โค้ด: เลือกทั้งหมด
ในวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา หุ้นที่มูลค่าตลาดขนาดใหญ่ซึ่งซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเสินเจิ้น ของจีน ได้ถูกนำมารวมเข้าในดัชนีเอ็มเอสซีไอ
ทำไมการมีหุ้นจีนอยู่ในดัชนีเอ็มเอสซีไอ จึงทำให้คนจับตามอง
ตลาดหุ้นจีนได้เพิ่มขนาดขึ้นมาอย่างมากในช่วงสิบปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลจากสมาพันธ์ตลาดหลักทรัพย์โลก หรือ World Federation of Exchanges แสดงว่า ตลาดหลักทรัพย์ของจีน ณ สิ้นเดือนมีนาคม มีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) รวมถึง 8.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 285 ล้านล้านบาท โดยตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้มีมูลค่าตลาด 5.2 ล้านล้านเหรียญ หรือประมาณ 166 ล้านล้านบาท ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก และตลาดหุ้นเสินเจิ้น มีมูลค่าตลาดรวม 3.7 ล้านล้านเหรียญ หรือประมาณ 118 ล้านล้านบาท ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก
ความใหญ่นี้ทำให้ MSCI ไม่สามารถเพิกเฉยได้
ในอดีต อาจจะมีข้ออ้างว่า มาตรฐานบัญชีและการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของจีนยังไม่ถึงเกณฑ์สากล และหุ้นของบริษัทจีนที่ซื้อขายในตลาดทั้งสองเป็นเงินหยวน ที่เรียกกันว่า “หุ้นเอ” (A Shares) ก็มีปริมาณที่นำออกมาซื้อขาย (Free Float) ไม่มาก และยังมีการควบคุมเรื่องการแลกเปลี่ยนเงินและการส่งเงินออกนอกประเทศ แต่ตรงนั้นไม่ใช่ข้ออ้างอีกต่อไปเมื่อตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงได้เปิดให้มีการซื้อขายหุ้นของกันและกันที่เรียกว่า เซี่ยงไฮ้-ฮ่องกง คอนเน็ค เมื่อประมาณ 4 ปีก่อนที่ดิฉันได้เคยเขียนถึงไปแล้ว
ราคา หุ้นเอ ของบริษัทขนาดใหญ่ของจีนจำนวน 234 บริษัท จะถูกรวมคำนวณในดัชนี 19 ดัชนี โดยในช่วงแรกนี้จะคิดน้ำหนัก 2.5% ของ Foreign Inclusion Factor และในเดือนกันยายน จะเพิ่มเป็น 5%
เอาที่เข้าใจง่ายๆดีกว่านะคะ ยกตัวอย่างเพียง 1 ใน 19 ดัชนีค่ะ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2561 เป็นต้นมา ดัชนีตลาดเกิดใหม่ที่เรียกว่า MSCI Emerging Markets Index ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นในตลาดเกิดใหม่ที่ผู้จัดการกองทุนใช้เป็นดัชนีอ้างอิงมากที่สุด มีน้ำหนักหุ้นเอ ของจีนอยู่ 0.39% และในเดือนกันยายน ปีนี้ จะมีนำ้หนักเพิ่มเป็น 0.78% ค่ะ และหากคิดรวมเต็มๆ โดยไม่มีปัจจัยอื่น เช่นเรื่องสภาพคล่อง เรื่องเพดานการถือครองหุ้นของต่างชาติ หรือเรื่องการควบคุมตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราเข้ามาเกี่ยวข้อง น้ำหนักของหุ้นเอจีนในดัชนี MSCI Emerging Market จะไปได้ถึงเกือบๆ 18%ของดัชนีเลยทีเดียวค่ะ
คาดกันว่ากองทุนที่ใช้ดัชนี MSCI Emerging Markets เป็นดัชนีอ้างอิง หรือเป็นตัวเทียบวัด มีมูลค่ารวมกันถึงประมาณ 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าผู้จัดการกองทุนยังไม่มีหุ้นเอของจีนอยู่ในพอร์ตเลย หมายความว่าในช่วงแรกนี้ จะมีเม็ดเงินถึง 74,100 ถึง 148,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 0.237 ถึง 0.47 ล้านล้านบาท ที่สามารถจัดสรรไปซื้อหุ้นเอ ของตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเสินเจิ้น
ตลาดหุ้นจีน ได้ตอบรับกับข่าวนี้ตั้งแต่ปีที่แล้วที่ MSCI ได้ออกมาประกาศว่าจะรวมหุ้นจีนในดัชนี แต่พอต้นปีนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ถูกขายลงมาอย่างแรงในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และโซซัดโซเซ จากนโยบายกีดกันการค้า และนโยบายความมั่นคงที่จะเจารจากับเกาหลีเหนือ ของประธานาธิบดีทรัมป์ จึงทำให้ดัชนีตลาดหุ้นจีนยังไปไหนไม่มาก โดย ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2561 ดัชนีเซี่ยงไฮ้เอแชร์ ยังติดลบอยู่ 5.9% จากต้นปี 2561 และดัชนี CSI 300 ของเสินเจิ้น ยังติดลบอยู่ 4.96% จากต้นปี
หลายคนมองว่าผู้จัดการกองทุนทั้งหลาย คงยังไม่ทุ่มเงินลงทุนเข้าไปในจีนในคราวเดียว คงจะดูลาดเลาก่อน และค่อยๆเพิ่มน้ำหนัก เพราะมองว่าตลาดจีนยังมีความเสี่ยงอยู่ในอีกหลายๆด้าน ทั้งการแกว่งขึ้นลงของราคาหุ้น ที่ค่อนข้างสูง เพราะมีผู้ลงทุนรายย่อยนำตลาด รวมถึงกังวลต่อการแทรกแซงของรัฐในการสั่งปิดตลาดหากหุ้นมีราคาตกลงมากเกินไปอย่างที่เคยเกิดขึ้นในปี 2558
ก็ต้องจับตาดูนะคะ แต่ที่แน่ๆคือ การถูกรวมในดัชนีต่างๆของเอ็มเอสซีไอ ทำให้จีนมีความสำคัญเพิ่มขึ้น ในตลาดทุนของโลกค่ะ
สำหรับผู้ลงทุนที่ชอบหุ้นของบริษัทจีน ก็ยังสามารถลงทุนผ่าน หุ้นเอช (H Shares) ซึ่งคือหุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงได้ค่ะ เพราะบริษัทเหล่านี้ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลของตลาดฮ่องกง และหุ้นมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง
สำหรับผู้ลงทุนที่ประสงค์จะลงทุนในบริษัทจีนผ่านกองทุนรวม มีกองทุนตลาดจีนขายกันอยู่หลายกองทุน มีทั้งที่ทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและที่ไม่ได้ป้องกัน แต่ส่วนใหญ่จะลงทุนใน หุ้นเอช ของฮ่องกง รวมถึงอาจซื้อกองทุนที่ลงทุนในหุ้นเอเชียเหนือ ซึ่งจะรวมการลงทุนในตลาดหุ้น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน เข้าไปด้วย
หมายเหตุ : การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน และผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ได้เป็นเครื่องชี้ผลการดำเนินงานในอนาคต