ขนาดของพอร์ต VS ผลตอบแทน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ขนาดของพอร์ต VS ผลตอบแทน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ พ.ย. 12, 2017 3:35 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    ในเรื่องของการลงทุนนั้น  มี  “ความจริง”  ที่นักลงทุนส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดที่อยู่ในตลาดหุ้นมานาน “ยอมรับ”  ก็คือ  เมื่อพอร์ตมีขนาดใหญ่มากขึ้น  ผลตอบแทนการลงทุนของเขาก็จะลดต่ำลง  ปีเตอร์ ลินช์ เคยบอกว่าขนาดของพอร์ตที่ใหญ่ขึ้นมากนั้นเป็นสิ่งเหนี่ยวรั้งสำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งของการสร้างผลตอบแทนที่ดี  และนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่เขาเกษียณตัวเอง  “ก่อนกำหนด” เพราะรับภาระในการเลือกหาหุ้นลงทุนและต้องทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีอย่างเดิมไม่ไหว  เขาคงคิดว่าการหาหุ้นขนาดเล็กและโตเร็วนับร้อยหรือพันตัวเพื่อรองรับกับเงินกองทุนขนาดมหึมาไม่ไหว  อย่าลืมว่าในช่วงประมาณ 13 ปี สิ้นสุดปี 1990 ที่เขาบริหารกองทุนรวมแมกเจลลัน  เขาทำผลตอบแทนแบบทบต้นได้ถึงปีละประมาณ 29%  แต่เม็ดเงินที่บริหารนั้นเริ่มต้นจากน้อยมากที่ 20 ล้านเหรียญกลายเป็น 14,000 ล้านเหรียญในวันที่เขาเกษียณ  การที่จะทำผลตอบแทนได้ดีแบบเดิมต่อไปด้วยเงินขนาดนั้นก็แทบเป็นไปไม่ได้

    วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยพูดไว้เมื่อไม่นานมานี้ว่าถ้าเขาบริหารเงินจำนวนน้อย ๆ  อย่างสมัยก่อนที่เขาเพิ่งจะเริ่มลงทุน  การสร้างผลตอบแทนถึงปีละ 50% ก็เป็นไปได้  เหตุผลสำคัญก็คือ  เขาสามารถลงทุนในหุ้นตัวเล็ก ๆ  ที่ Undervalue หรือมีราคาถูกมากและไม่มีคนสนใจได้  ซึ่งนั่นก็จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีมากต่อพอร์ตที่มีขนาดเล็กนั้น  ในขณะที่ในปัจจุบัน  พอร์ตของบัฟเฟตต์นั้นมีขนาดมโหฬารที่ทำให้เขาจะต้องลงทุนแต่ในบริษัทขนาดยักษ์เท่านั้นถึงจะส่งผลต่อผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตได้  และหุ้นขนาดใหญ่เหล่านั้นก็มักจะให้ผลตอบแทนที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับบริษัทขนาดเล็กที่ยังสามารถเติบโตได้เร็วกว่ามาก

    อย่างไรก็ตาม  “ความจริง”  ที่ว่าพอร์ตเล็กมักจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพอร์ตใหญ่นั้น  ก็ไม่จริงเสมอไปโดยเฉพาะถ้าเราตั้งคำถามว่าขนาดเท่าไรถึงจะเรียกว่าใหญ่ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนเริ่มน้อยลง?  จริงอยู่  พอร์ตเล็กนั้นย่อมมีความได้เปรียบหลายอย่างในเรื่องของการลงทุน  เช่น  ข้อแรก  เราจะไม่มีข้อจำกัดในการเลือกหุ้น  เราสามารถเลือกลงทุนในหุ้นได้ทุกตัวและการลงทุนในหุ้นตัวนั้นก็มีนัยยะต่อผลตอบแทน  ดังนั้น  คนที่มีพอร์ตเล็กจึงได้เปรียบ  แต่คนที่พอร์ตใหญ่ระดับหนึ่งแต่ไม่ถึงกับใหญ่มากก็ยังสามารถลงทุนในหุ้นจำนวนมากพออยู่ดี  ข้อสอง  ก็คือเรื่องของการกล้ารับความเสี่ยง  คนพอร์ตเล็กก็มักจะสามารถลงทุนในหุ้นแบบกระจุกตัวได้มากกว่า  เหตุผลก็เพราะเขาอาจจะคิดว่าเงินจำนวนน้อย  ถ้าเสียหายหนักเขาก็  “ไม่ตาย”  หาใหม่ได้  แต่นี่ก็อีกเช่น  คนที่พอร์ตใหญ่ขึ้นมาในระดับหนึ่ง  เขาก็ยังสามารถลงทุนแบบ Focus  ในหุ้นน้อยตัวซึ่งก็อาจจะไม่เสียเปรียบเท่าไร

    แต่คนที่พอร์ตใหญ่ขึ้นมานั้นเองก็อาจจะมีข้อได้เปรียบคนที่พอร์ตเล็กเช่นกัน  ครั้งหนึ่งในช่วงที่บัฟเฟตต์เริ่มมีพอร์ตใหญ่ขึ้นมากซึ่งก็น่าจะประมาณซัก 10 ปีหลังจากที่เขาเริ่มบริหารกองทุน  เขาบอกว่าการที่พอร์ตใหญ่ขึ้นนั้นทำให้เขา “ได้เปรียบ” ที่สามารถเข้าไปเทคโอเวอร์บริษัทอื่นที่มีราคาถูกมาก  การเป็นเจ้าของบริษัทเหล่านั้นทำให้เขาสามารถกำหนดทิศทางหรือกำหนดการจัดสรรเงินเช่นการลงทุนใหม่และการจ่ายปันผลของบริษัทซึ่งทำให้บริษัทเหล่านั้นมี Value หรือมีมูลค่ามากขึ้น  ตัวอย่างที่ชัดเจนก็รวมถึงหุ้นของบริษัทเบิร์กไชร์ที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันที่เขาซื้อมาในราคาที่ถูกมาก   ในขณะที่คนพอร์ตเล็กนั้นทำได้อย่างเดียวก็คือการลงทุนแบบ  “Passive”  นั่นก็คือ  ได้แต่ซื้อหรือขายหุ้นโดยที่ไม่สามารถจะเข้าไปเกี่ยวข้องหรือมีอิทธิพลในบริษัทได้เลย

    ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน  บัฟเฟตต์หรือเบิร์กไชร์จะใหญ่จนคนคิดว่ามีแต่เสียเปรียบคนพอร์ตเล็กกว่าในการสร้างผลตอบแทนที่ดีนั้น  ผมก็คิดว่าไม่จริงทั้งหมด  เหตุผลก็เพราะว่าความใหญ่ของเบิร์กไชร์ก็ทำให้มีชื่อเสียงที่สามารถดึงดูดดีลการลงทุนที่ดีและให้ผลตอบแทนสูงได้  ตัวอย่างเช่น  ในช่วงที่ตลาดหลักทรัพย์และ/หรือบริษัทขนาดใหญ่บางแห่งมีปัญหา  เบิร์กไชร์ก็มักจะเป็นคนแรกหรือตัวเลือกแรกที่จะเข้าไป “กู้” ซึ่งทำให้บัฟเฟตต์สามารถต่อรองซื้อหลักทรัพย์ในราคาถูกมากได้  และนี่ก็คือเหตุผลที่นักวิชาการหรือคนที่ติดตามผลงานการลงทุนของเบิร์กไชร์บอกว่าเป็นข้อได้เปรียบที่นักลงทุนหรือกองทุนอื่นไม่สามารถทำได้

    กลับมาที่ตลาดหุ้นไทยและนักลงทุนไทย  ความคิดที่ว่าคน “พอร์ตเล็ก” จะได้เปรียบและมักจะสามารถทำผลตอบแทนที่สูงหรือดีกว่าคน “พอร์ตใหญ่”  นั้น  ผมคิดว่าก็อาจจะจริงในระดับหนึ่งแต่ก็ไม่เสมอไป   คงจะคล้าย ๆ  กับประสบการณ์อย่างในกรณีของบัฟเฟตต์แต่ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน

    เรื่องแรกเกี่ยวข้องกับความสามารถในการเลือกหุ้นขนาดเล็กนั้น  ผมคิดว่าคนพอร์ตเล็กได้เปรียบที่สามารถ “เล่นหุ้นได้ทุกตัว” พร้อมที่จะเข้าออกได้โดยไม่ทำให้  “เสียราคา”  แต่ผมเองคิดว่านี่ก็ไม่ได้เป็นความได้เปรียบที่มากมายอะไรนัก  เพราะหุ้นมีจำนวนมากมายเทียบกับขนาดของพอร์ตของนักลงทุนส่วนบุคคล  การที่จะพลาดหุ้นเล็กและถูกมากบางตัวไปก็คงไม่ทำให้หาหุ้นถูกตัวอื่นยากนัก  เช่นเดียวกัน  การลงทุนที่ต้องกระจายหุ้นมากขึ้นเองนั้น  ผมเองก็เห็นว่าคนที่มีพอร์ตใหญ่ก็ยังคงสามารถลงทุนในหุ้นน้อยตัวได้  นอกจากนั้น  คนพอร์ตใหญ่บางคนเองก็ยังกู้เงินซื้อหุ้นด้วยมาร์จินไม่น้อยไปกว่านักลงทุนรายเล็ก  ดังนั้น  ความได้เปรียบของคนพอร์ตเล็กในสองกรณีนี้ก็ไม่มากนัก

    ในทางตรงกันข้าม  คนพอร์ตใหญ่บางคนเองนั้นกลับได้เปรียบคนพอร์ตเล็กมากในเรื่องของการที่สามารถ “ส่งอิทธิพล”  หรือมีอิทธิพลต่อราคาหรือผลตอบแทนของหุ้นที่ตนเองลงทุนได้  พวกเขาไม่ใช่นักลงทุนที่ Passive  เนื่องจากขนาดการลงทุนของเขานั้นมักจะสูงเมื่อเทียบกับตัวหุ้นหรือ Free Float ของหุ้นในตลาดที่ลงทุน

    ขนาดพอร์ตที่ใหญ่นั้น  บางทีก็ทำให้ได้รับการจัดสรรหุ้น IPO มาก  หรือที่ดียิ่งกว่าก็คือ  ได้รับการเสนอขายหุ้น PP ในราคาที่ถูกมาก  นี่ทำให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นกอบกำในหลาย ๆ  กรณี  ถ้าจะบอกว่าคล้าย ๆ  กับกรณีการได้ดีลที่ดีแบบบัฟเฟตต์ก็อาจจะพูดได้  แม้ว่าในกรณีของตลาดหุ้นไทยหลายครั้งก็ถูกตั้งคำถามถึง “ความโปร่งใส” อยู่ไม่น้อย  เพราะหุ้นที่ได้รับดีลที่ดีมาถูกขายออกอย่างรวดเร็วทำกำไรมหาศาลก่อนที่จะร่วงลงมาและทำให้นักลงทุนรายย่อยขาดทุนอย่างหนัก

    ความได้เปรียบของการมีพอร์ตใหญ่ขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ  “แรงซื้อ”  ที่มากพอที่จะ “ขับเคลื่อนราคาหุ้น”  โดยเฉพาะหุ้นที่มีจำนวนหมุนเวียนในตลาดหุ้นน้อยซึ่งก็เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของตลาดหุ้นไทยที่ผู้ถือหุ้นใหญ่หรือเจ้าของเดิมยังถือหุ้นจำนวนมากในบริษัทอยู่  การที่รายใหญ่ซื้อหุ้นจำนวนมากอย่างต่อเนื่องในขณะที่คนขายมีจำกัดก็มักทำให้ราคาวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว  ผลที่ตามมาก็คือ  ความ “ตื่นเต้น” ของนักเล่นหุ้นรายย่อยที่มักจะเข้ามาซื้อขายตาม  ผลก็คือ  ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ  อย่างรวดเร็วซึ่งทำให้นักลงทุนพอร์ตใหญ่มีโอกาสขายหุ้นทำกำไรมหาศาลได้ในเวลาอันสั้น

    ข้อสรุปของผมก็คือ  ในตลาดหุ้นไทยนั้น  การเป็นคนพอร์ตเล็กหรือบริหารเงินจำนวนน้อยนั้น  น่าจะช่วยให้สามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าคนที่มีพอร์ตใหญ่ถ้าทั้งสองพอร์ตถูกออกแบบให้รับความเสี่ยงเท่า ๆ  กันผ่านการกระจายความเสี่ยงเท่า ๆ  กันเช่น ถือหุ้นกระจายตัวและไม่เล่นหุ้นด้วยมาร์จินเป็นต้น  อย่างไรก็ตาม  ในกรณีที่อนุญาตให้ทั้งสองพอร์ตสามารถ  “เล่นได้ทุกรูปแบบ”  พอร์ตขนาด “ร้อยหรืออาจจะถึงพันล้านบาท” ก็อาจจะไม่เสียเปรียบพอร์ตไม่เกิน 2-3 ล้านบาท
[/size]



ตอบกลับโพส