โค้ด: เลือกทั้งหมด
ผมเพิ่งกลับจากการสัมมนา-ดูงาน การลงทุนในตลาดเวียตนามที่จัดโดยสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หลังจากที่ไม่ได้ไปเวียตนามเลยในช่วงประมาณ 2 ปีที่ผ่านมาทั้ง ๆ ที่มีการลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามอยู่พอสมควร สิ่งที่ผมได้พบเห็นในการเดินทางครั้งนี้ก็คือการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมากและมันได้ “เปิดหูเปิดตา” ผมเพิ่มขึ้น และต่อไปนี้คือข้อสังเกตของผมต่อเวียตนาม
เรื่องแรกก็คือ ผมอยากจะตั้ง “ฉายา” ของประเทศเวียตนามในเวลานี้ว่าเป็น “Land of Growth” เหตุผลก็คือ ทุกอย่างในประเทศนี้กำลังเติบโตมาก คล้าย ๆ เด็กเล็กที่กำลัง “โตวันโตคืน” และดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรมาหยุดยั้งเขาได้ ทางด้านตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญเช่น GDP นั้น ผมคิดว่าการเติบโตระดับ 6-7% ต่อปีนั้นคงจะดำเนินต่อไปได้อีกยาวนานน่าจะเป็น 10 ปีขึ้นไปโดยที่องค์ประกอบของการเติบโตนั้นมาจากทุกภาคส่วน
ตัวเลขการเติบโตของการส่งออกนั้นจะโตในระดับสองหลักไปอีกหลาย ๆ ปีและมูลค่าการส่งออกทั้งหมดน่าจะมากกว่าการส่งออกของไทยใน 2-3 ปีข้างหน้า การลงทุนของภาคเอกชนนั้นเติบโตมากยิ่งกว่าและการลงทุนที่มาจากต่างประเทศหรือ FDI นั้นได้แซงไทยไปแล้วพอสมควรในปีล่าสุด การบริโภคของประชาชนในประเทศเวียตนามเองนั้นก็เติบโตอย่างมากทุกปีทั้ง ๆ ที่ระบบการกู้เงินเพื่อซื้อบ้านและรถยนต์นั้นยังมีน้อยมาก ดังนั้น ในอีกไม่นานเมื่อระบบการ “ผ่อนส่ง” เหล่านั้นแพร่หลาย ผมคิดว่าการเติบโตของการบริโภคภาคครัวเรือนจะ “โตระเบิด” ไปอีกนาน ในส่วนของการใช้จ่ายของรัฐบาลเองนั้นก็เติบโตขึ้นมากมายเนื่องจากประเทศยัง “ล้าหลังมาก” ในด้านของสาธารณูปโภค ไฟฟ้ายังขาดแคลนหนัก ถนนหนทางมีน้อยมากทำให้การเดินทางช้ามาก สนามบินก็มีขนาดเล็กและเก่าจนจำเป็นที่จะต้องขยายเกือบทุกแห่ง รถไฟฟ้าในเมืองสายแรกของโฮจิมินเองก็ยังไม่เปิดแม้ว่าจะสร้างมานาน ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะรัฐบาลมีเงินไม่พอ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็กำลังเร่งขายรัฐวิสาหกิจเพื่อระดมเงินมาสร้างสาธารณูปโภคอย่างรีบเร่ง ดังนั้น สรุปได้ว่าทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่าง “รุนแรง”
พูดถึงการท่องเที่ยวเองนั้น เวียตนามยิ่งมีการเติบโตมากกว่าสิ่งอื่น ๆ ที่กล่าวถึงทั้งหมด การเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงหลัง ๆ นี้โตขึ้นปีละหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ขณะนี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศต่อปีแตะสิบล้านคนแล้ว แม้จะยังน้อยกว่าประเทศไทยที่มีนักท่องเที่ยวกว่า 30 ล้านคนมากแต่อัตราการเติบโตสูงกว่าไทยหลายเท่าและผมคิดว่าจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของไทยในอนาคตเนื่องจากเวียตนามมีองค์ประกอบในการแข่งขันดึงดูดนักท่องเที่ยวไม่แพ้ไทยมากนัก
นอกจากเรื่องของตัวเลขที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตแล้ว “บรรยากาศ” หรือ “ความรู้สึก” จากการที่ได้ “สัมผัส” หรือ “เห็น” หรือ “ได้ยิน” จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก็ทำให้ผมรู้สึกว่าเวียตนามกำลังโตแบบ “บ้าคลั่ง” ร้านค้าที่เป็นห้างทันสมัยไม่ว่าจะเป็นช็อบปิงมอลขนาดใหญ่ ร้านกาแฟเครือข่ายอย่างสตาร์บักส์เต็มไปด้วยผู้คนหนุ่มสาวที่มาใช้บริการ ถนนคนเดินและบาทวิถีที่เป็นแหล่ง Hang Out หรือพบปะของคนหนุ่มสาวเวียตนามตามปกติอยู่แล้วนั้น งวดนี้ที่ผมมามีเพิ่มขึ้นมากจนรู้สึกได้ ร้านหนังสือขนาดใหญ่กลางเมืองที่ผมมักแวะไปดูทุกครั้งที่ไปเวียตนามและพบว่ามีคนซึ่งรวมถึงเด็กจำนวนมากเข้าไปใช้บริการแม้ว่าจะเป็นเวลาค่ำนั้น ขณะนี้คึกคักขึ้นไปอีกในขณะที่ร้านหนังสือในไทยดูเหมือนว่าจะเหงาลงไปแล้ว ทั้งหมดนี้ทำให้ผมรู้สึก “คึกคัก” เป็นพิเศษ พูดตามความจริง ในระยะหลัง ๆ เวลาผมไปเที่ยวต่างประเทศนั้น ผมไม่เคยไปประเทศที่ “กำลังโตเร็ว” แบบนี้ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าผมมักไปเที่ยวในประเทศที่เจริญแล้วที่มักจะโตจนอิ่มตัวหรือเริ่ม “แก่” แล้ว
สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโต “สุดยอด” นั้น น่าจะมาจากการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะอาคารสูงทั้งที่เป็นสำนักงานและคอนโดที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ในกรุงโฮจิมิน การเดินทางครั้งนี้คณะนักลงทุนได้มีโอกาสเยี่ยมชมโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่หรูหราที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังเกิดขึ้นจำนวนมากโดยเฉพาะในเขตเมืองใหม่ของโฮจิมินที่เรียกว่าเขต “ตู่เตียม” ที่เดิมเป็นที่ดิน “กระเพาะหมู” ล้อมรอบโดยแม่น้ำไซ่ง่อนคล้าย ๆ กับเขตบางกระเจ้าของกรุงเทพ เดิมเนื่องจากไม่มีสะพานข้ามแม่น้ำ ทำให้ที่ดินนั้นไม่มีการพัฒนาทั้ง ๆ ที่อยู่ติดกับพื้นที่เขต 1 ที่เจริญที่สุดและเป็นเขต CBD ของโฮจิมิน ต่อมารัฐบาลต้องการพัฒนาพื้นที่นี้ให้เป็นศูนย์กลางของเมืองใหม่ จึงได้สร้างสะพานและอุโมงข้ามแม่น้ำซึ่งทำให้มีการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่หรูหรารวมถึงการเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโฮจิมินหรือของประเทศ
ผมเองไม่ได้ชอบหรือเชี่ยวชาญการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่เมื่อวิเคราะห์ดูศักยภาพและคุณค่าของการที่จะลงทุนซื้อห้องชุดหรือพื้นที่ในอาคารหรูหราเหล่านั้นแล้ว ผมก็คิดว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะในพื้นที่อาคารเหล่านั้นน่าจะเป็นการลงทุนที่ “ปิดประตูแพ้” เหตุผลก็คือ เวียตนามกำลังเติบโตเร็วมาก ความต้องที่จะมีสำนักงานที่สวยและทันสมัยโดยเฉพาะจากบริษัทต่างประเทศและที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติที่มาทำงานจะมีเพิ่มขึ้นมากในขณะที่พื้นที่เดิมซึ่งเก่าและไม่สะดวกไม่สามารถจะรองรับได้ เหนือสิ่งอื่นใด เขตโฮจิมินส่วนที่เป็นเมืองเก่านั้นแออัดมากและดูเหมือนว่าจะไม่มีพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ให้พัฒนาได้เลย ทำให้อาคารในเขตเมืองใหม่เป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เอเจนซีขายโครงการย้ำกับพวกเราตลอดว่า นี่จะเหมือนกับเขตเมืองใหม่ผู่ตงของเมืองเซี่ยงไฮ้ที่จะเจริญสุดยอด ผมเองเชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะผังเมืองตู่เตียมถูกวางไว้อย่างดีมีสาธารณูปโภคสมบูรณ์รวมถึง “ป่า” เล็ก ๆ ที่มีเส้นทางคนเดินหรือวิ่งสำหรับ “คนมีระดับ” ที่อาศัยในเขตตู่เตียม
ราคาของคอนโดมิเนียมในเขตตู่เตียมและที่อยู่ในเขต 1 ที่อยู่ติดกันนั้นดูเหมือนว่าจะยังไม่สูงนักเมื่อเทียบกับราคาในกรุงเทพ โครงการที่ “แพงที่สุด” ในช่วงนี้อยู่ที่ตารางเมตรละประมาณ 150,000-200,000 บาท เทียบกับกว่า 300,000 บาท ในกรุงเทพ ในขณะที่ทำเลของโฮจิมินนั้นคืออยู่ในศูนย์กลางธุรกิจและติด “ริมแม่น้ำ” ด้วย เช่นเดียวกัน โครงการที่อยู่ในเขต 1 และติดสถานีรถไฟฟ้าที่กำลังใกล้เปิดบางโครงการของโฮจิมินเองนั้นก็มีราคาแค่ประมาณ 100,000 บาทต่อตารางเมตร ดูแล้วน่าจะถูกกว่าราคาคอนโดในกรุงเทพและน่าจะมีโอกาสปรับขึ้นไปเร็วในอนาคต ว่าที่จริงหลายโครงการหรูที่เปิดในช่วงเร็ว ๆ นี้ ถูกจองหมดอย่างรวดเร็วโดยชาวต่างประเทศและราคาขึ้นไปแทบจะทันที
การเติบโตของเวียตนามเองนั้น คงไม่ได้เกิดขึ้นสั้น ๆ แล้ว “สะดุด” ลงง่าย ๆ เหตุผลก็คือ พื้นฐานของคนเวียตนามเองที่เป็นคนที่มีความขยันขันแข็งและมีคุณภาพสูงวัดจากผลการศึกษาที่เด็กเวียตนามนั้นทำได้เท่ากับประเทศที่เจริญแล้ว ไปเวียตนามครั้งนี้ผมเองรู้สึกว่าคนเวียตนามนั้นสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีกว่าไทยมาก คนที่มาพรีเซ็นต์หรือมาพูดให้เราฟังนั้นใช้ภาษาได้คล่องแคล่วรวมไปถึงพนักงานค้าขายทั่ว ๆ ไปนั้นพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าคนไทย หลายคนที่ติดต่อกับลูกค้าไทยเช่นคนในโรงแรมก็พูดไทยได้ พนักงานเวียตนามจำนวนมากนั้นต่างก็หมั่นศึกษาและเรียนรู้เพิ่มเติมโดยเฉพาะทางด้านภาษาหลังเลิกงานเพื่อที่จะเพิ่มศักยภาพและเงินเดือนของตนเอง ซึ่งนี่ก็เป็นเครื่องรับประกันอย่างหนึ่งว่าเวียตนามจะสามารถเติบโตไปได้อีกนาน
ทั้งหมดนั้นก็เป็นภาพที่ผมเห็นในการเดินทางไปเวียตนามหลังจากที่ผ่านไป 2 ปีนับจากวันที่ผมเริ่มลงทุนอย่างจริงจังในเวียตนาม ภาพใหญ่นั้นยังดูสดใสเหมือนเดิมหรือเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลการลงทุนในปีนี้ของผมที่เวียตนามเองนั้นกลับไม่สดใส ส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นเกือบ 10% อย่างไรก็ตาม ผมคงไม่ถอนการลงทุน ผมคงต้องรอจนกว่าคนจะเห็นและเข้ามาซื้อหุ้นที่ผมลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บทเรียนของผมก็คือ การลงทุนไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าภาพใหญ่จะดีมากแต่การลงทุนให้ประสบความสำเร็จจริง ๆ นั้น เราอาจจะจำเป็นที่จะต้องศึกษาเรียนรู้อย่างเข้มข้นมากกว่านั้น สำหรับคนหนุ่มสาวที่พร้อมจะทำ ผมก็คิดว่าตลาดเวียตนามนั้น เป็นสถานที่ที่น่าสนใจที่จะลงทุนมากที่สุดแห่งหนึ่งในเวลานี้