างอื่น  นอกจากนั้น  ผมจะดูความยากง่ายในการโกงซึ่งมักจะอิงกับตัวโครงสร้างของธุรกิจและอุตสาหกรรมด้วย  เพราะอุตสาหกรรมบางอย่างเช่นที่ต้องเกี่ยวข้องกับงานประมูลของหน่วยงานรัฐนั้น  บ่อยครั้งผู้บริหารต้อง “จ่าย”  เงิน “ใต้โต๊ะ” ซึ่งทำให้มีโอกาสที่ผู้บริหารจะโกงได้ง่าย  เป็นต้น  อย่างไรก็ตาม  การโกงในกรณีแบบหลังนี้ก็มักจะไม่ถึงกับทำให้บริษัทเจ๊งในเวลาอันสั้น  เพียงแต่มันอาจจะทำให้บริษัทไม่ได้กำไรหรือเติบโตไปมากอย่างที่คิด  บางทีก็อาจจะขาดทุนได้ทั้ง ๆ  ที่บริษัทได้งานและมีรายได้เพิ่มขึ้น

    การโกงของผู้บริหารสูงสุดเองนั้น  ในภาวะที่ตลาดหุ้น  “เป็นใจ”  มีนักเก็งกำไรที่พร้อมจะเข้ามาซื้อหุ้นดันราคาให้สูงมีค่า PE เป็นหลายสิบหรือร้อยเท่าได้นั้น  เขาอาจจะไม่ได้โกงเงินบริษัทก็ได้  เพราะเขาสามารถ “โกงเงินคนเล่นหุ้น” ได้มากกว่า  นั่นก็คือ  แทนที่จะโกงเงินบริษัทและทำให้บริษัทกำไรน้อยหรือขาดทุน  เขาอาจจะ  “แต่งบัญชี”  ทำให้บริษัทดูมีกำไรที่ดีหรือดีมากซึ่งจะทำให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นดันราคาขึ้นไปซึ่งเขาจะได้ขายหุ้นทำกำไรมหาศาล  ก่อนที่จะปล่อยให้กำไรตกลงมาตามที่เป็นจริงและราคาหุ้นลดลงมหาศาล  และ  “ตอ”  ก็อาจจะเริ่มโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ

    ประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ  ผู้บริหารส่วนใหญ่ก็มักจะไม่มีประวัติในการ “โกงบริษัท” เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็คงไม่สามารถมาเป็นผู้บริหารได้  ดังนั้น  การตรวจสอบประวัติก็คงต้องเป็นเรื่องของการวิเคราะห์พฤติกรรมในอดีตว่าเขาทำอะไรมา  เคยทำอะไรที่ดูแล้วเป็น  “สีเทา ๆ”  มากน้อยแค่ไหน  นั่นก็คือ  มีการตัดสินใจในสิ่งที่ไม่ค่อยมีเหตุผลหรือไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นหรือลงทุนในกิจการที่มีความสุ่มเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนสูง  ในกรณีที่ผู้บริหารเพิ่ง “เปิดตัว” เมื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไม่นาน  การตรวจสอบประวัติก็แทบเป็นไปไม่ได้  และนี่ก็คือความเสี่ยงสำหรับการลงทุนในบริษัทที่มีประวัติและผลงานสั้น

    การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร  การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ  และการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น  อย่างมีนัยสำคัญ  ทั้งที่เป็นเฉพาะเรื่องและหลายเรื่องประกอบกัน   และทำให้ทุกอย่าง  “ดีขึ้นมาก” ในเวลาอันสั้นนั้น  ถ้าจะเปรียบก็คือ  “น้ำกำลังขึ้น” สูง   ในกรณีแบบนี้ก็ต้องระวังว่าภายใต้น้ำนั้นอาจจะมี “ตอ” ที่ถูกปกปิดไว้  และตราบใดที่น้ำยังไม่ลด  ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูดีไปหมด  บริษัทถูกมองว่ามีความสามารถในการแข่งขันเหนือกว่าคู่แข่ง  ต้นทุนอาจจะถูกกว่าด้วยเหตุผลสารพัดรวมถึงความสามารถในการดำเนินงานที่เหนือกว่าคนอื่น  บริษัทเติบโตเร็วและมีการเติบโตของกำไรพร้อมกับมาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายสูงขึ้น  ฐานะการเงินของบริษัทเข้มแข็งและสามารถกู้เงินในต้นทุนที่ต่ำเพราะได้เรทติ้งที่ดีจากบริษัทจัดอันดับและสถาบันการเงิน  ผู้บริหารมีความสามารถสูงและมีชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์  ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปสูงลิ่วนั้นยังไม่แพงและคิดค่า PEG ยังต่ำกว่า 1 เหตุผลก็เพราะว่าบริษัทโตเร็วมากและจะโตต่อไปอีกหลาย ๆ  ปีเพราะตลาดยังมีโอกาสโตมหาศาล  ทั้งหมดนี้ก็คืออาการของ  “น้ำขึ้น” ที่อาจจะลดลงได้ในภายหลังและเราต้องระวังว่า  “ตอ”  อาจจะผุดได้

    ถ้าเราจะอยู่ในตลาดหุ้นได้อย่างดีและนานและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน  สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังก็คือการหลีกเลี่ยง  “หายนะ” ทุกรูปแบบทั้งหายนะของ “ระบบ” และของหุ้นแต่ละตัว  การโกงของผู้บริหารสูงสุดหรือผู้ถือหุ้นใหญ่นั้นมีศักยภาพที่จะทำลายบริษัทและหุ้นได้  ดังนั้นเราต้องวิเคราะห์ประเด็นนี้ทุกครั้งที่เราจะลงทุนในหุ้น  สิ่งสำคัญที่จะต้องดูนั้นเริ่มจาก  “แรงจูงใจ” ของพวกเขาว่าเป็นอย่างไร  เขาจะมา “กินเงิน” ของผู้ถือหุ้นรายย่อยหรือเงินของบริษัทอย่างผิดธรรมนองคลองธรรมหรือไม่?  เขาทำได้ยากง่ายแค่ไหน?  และพฤติกรรมของเขาที่เราเห็นเป็นอย่างไร  ทั้งหมดนี้บ่อยครั้งเรามองไม่เห็น  สาเหตุมาจากการที่ภาพของบริษัทดูดี  เป็นภาวะที่เรียกว่า  “น้ำขึ้น”  ดังนั้น  หน้าที่ของเราก็คือ  ตั้งคำถามกับสิ่งต่าง ๆ  ที่ดี ๆ เหล่านั้น  ถามว่า  ดีจริงหรือและเพราะอะไรจึงดีกว่าคนอื่น  เราต้องการรู้ว่าอาจจะมีสิ่งที่เลวร้ายหรือสิ่งที่ไม่ดีหรือ  “ตอ”  ที่ถูกซ่อนไว้ใต้น้ำหรือไม่   เพื่อที่ว่าเราจะได้หลีกหนีทันเมื่อ “น้ำลด” และ “ตอผุด”
[/size]



ตอบกลับโพส