เหนือกว่ามนุษย์/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

เหนือกว่ามนุษย์/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ ก.ย. 10, 2017 7:59 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    เรื่องของ “หุ่นยนต์” และระบบออโตเมติกที่สามารถทำงานได้รวดเร็วและดีกว่ามนุษย์นั้นน่าจะเริ่มมาไม่น้อยกว่า 50 ปีแล้ว  อย่างไรก็ตาม  ในช่วงเร็ว ๆ  นี้ดูเหมือนว่าหุ่นยนต์ได้รับการกล่าวขวัญมากขึ้น  เนื่องจากเหตุผลที่ว่ามัน “ฉลาด” ขึ้นมากจนสามารถเอาชนะมนุษย์ในการแข่งขันเกมโกะซึ่งเป็นเกมหมากกระดานที่มีความซับซ้อนมากจนไม่มีใครคิดว่าคอมพิวเตอร์หุ่นยนต์จะสามารถเอาชนะแชมป์ระดับโลกได้แม้ว่ามันจะสามารถเอาชนะในการแข่งหมากรุกกับแชมป์โลกได้มานานแล้ว   ความสามารถของหุ่นยนต์คอมพิวเตอร์หรือที่เราเรียกว่า  Artificial Intelligent (AI) หรือ “ปัญญาประดิษฐ์” นี้  เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามการเพิ่มขึ้นของความสามารถของทรานซิสเตอร์ที่ใช้ในการคำนวณในคอมพิวเตอร์ที่เป็นไปอย่างก้าวกระโดดตาม  “กฎของ Moore” ซึ่งทำนายตั้งแต่ปี 1965 ว่าความสามารถในการคำนวณของคอมพิวเตอร์จะเร็วขึ้นเท่าตัวในทุกปีและจะโตแบบนั้นต่อเนื่องไปเป็นทศวรรษ   คำทำนายของ Moore ซึ่งเป็นอดีตผู้ก่อตั้งบริษัท Intel ยักษ์ใหญ่ในวงการผลิตชิพเซมิคอนดักเตอร์นั้น ยังคงดำรงมาเรื่อยจนถึงปัจจุบันแม้ว่าความสามารถในการคำนวณของคอมพิวเตอร์จะเพิ่มขึ้นเท่าตัวในทศวรรษต่อมาในอัตราที่ช้าลงบ้างเป็น 18 เดือนบ้าง 2 ปีบ้าง แต่มันก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาตลอด  และถ้ามันยังเพิ่มขึ้นด้วยอัตราการเพิ่มแบบนี้  ถึงวันหนึ่ง  คอมพิวเตอร์ก็จะ “ฉลาดกว่ามนุษย์”  ในเวลาอีกไม่นาน

    AI ที่ฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ  นั้น  ถูกนำมาใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ตั้งแต่การควบคุมการผลิตให้เป็นระบบอัตโนมัติและการทำงานเฉพาะอย่างที่มี “กติกา” หรือมีข้อกำหนดที่แน่นอนหรือมีผลลัพธ์ที่พอคาดการณ์ได้  ตัวอย่างที่คอมพิวเตอร์หุ่นยนต์ถูกนำมาใช้ในปัจจุบันรวมถึงการ “นำทาง” การขับเคลื่อนรถยนต์แบบไม่ต้องใช้คนขับ  การซื้อขายหุ้น  การวิเคราะห์โรคและความเสี่ยงในการเกิดโรคของคน  การกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัท  การควบคุมและดูแลการผลิตทางด้านการเกษตรและเรื่องอื่น ๆ  อีกมากซึ่งจะช่วยให้มนุษย์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงขึ้น  ทั้งหมดนี้บางทีเราก็เรียกว่าเป็น Specialized AI หรือเป็น AI ที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานเฉพาะอย่าง  บางคนก็เรียกว่าเป็น  Weak AI  หรือเป็น AI อ่อน

    ที่ผ่านมานั้นดูเหมือนว่า AI แบบนี้จะช่วยให้มนุษย์มีความเป็นอยู่และความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นแม้ว่าตลอดมาจะมีคนคิดว่ามันจะทำให้คนตกงานเพราะมันสามารถทำงานแทนคนจำนวนมากในด้านต่าง ๆ   ระบบออโตเมติกอาจจะทำให้คนที่ทำงานในโรงงานลดลง  แต่คนก็หันไปทำงานด้านอื่นโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หรืองานบริการอื่น ๆ  ที่มีเพิ่มขึ้นเนื่องจากความก้าวหน้าของคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้นและทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมาก

    ในอดีตซัก 20-30 ปีที่ผ่านมานั้น  คอมพิวเตอร์อาจจะยังไม่ฉลาดพอที่จะทำงานที่ซับซ้อนมากเช่น  การวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจหรือการขับรถในถนนสาธารณะ  ดังนั้น  คนก็มีความเชื่อว่างานที่จะถูกแทนด้วยหุ่นยนต์ก็คืองานในระดับล่างที่ไม่ต้องใช้ความสามารถในการคิดวิเคราะห์มากเช่นงานโรงงานและการผลิตที่ทุกอย่างถูกกำหนดตายตัวได้  อย่างไรก็ตาม  ด้วยความสามารถที่สูงขึ้นของการคำนวณ  หุ่นยนต์ในปัจจุบันก็เริ่มที่จะสามารถทำอย่างอื่นที่ในสมัยก่อนทำไม่ได้  เช่น  มันสามารถ  “เห็น”  “ได้ยิน”  และ  “คิด”  เป็นแบบเดียวกับมนุษย์  และที่สำคัญที่สุดก็คือ  มันสามารถที่จะ “เรียนรู้”  ได้ด้วยตนเองด้วย

    งานที่ “ซับซ้อน”  และต้องอาศัยทักษะระดับสูงเช่นการวิเคราะห์ธุรกิจและการลงทุน  การวินิจฉัยโรค  การให้บริการทางการเงิน  การขายสินค้าและการขับรถในที่สาธารณะ  ที่เราเคยคิดว่าคอมพิวเตอร์หุ่นยนต์ไม่มีทางทำได้ดีกว่าคนนั้นกำลังถูกท้าทายอย่างหนัก  เพราะความฉลาดของหุ่นยนต์ในปัจจุบันนั้นได้พิสูจน์มาพอสมควรทีเดียวว่ามันสามารถทำได้ดีกว่าคน  การที่เรายังไม่ใช้มันอย่างกว้างขวางนั้นดูเหมือนว่าส่วนสำคัญอย่างหนึ่งก็คือเรื่องกฎหมายความรับผิดชอบและเรื่องทางจิตใจของคนที่จะใช้มากกว่าคุณภาพของงานที่หุ่นยนต์ทำได้  อย่างไรก็ตาม  ในที่สุดแล้วหุ่นยนต์ก็คงเข้ามา “ช่วยงาน” ที่ต้องการทักษะสูงแบบนั้น  ผลก็คือ  คนก็อาจจะว่างงานมากขึ้น  และนี่ก็อาจจะแตกต่างจากสมัยก่อนที่คนที่ถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์หรือออโตเมชั่นสามารถหางานใหม่ที่คอมพิวเตอร์ยังทำไม่ได้ดีหรืองานที่ต้องการทักษะที่สูงขึ้น  แต่ในยุคต่อไป  อาจจะไม่มีงานที่จะมารองรับคนที่ต้องตกงานเพียงพอ  และนี่ก็คือปัญหาที่คนยังไม่รู้คำตอบ  เป็นไปได้อีกเช่นกันว่า  มนุษย์อาจจะมี “งานใหม่” ที่เราคาดไม่ถึงมาแทนที่งานเดิมของเรา

    ถ้าหากว่าคนจำนวนมากต้องตกงานเพราะหุ่นยนต์  สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ  ภาวะเศรษฐกิจจะตกต่ำลงหนักเพราะขาดแคลนกำลังซื้อที่จะกระตุ้นให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ  นอกจากนั้น  ก็น่าจะมีปัญหาเรื่องของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่จะกว้างขึ้นระหว่างคนที่ไม่มีงานทำกับคนที่ทำงานโดยเฉพาะที่เป็นคนคุม  “ทุน”  ทางเทคโนโลยีที่มักจะ  “กินรวบ” และทำให้เจ้าของมีความมั่งคั่งมหาศาล  และนี่ก็อาจจะเป็นปัญหาที่คนในช่วงนั้นจะต้องแก้ไข  ดังนั้น  ถ้ามองในมุมนี้ก็ดูเหมือนว่าการพัฒนาทางด้านของ AI โดยไม่มีข้อจำกัดก็อาจจะไม่เป็นประโยชน์กับมนุษยชาติมากก็ได้  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ดูเหมือนว่าเราก็ยังมีความสามารถในการควบคุม AI ในฐานะที่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยส่งเสริมความอยู่ดีกินดีของมนุษย์ได้

    สิ่งที่น่าห่วงหรือน่าวิตกมากกว่าก็คือการพัฒนาของ Artificial General Intelligent (AGI) หรือ  Strong AI  หรือ AI ระดับแข็ง ซึ่งจะเป็น AI ที่สามารถทำงานหรือทำสิ่งต่าง ๆ  ได้เหมือนมนุษย์เมื่อความก้าวหน้าด้านการคำนวณของคอมพิวเตอร์มีมากขึ้นจนถึงจุดที่มันสามารถทำอย่างนั้นได้    วิธีการทำก็อาจจะเป็นการก็อปปี้การทำงานของเซลสมองของมนุษย์ออกมาเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งก็จะถูกใช้ในการควบคุม “ร่างกาย” และ “ความคิด”  ของหุ่นยนต์จนทำให้มันมีความสามารถเหมือนกับคนทุกอย่างยกเว้นแต่ว่ามัน “ไม่ตาย” และมีคุณสมบัติเหนือกว่ามนุษย์เช่น  ไม่ต้องพักและสามารถเรียนรู้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  พูดง่าย ๆ  ว่าในที่สุดมันก็จะกลายเป็น  “Super Man” ซึ่งทำงานได้เหนือมนุษย์รวมถึงการสร้าง Super Man ตัวใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

    อันตรายของ AGI ก็คือ  อาจจะเกิด  Super Man ที่  “ไม่เป็นมิตรกับมนุษย์”  และในวันหนึ่งมันอาจจะทำลายหรือทำให้มนุษย์เป็น “ทาส”  หรือเป็นแค่ส่วนหนึ่งของระบบการอยู่ร่วมกันของสิ่งที่มีความฉลาดทั้งหลายโดยที่  Super Man ที่เป็นหุ่นยนต์เป็นผู้จัดการเฉกเช่นเดียวกับที่มนุษย์เป็นคนที่จัดการระบบทุกอย่างในโลกในปัจจุบันนี้

    อีกภาพหนึ่งที่น่ากลัวไม่น้อยไปกว่ากันและอาจจะมีโอกาสเกิดมากกว่าก็คือ  การใช้  AI เป็นอาวุธในการรบพุ่งของชาติมหาอำนาจและอาจจะทำให้  “สิ้นโลก” ดังที่ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียเตือนไว้เมื่อเร็ว ๆ  นี้  เหตุผลก็เพราะว่า AI มีความสามารถมากขึ้นทุกวันซึ่งทำให้มันจะมีโอกาสถูกใช้เพื่อเอาชนะในสงครามระหว่างประเทศ   พูดถึงประเด็นนี้ก็ทำให้ผมนึกถึง Stephen Hawking นักฟิสิกส์ชื่อก้องโลกชาวอังกฤษที่ทำนายไว้ว่าโลกอาจจะถึงกาลอวสานในเวลาอีกไม่นาน–อาจจะเป็นหลักร้อยหรือพันปีโดยอาจจะเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งที่รวมถึงการทำลายตัวเองของมนุษย์ผ่านการทำสงครามนิวเคลียร์หรือการพัฒนาการของ AI ที่ไม่สามารถควบคุมได้

    บทความวันนี้ของผมคงไม่สามารถที่จะนำมาใช้กับการลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้นได้  ผมเพียงแต่อยากให้นักลงทุนตระหนักถึงบทบาทของ AI ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและจะกลายเป็นผู้เล่นที่สำคัญมากในทางเศรษฐกิจในอนาคตต่อจากนี้อีกไม่นานและเราควรจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อที่จะใช้เป็นข้อมูลใหม่ในการลงทุนที่นับวันจะเกี่ยวข้องกับ AI มากขึ้นเรื่อย ๆ
[/size]



ตอบกลับโพส