Block Trade อาวุธทำลายล้างแรงสูง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

Block Trade อาวุธทำลายล้างแรงสูง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ ส.ค. 05, 2018 8:01 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    การที่ตัวเลขการใช้มาร์จินในการซื้อขายหุ้นของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างต่ำในช่วงเร็ว ๆ  นี้นั้นทำให้ผมรู้สึกสบายใจในแง่ที่ว่าการเก็งกำไรในตลาดหุ้นนั้นอาจจะไม่ได้แรงมากอะไรนัก  หรืออย่างน้อยคนที่เก็งกำไรก็มีเงินมากพอที่จะสามารถลงทุนได้โดยไม่ต้องกู้เงินมาก  หรือบางทีนักลงทุนรุ่นใหม่อาจจะมีหลักการลงทุนที่ดีและป้องกันความเสี่ยงมากกว่าคนรุ่นก่อน   หรือก็อาจจะเป็นไปได้ว่าโบรกเกอร์เองก็มีการควบคุมการปล่อยมาร์จินเนื่องจากเคยมีบทเรียนจากสมัยวิกฤติ  ทั้งหมดนั้นก็เป็นความคิดหรือความเชื่อของผม  อย่างไรก็ตาม  ลึก ๆ  แล้วผมก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมคิดนั้นถูกต้อง  เพราะการเก็งกำไรนั้นมันเป็นเรื่องของยีนของมนุษย์  ถ้ามีโอกาสคนก็ชอบที่จะทำ  นอกจากนั้น  ตัวเลขการซื้อขายหุ้นประจำวันของตลาดหุ้นไทยเองนั้นก็สูงลิ่วเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านทั้ง ๆ ที่ขนาดของตลาดหุ้นไทยเล็กกว่า  ซึ่งก็เป็นเครื่องสะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยนั้นน่าจะมีอัตราการเก็งกำไรสูงแม้ว่าตัวเลขการใช้มาร์จินซื้อขายหุ้นจะไม่ได้บอก

    นอกจากตัวเลขการซื้อขายหุ้นรายวันแล้ว  อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมมั่นใจว่าการเก็งกำไรของนักลงทุนส่วนบุคคลของไทยนั้นยังสูงมากก็คือการที่ได้เห็นความผันผวนของราคาหุ้นขนาดกลางและเล็กรวมถึงราคาหุ้นที่แพงลิ่วกว่าปกติมากโดยที่ค่า PE ของหุ้นเหล่านั้นสูงในระดับ 40-50 เท่าขึ้นไปในขณะที่หุ้นขนาดใหญ่นั้นความผันผวนกลับต่ำและหุ้นมีค่า PE ไม่สูงนักและมักจะไม่เกิน 20 เท่า  และนั่นทำให้ผมมีทฤษฎีว่าตลาดหุ้นไทยได้แบ่งออกเป็น 2 ตลาดคู่กันนั่นคือตลาดของบริษัทกลางและเล็กกับตลาดหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่น่าจะครอบคลุมอย่างมากก็แค่ไม่เกิน 50 ตัว  โดยที่นักลงทุนส่วนบุคคลชอบเล่นในตลาดหุ้นขนาดกลางและเล็กและเน้นการเก็งกำไรเป็นหลัก  ส่วนหุ้นขนาดใหญ่นั้นเล่นโดยนักลงทุนสถาบันและต่างประเทศ

    กลับมาประเด็นของเรื่องการเก็งกำไรของนักลงทุนส่วนบุคคล  ในสภาวะที่ดัชนีหุ้นไม่ค่อยเคลื่อนไหวรุนแรงและตลาดหุ้นไซ้ต์เวย์มานาน  การเก็งกำไรก็มักจะทำไม่ได้มากนักหรือ “ไม่สนุก” นอกจากนั้น  ในช่วงที่ตลาดกำลังเป็น “ขาลง”  นักเก็งกำไรก็ทำเงินไม่ได้  ผลก็คือ  การเก็งกำไรก็มักจะค่อย ๆ  หดหายไปเพราะตลาดหุ้นไม่มีเครื่องมือที่จะทำกำไรในหุ้นขาลง  จริงอยู่  เราอาจจะสามารถชอร์ตหุ้นได้  แต่หุ้นที่จะชอร์ตนั้นก็มักจะต้องเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูงซึ่งหุ้นแบบนี้ก็มักจะมีความผันผวนน้อยซึ่งทำให้กำไรหรือขาดทุนในการซื้อขายนั้นช้าและน้อยเกินไปสำหรับนักเก็งกำไร

    การกำเนิดขึ้นของตลาดล่วงหน้าหรือ TFEX ซึ่งเป็นตลาดอนุพันธ์นั้น  เปลี่ยนภาพข้างต้นอย่างสิ้นเชิง  การเก็งกำไรซึ่งเคยทำได้ยากและไม่สะดวกในบางสถานการณ์นั้น  บัดนี้ทำได้อย่างสะดวกและก่อให้เกิดกำไร-และขาดทุนได้มหาศาลในเวลาอันสั้น   เหตุผลก็เพราะมันสามารถ “ขยายผล”  การลงทุนแบบมโหฬารในการที่จะซื้อขายหุ้นหรือตราสารการเงิน  จากเดิมที่คนเล่นหุ้นด้วยมาร์จินและสามารถขยายผลขึ้นสูงสุด 1 เท่าตัวกลายเป็นสามารถขยายผลได้ 10 ถึงเกือบ 20 เท่าตัว  เช่น  ถ้าคุณซื้อหุ้นตัวหนึ่งจำนวน  20,000 หุ้นในราคาหุ้นละ 50 บาท ซึ่งถ้าคุณซื้อหุ้นโดยตรงคุณต้องใช้เงิน 1 ล้านบาท  แต่คุณสามารถซื้อฟิวเจอร์ของหุ้นตัวนี้ด้วยเงินเพียง 1 แสนบาท  ถ้าหุ้นตัวนี้เพิ่มขึ้นเพียง 2.5 บาทต่อหุ้นหรือเพิ่มขึ้นเพียง 5%  คุณมี 20,000 หุ้นคุณก็ได้กำไร 5 หมื่นบาทหรือ 50% ทันทีที่คุณสั่งขาย  และนี่ก็คือความสนุก “สุดเหวี่ยง” ของนักเก็งกำไรในยามที่หุ้นขึ้นตามที่เขาคิด

    แน่นอนว่าถ้าเกิดหุ้นตกลงมา 2.5 บาทคุณก็จะขาดทุน 5 หมื่นบาทหรือ 50% ได้ในเวลาอันสั้นเช่นเดียวกัน  และถ้าโชคร้ายคุณขายไม่ทันและหุ้นตกลงไป 5 บาทหรือ 10% ในวันเดียวอย่างที่เรามักจะเห็นในช่วงเร็ว ๆ  นี้  เงิน 1 แสนบาทของคุณก็จะหายไปกลายเป็น 0 บาททันที  และในกรณีแบบนี้คุณไม่มีสิทธิที่จะ  “ไม่ขายไม่ขาดทุน”  เพราะถ้าคุณไม่ขาย  โบรกเกอร์ก็จะจัดการขายหรือ “ฟอร์ซเซล” แทนคุณ  อย่างไรก็ตาม  “นักเก็งกำไร”  นั้น  เวลาเริ่มต้นเขาก็มักจะคิดถึง “กำไร”  มากกว่าที่จะคิดถึง “ขาดทุน”  ชื่อเขาก็บอกอยู่แล้วว่าเก็ง “กำไร”  ไม่มีคนเรียกตนเองว่า  “นักเก็งขาดทุน”

    แต่เดิมนั้น  ตลาดฟิวเจอร์อาจจะมีการซื้อขายแค่ตัวดัชนีเช่น  SET50 ซึ่งการผันผวนแต่ละวันมักจะไม่ค่อยจะเกิน 1-2%  ถ้าขยายผลด้วย 10 เท่า ก็แปลว่ากำไรขาดทุนต่อวันก็มักจะอยู่ในระดับไม่เกิน 10-20% ซึ่งก็ถือว่ามากแต่ก็ยัง “ไม่มัน” นัก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  การเก็งการเคลื่อนไหวของดัชนีก็เป็นเรื่องที่ยากมาก  ข่าวว่าจะมีคนมา “ปั่นดัชนี” ก็เป็นไปไม่ได้  คนเล่นก็อาจจะไม่สนุกนัก  ต่อมาก็มี “Single Stock Future” ซึ่งก็คือการซื้อฟิวเจอร์ของหุ้นแต่ละตัว  และนี่ก็คือ  “สุดยอดของการเก็งกำไร” เพราะคุณสามารถขยายกำไรเป็น 10 เท่า  ในหุ้นที่คุณวิเคราะห์และ “มั่นใจ” ว่าจะต้องวิ่งเพราะเขาบอกว่ามันดีและจะมีสตอรี่และมี “จ้าว”  หรือ “เซียน”  หรือ “กองทุน” ทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาลงทุน  หุ้นตัวนี้เพียงวันเดียวมันก็สามารถขึ้นไปได้ 10% อย่างง่าย ๆ   และถ้าเป็นอย่างนั้น  วันเดียวคุณได้กำไร 100%  คุณหาหุ้นแบบนี้ปีหนึ่งซัก 5-6 ตัว  ด้วยเงินเริ่มต้น 1 ล้านบาท ก็จะเป็น 2, 4, 8, 16, 32, 64 ล้านบาทในปีเดียว  บางคนที่เก่งยิ่งกว่านั้นคือลงทุนในหุ้นเพียง 1 ถึง 2 ตัวและหุ้นตัวนั้นขึ้นไป 5 เท่า เงิน 1 ล้านบาทก็สามารถกลายเป็น 100 ล้านบาทได้ง่าย ๆ  ดูไปแล้วนี่คือ “สวรรค์ชัด ๆ”  ของนักเก็งกำไร  นั่นคือ  “รวยเป็นร้อยล้านบาทแต่ถ้าเจ๊งก็แค่ 1 ล้านบาท”  ว่าแต่ว่าใครเป็นคนขาดทุน?  เพราะในตลาดอนุพันธ์นั้น  ถ้ามีคนกำไรก็ต้องมีคนขาดทุนเท่า ๆ  กัน

    เบื้องหลังของ Single Stock Future ก็คือ “Block Trade” เหตุผลเพราะคนหรือนักเก็งกำไรนั้นต่างก็อยาก “ซื้อ”  ฟิวเจอร์เพราะมีโอกาสรวย 100 ล้านบาท  แต่คนที่จะขายนั้นมีน้อยมาก  เพราะถ้าได้ก็ได้แค่ 1 ล้านบาท  แต่เวลาขาดทุนต้องจ่ายเป็น 100 ล้านบาท  ดังนั้น  โบรกเกอร์จึงต้องเข้ามา  “ขาย” ฟิวเจอร์แทน  แต่โบรกเกอร์นั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการเก็งกำไร  เขาต้องการได้ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้น  ดังนั้น  เวลาเขาขายฟิวเจอร์หุ้นตัวนั้นไปแล้ว  ในทางทฤษฎีก็คือ  เขาจะต้อง “ส่งมอบ” หุ้นตัวนั้นให้ลูกค้าเมื่อถึงเวลาซึ่งอาจจะเป็นอีก 3 เดือนข้างหน้าตามราคาที่ได้ตกลงกันไว้  ดังนั้น  เพื่อที่จะ “ปิดความเสี่ยง”  เขาก็จะเอาเงินของตนเอง  ซึ่งอาจจะมากเป็น 10 เท่าของเงินที่ได้จากลูกค้า  ไปซื้อหุ้นตัวนั้นไว้ที่ราคาในวันนั้น  ผลก็คือ  ถ้าหุ้นขึ้นและลูกค้าต้องการ “ขายฟิวเจอร์” เพื่อ  “ทำกำไร”  โบรกเกอร์ก็สามารถสั่งขายหุ้นที่ตนเองถืออยู่และเอากำไรที่ได้มาจ่ายให้แก่ลูกค้า  เช่นเดียวกัน  ถ้าหุ้นลง  และลูกค้าต้องการหรือถูกบังคับขาย  โบรกเกอร์ก็ขายหุ้นตัวนั้นและมีขาดทุนแต่ก็สามารถนำเงินค่าซื้อฟิวเจอร์ของลูกค้าที่วางมัดจำไว้มาชดเชย  ผลก็คือ  โบรกเกอร์ไม่ได้กำไรหรือขาดทุนจากการซื้อ-ขายฟิวเจอร์  แต่จะได้รายได้จากค่าคอมมิชชั่นและดอกเบี้ยที่จะคิดจากลูกค้าเนื่องจากต้องเอาเงินมาซื้อหุ้นเก็บไว้  และนี่ก็คือหลักการของบล็อกเทรด

    ปริมาณการซื้อขายหุ้นของโบรกเกอร์ที่นำไปทำบล็อกเทรดนั้นน่าจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ  และเข้ามาแทนที่การปล่อยมาร์จินไม่น้อย  การสั่งซื้อขายหุ้นปริมาณมหาศาลอันเนื่องมาจากบล็อกเทรดนั้นผมคิดว่ามีผลต่อหุ้นหลายตัวโดยเฉพาะที่เป็นหุ้นเก็งกำไรสูงที่เคยปรับตัวขึ้นไปหลาย ๆ  เท่าในเวลาอันสั้นและก็ตกลงมาหลายสิบเปอร์เซ็นต์บางทีในวันเดียว  บล็อกเทรดน่าจะสร้างเศรษฐีและเซียนหุ้นไปหลาย ๆ  คนเช่นเดียวกับที่มันทำให้คนจำนวนมากเจ๊งไปด้วยจำนวนเงินเท่า ๆ  กัน  ถ้าจะอ้างอิงคำพูดของวอเร็น บัฟเฟตต์แล้ว  นี่คือ Weapon of Mass Destruction หรืออาวุธทำลายล้างแรงสูง  สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่อิงผลสำเร็จของการลงทุนกับผลประกอบการของบริษัทในระยะยาวแล้ว  เครื่องมือแบบนี้คือสิ่งที่เราต้องหลีกเลี่ยง  ในอดีตนั้น  แค่ว่าจะใช้มาร์จิน 50% ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่  แต่สำหรับธุรกรรมบล็อกเทรดแล้ว  นี่คงคล้าย ๆ  กับการเข้าไปเล่นในคาสิโนที่เงินอาจจะได้มาเร็วมากหรือไม่ก็เสียหายหมดตัวภายในเวลาอันสั้น  มาร์จินนั้น  ในอดีตเคยเป็นตัวที่ก่อให้เกิดวิกฤติตลาดหุ้นในหลายประเทศซึ่งน่าจะรวมถึงตลาดหุ้นไทย  แต่ในอนาคตหรือแม้แต่ปัจจุบันผมก็คิดว่ามันได้ก่อให้เกิดวิกฤติในหุ้นบางตัวไปเรียบร้อยแล้ว  ผมก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เป็นตัวที่ทำให้เกิดวิกฤติกับโบรกเกอร์หรือตลาดโดยรวมในอนาคตแม้ว่าคนที่ทำจะบอกว่ามีเกณฑ์ในการเลือกหุ้นที่จะทำอย่างรัดกุม
[/size]



ตอบกลับโพส