โค้ด: เลือกทั้งหมด
การที่ตัวเลขการใช้มาร์จินในการซื้อขายหุ้นของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างต่ำในช่วงเร็ว ๆ นี้นั้นทำให้ผมรู้สึกสบายใจในแง่ที่ว่าการเก็งกำไรในตลาดหุ้นนั้นอาจจะไม่ได้แรงมากอะไรนัก หรืออย่างน้อยคนที่เก็งกำไรก็มีเงินมากพอที่จะสามารถลงทุนได้โดยไม่ต้องกู้เงินมาก หรือบางทีนักลงทุนรุ่นใหม่อาจจะมีหลักการลงทุนที่ดีและป้องกันความเสี่ยงมากกว่าคนรุ่นก่อน หรือก็อาจจะเป็นไปได้ว่าโบรกเกอร์เองก็มีการควบคุมการปล่อยมาร์จินเนื่องจากเคยมีบทเรียนจากสมัยวิกฤติ ทั้งหมดนั้นก็เป็นความคิดหรือความเชื่อของผม อย่างไรก็ตาม ลึก ๆ แล้วผมก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมคิดนั้นถูกต้อง เพราะการเก็งกำไรนั้นมันเป็นเรื่องของยีนของมนุษย์ ถ้ามีโอกาสคนก็ชอบที่จะทำ นอกจากนั้น ตัวเลขการซื้อขายหุ้นประจำวันของตลาดหุ้นไทยเองนั้นก็สูงลิ่วเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านทั้ง ๆ ที่ขนาดของตลาดหุ้นไทยเล็กกว่า ซึ่งก็เป็นเครื่องสะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยนั้นน่าจะมีอัตราการเก็งกำไรสูงแม้ว่าตัวเลขการใช้มาร์จินซื้อขายหุ้นจะไม่ได้บอก
นอกจากตัวเลขการซื้อขายหุ้นรายวันแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมมั่นใจว่าการเก็งกำไรของนักลงทุนส่วนบุคคลของไทยนั้นยังสูงมากก็คือการที่ได้เห็นความผันผวนของราคาหุ้นขนาดกลางและเล็กรวมถึงราคาหุ้นที่แพงลิ่วกว่าปกติมากโดยที่ค่า PE ของหุ้นเหล่านั้นสูงในระดับ 40-50 เท่าขึ้นไปในขณะที่หุ้นขนาดใหญ่นั้นความผันผวนกลับต่ำและหุ้นมีค่า PE ไม่สูงนักและมักจะไม่เกิน 20 เท่า และนั่นทำให้ผมมีทฤษฎีว่าตลาดหุ้นไทยได้แบ่งออกเป็น 2 ตลาดคู่กันนั่นคือตลาดของบริษัทกลางและเล็กกับตลาดหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่น่าจะครอบคลุมอย่างมากก็แค่ไม่เกิน 50 ตัว โดยที่นักลงทุนส่วนบุคคลชอบเล่นในตลาดหุ้นขนาดกลางและเล็กและเน้นการเก็งกำไรเป็นหลัก ส่วนหุ้นขนาดใหญ่นั้นเล่นโดยนักลงทุนสถาบันและต่างประเทศ
กลับมาประเด็นของเรื่องการเก็งกำไรของนักลงทุนส่วนบุคคล ในสภาวะที่ดัชนีหุ้นไม่ค่อยเคลื่อนไหวรุนแรงและตลาดหุ้นไซ้ต์เวย์มานาน การเก็งกำไรก็มักจะทำไม่ได้มากนักหรือ “ไม่สนุก” นอกจากนั้น ในช่วงที่ตลาดกำลังเป็น “ขาลง” นักเก็งกำไรก็ทำเงินไม่ได้ ผลก็คือ การเก็งกำไรก็มักจะค่อย ๆ หดหายไปเพราะตลาดหุ้นไม่มีเครื่องมือที่จะทำกำไรในหุ้นขาลง จริงอยู่ เราอาจจะสามารถชอร์ตหุ้นได้ แต่หุ้นที่จะชอร์ตนั้นก็มักจะต้องเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูงซึ่งหุ้นแบบนี้ก็มักจะมีความผันผวนน้อยซึ่งทำให้กำไรหรือขาดทุนในการซื้อขายนั้นช้าและน้อยเกินไปสำหรับนักเก็งกำไร
การกำเนิดขึ้นของตลาดล่วงหน้าหรือ TFEX ซึ่งเป็นตลาดอนุพันธ์นั้น เปลี่ยนภาพข้างต้นอย่างสิ้นเชิง การเก็งกำไรซึ่งเคยทำได้ยากและไม่สะดวกในบางสถานการณ์นั้น บัดนี้ทำได้อย่างสะดวกและก่อให้เกิดกำไร-และขาดทุนได้มหาศาลในเวลาอันสั้น เหตุผลก็เพราะมันสามารถ “ขยายผล” การลงทุนแบบมโหฬารในการที่จะซื้อขายหุ้นหรือตราสารการเงิน จากเดิมที่คนเล่นหุ้นด้วยมาร์จินและสามารถขยายผลขึ้นสูงสุด 1 เท่าตัวกลายเป็นสามารถขยายผลได้ 10 ถึงเกือบ 20 เท่าตัว เช่น ถ้าคุณซื้อหุ้นตัวหนึ่งจำนวน 20,000 หุ้นในราคาหุ้นละ 50 บาท ซึ่งถ้าคุณซื้อหุ้นโดยตรงคุณต้องใช้เงิน 1 ล้านบาท แต่คุณสามารถซื้อฟิวเจอร์ของหุ้นตัวนี้ด้วยเงินเพียง 1 แสนบาท ถ้าหุ้นตัวนี้เพิ่มขึ้นเพียง 2.5 บาทต่อหุ้นหรือเพิ่มขึ้นเพียง 5% คุณมี 20,000 หุ้นคุณก็ได้กำไร 5 หมื่นบาทหรือ 50% ทันทีที่คุณสั่งขาย และนี่ก็คือความสนุก “สุดเหวี่ยง” ของนักเก็งกำไรในยามที่หุ้นขึ้นตามที่เขาคิด
แน่นอนว่าถ้าเกิดหุ้นตกลงมา 2.5 บาทคุณก็จะขาดทุน 5 หมื่นบาทหรือ 50% ได้ในเวลาอันสั้นเช่นเดียวกัน และถ้าโชคร้ายคุณขายไม่ทันและหุ้นตกลงไป 5 บาทหรือ 10% ในวันเดียวอย่างที่เรามักจะเห็นในช่วงเร็ว ๆ นี้ เงิน 1 แสนบาทของคุณก็จะหายไปกลายเป็น 0 บาททันที และในกรณีแบบนี้คุณไม่มีสิทธิที่จะ “ไม่ขายไม่ขาดทุน” เพราะถ้าคุณไม่ขาย โบรกเกอร์ก็จะจัดการขายหรือ “ฟอร์ซเซล” แทนคุณ อย่างไรก็ตาม “นักเก็งกำไร” นั้น เวลาเริ่มต้นเขาก็มักจะคิดถึง “กำไร” มากกว่าที่จะคิดถึง “ขาดทุน” ชื่อเขาก็บอกอยู่แล้วว่าเก็ง “กำไร” ไม่มีคนเรียกตนเองว่า “นักเก็งขาดทุน”
แต่เดิมนั้น ตลาดฟิวเจอร์อาจจะมีการซื้อขายแค่ตัวดัชนีเช่น SET50 ซึ่งการผันผวนแต่ละวันมักจะไม่ค่อยจะเกิน 1-2% ถ้าขยายผลด้วย 10 เท่า ก็แปลว่ากำไรขาดทุนต่อวันก็มักจะอยู่ในระดับไม่เกิน 10-20% ซึ่งก็ถือว่ามากแต่ก็ยัง “ไม่มัน” นัก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การเก็งการเคลื่อนไหวของดัชนีก็เป็นเรื่องที่ยากมาก ข่าวว่าจะมีคนมา “ปั่นดัชนี” ก็เป็นไปไม่ได้ คนเล่นก็อาจจะไม่สนุกนัก ต่อมาก็มี “Single Stock Future” ซึ่งก็คือการซื้อฟิวเจอร์ของหุ้นแต่ละตัว และนี่ก็คือ “สุดยอดของการเก็งกำไร” เพราะคุณสามารถขยายกำไรเป็น 10 เท่า ในหุ้นที่คุณวิเคราะห์และ “มั่นใจ” ว่าจะต้องวิ่งเพราะเขาบอกว่ามันดีและจะมีสตอรี่และมี “จ้าว” หรือ “เซียน” หรือ “กองทุน” ทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาลงทุน หุ้นตัวนี้เพียงวันเดียวมันก็สามารถขึ้นไปได้ 10% อย่างง่าย ๆ และถ้าเป็นอย่างนั้น วันเดียวคุณได้กำไร 100% คุณหาหุ้นแบบนี้ปีหนึ่งซัก 5-6 ตัว ด้วยเงินเริ่มต้น 1 ล้านบาท ก็จะเป็น 2, 4, 8, 16, 32, 64 ล้านบาทในปีเดียว บางคนที่เก่งยิ่งกว่านั้นคือลงทุนในหุ้นเพียง 1 ถึง 2 ตัวและหุ้นตัวนั้นขึ้นไป 5 เท่า เงิน 1 ล้านบาทก็สามารถกลายเป็น 100 ล้านบาทได้ง่าย ๆ ดูไปแล้วนี่คือ “สวรรค์ชัด ๆ” ของนักเก็งกำไร นั่นคือ “รวยเป็นร้อยล้านบาทแต่ถ้าเจ๊งก็แค่ 1 ล้านบาท” ว่าแต่ว่าใครเป็นคนขาดทุน? เพราะในตลาดอนุพันธ์นั้น ถ้ามีคนกำไรก็ต้องมีคนขาดทุนเท่า ๆ กัน
เบื้องหลังของ Single Stock Future ก็คือ “Block Trade” เหตุผลเพราะคนหรือนักเก็งกำไรนั้นต่างก็อยาก “ซื้อ” ฟิวเจอร์เพราะมีโอกาสรวย 100 ล้านบาท แต่คนที่จะขายนั้นมีน้อยมาก เพราะถ้าได้ก็ได้แค่ 1 ล้านบาท แต่เวลาขาดทุนต้องจ่ายเป็น 100 ล้านบาท ดังนั้น โบรกเกอร์จึงต้องเข้ามา “ขาย” ฟิวเจอร์แทน แต่โบรกเกอร์นั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการเก็งกำไร เขาต้องการได้ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้น ดังนั้น เวลาเขาขายฟิวเจอร์หุ้นตัวนั้นไปแล้ว ในทางทฤษฎีก็คือ เขาจะต้อง “ส่งมอบ” หุ้นตัวนั้นให้ลูกค้าเมื่อถึงเวลาซึ่งอาจจะเป็นอีก 3 เดือนข้างหน้าตามราคาที่ได้ตกลงกันไว้ ดังนั้น เพื่อที่จะ “ปิดความเสี่ยง” เขาก็จะเอาเงินของตนเอง ซึ่งอาจจะมากเป็น 10 เท่าของเงินที่ได้จากลูกค้า ไปซื้อหุ้นตัวนั้นไว้ที่ราคาในวันนั้น ผลก็คือ ถ้าหุ้นขึ้นและลูกค้าต้องการ “ขายฟิวเจอร์” เพื่อ “ทำกำไร” โบรกเกอร์ก็สามารถสั่งขายหุ้นที่ตนเองถืออยู่และเอากำไรที่ได้มาจ่ายให้แก่ลูกค้า เช่นเดียวกัน ถ้าหุ้นลง และลูกค้าต้องการหรือถูกบังคับขาย โบรกเกอร์ก็ขายหุ้นตัวนั้นและมีขาดทุนแต่ก็สามารถนำเงินค่าซื้อฟิวเจอร์ของลูกค้าที่วางมัดจำไว้มาชดเชย ผลก็คือ โบรกเกอร์ไม่ได้กำไรหรือขาดทุนจากการซื้อ-ขายฟิวเจอร์ แต่จะได้รายได้จากค่าคอมมิชชั่นและดอกเบี้ยที่จะคิดจากลูกค้าเนื่องจากต้องเอาเงินมาซื้อหุ้นเก็บไว้ และนี่ก็คือหลักการของบล็อกเทรด
ปริมาณการซื้อขายหุ้นของโบรกเกอร์ที่นำไปทำบล็อกเทรดนั้นน่าจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ และเข้ามาแทนที่การปล่อยมาร์จินไม่น้อย การสั่งซื้อขายหุ้นปริมาณมหาศาลอันเนื่องมาจากบล็อกเทรดนั้นผมคิดว่ามีผลต่อหุ้นหลายตัวโดยเฉพาะที่เป็นหุ้นเก็งกำไรสูงที่เคยปรับตัวขึ้นไปหลาย ๆ เท่าในเวลาอันสั้นและก็ตกลงมาหลายสิบเปอร์เซ็นต์บางทีในวันเดียว บล็อกเทรดน่าจะสร้างเศรษฐีและเซียนหุ้นไปหลาย ๆ คนเช่นเดียวกับที่มันทำให้คนจำนวนมากเจ๊งไปด้วยจำนวนเงินเท่า ๆ กัน ถ้าจะอ้างอิงคำพูดของวอเร็น บัฟเฟตต์แล้ว นี่คือ Weapon of Mass Destruction หรืออาวุธทำลายล้างแรงสูง สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่อิงผลสำเร็จของการลงทุนกับผลประกอบการของบริษัทในระยะยาวแล้ว เครื่องมือแบบนี้คือสิ่งที่เราต้องหลีกเลี่ยง ในอดีตนั้น แค่ว่าจะใช้มาร์จิน 50% ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับธุรกรรมบล็อกเทรดแล้ว นี่คงคล้าย ๆ กับการเข้าไปเล่นในคาสิโนที่เงินอาจจะได้มาเร็วมากหรือไม่ก็เสียหายหมดตัวภายในเวลาอันสั้น มาร์จินนั้น ในอดีตเคยเป็นตัวที่ก่อให้เกิดวิกฤติตลาดหุ้นในหลายประเทศซึ่งน่าจะรวมถึงตลาดหุ้นไทย แต่ในอนาคตหรือแม้แต่ปัจจุบันผมก็คิดว่ามันได้ก่อให้เกิดวิกฤติในหุ้นบางตัวไปเรียบร้อยแล้ว ผมก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เป็นตัวที่ทำให้เกิดวิกฤติกับโบรกเกอร์หรือตลาดโดยรวมในอนาคตแม้ว่าคนที่ทำจะบอกว่ามีเกณฑ์ในการเลือกหุ้นที่จะทำอย่างรัดกุม