คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
คุณชาติชายครับ
ต้องยอมรับว่าคุณชาติชายยอดเยี่ยมมากที่จับผิดได้ ถูกแล้วครับ จริงๆต้องใช้ Free Cash Flow เป็นตัวหาร Debt ถึงจะถูกต้องที่สุด แต่ที่ผมให้ดูโดยใช้ Earning เป็นตัวหารเพราะดูง่ายเป็นการใช้อย่างง่ายๆดูอย่างรวดเร็ว สำหรับมือใหม่นะครับ แล้วข้อมูลใน Company Handbook ก็ไม่ได้แสดง Free Cash Flow ให้ดูด้วยครับต้องคำนวณจาก Cashflow Statement ที่ไม่ได้แสดง
การหา Discount Free Cashflow จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่ายเพราะหลักการไม่ได้ซับซ้อนอะไร แต่ตัวแปรต่างๆจะทำให้การหามูลค่าผิดกันยังกับฟ้ากับดิน เช่น การใช้ Discount Rate ที่ 10% และ 15% ก็ให้ตัวเลขกิจการที่ต่างกันมากเป็นเท่าตัวทีเดียว
ผมว่าคุณชาติชายมีความรู้ขนาดนี้ ต้องเปิด Course สอนเรื่อง Valuation เป็นวิทยาทานแก่น้องๆ แล้วละครับ
อยากถามเพื่อนๆว่ามีใครร่อนตระแกรงแล้วเจอธุรกิจที่เข้าตาหรือยังครับ (ขอให้ลืมราคาหุ้นชั่วคราว เรานักลงทุนคุณค่าควรสนใจธุรกิจมากกว่าราคาหุ้นครับ) โพสมาคุยกันหน่อย
ต้องยอมรับว่าคุณชาติชายยอดเยี่ยมมากที่จับผิดได้ ถูกแล้วครับ จริงๆต้องใช้ Free Cash Flow เป็นตัวหาร Debt ถึงจะถูกต้องที่สุด แต่ที่ผมให้ดูโดยใช้ Earning เป็นตัวหารเพราะดูง่ายเป็นการใช้อย่างง่ายๆดูอย่างรวดเร็ว สำหรับมือใหม่นะครับ แล้วข้อมูลใน Company Handbook ก็ไม่ได้แสดง Free Cash Flow ให้ดูด้วยครับต้องคำนวณจาก Cashflow Statement ที่ไม่ได้แสดง
การหา Discount Free Cashflow จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่ายเพราะหลักการไม่ได้ซับซ้อนอะไร แต่ตัวแปรต่างๆจะทำให้การหามูลค่าผิดกันยังกับฟ้ากับดิน เช่น การใช้ Discount Rate ที่ 10% และ 15% ก็ให้ตัวเลขกิจการที่ต่างกันมากเป็นเท่าตัวทีเดียว
ผมว่าคุณชาติชายมีความรู้ขนาดนี้ ต้องเปิด Course สอนเรื่อง Valuation เป็นวิทยาทานแก่น้องๆ แล้วละครับ
อยากถามเพื่อนๆว่ามีใครร่อนตระแกรงแล้วเจอธุรกิจที่เข้าตาหรือยังครับ (ขอให้ลืมราคาหุ้นชั่วคราว เรานักลงทุนคุณค่าควรสนใจธุรกิจมากกว่าราคาหุ้นครับ) โพสมาคุยกันหน่อย
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
สงสัยที่เขียนไปอาจจะโดนใจคนส่วนใหญ่เลยไม่มีใครโพสตอบผมเลย แต่จะรอความคิดเห็นดีๆ เกี่ยวกับการลงทุนแนวคุณค่าครับ
คุณธันวาครับ เจอหุ้นคู่ชีวิตหรือยังครับ
คุณธันวาครับ เจอหุ้นคู่ชีวิตหรือยังครับ
รบกวนถามพี่วิบูลย์ หรือท่านอื่นๆ ครับ
คือขณะนี้ผมมีหุ้นบริษัท IT (ซื้อมาได้ 3 วัน)
จึงอยากทราบว่า สามารถถือลงทุนนานๆ ได้หรือไม่ครับ (ปลอดภัยหรือไม่)
เพราะที่ผ่านมา ผมซื้อ แล้วก็ขาย ภายในเวลาไม่กี่วัน (ยกเว้น KTB อยู่ในมือนาน 9 เดือน เป็นหุ้นบริษัทแรกที่ซื้อ) ตอนนี้รู้สึกว่า การลงทุนแบบนี้ น่าเบื่อมากครับ
ขอคำแนะนำประเมินบริษัทนี้ด้วยครับ
คือขณะนี้ผมมีหุ้นบริษัท IT (ซื้อมาได้ 3 วัน)
จึงอยากทราบว่า สามารถถือลงทุนนานๆ ได้หรือไม่ครับ (ปลอดภัยหรือไม่)
เพราะที่ผ่านมา ผมซื้อ แล้วก็ขาย ภายในเวลาไม่กี่วัน (ยกเว้น KTB อยู่ในมือนาน 9 เดือน เป็นหุ้นบริษัทแรกที่ซื้อ) ตอนนี้รู้สึกว่า การลงทุนแบบนี้ น่าเบื่อมากครับ
ขอคำแนะนำประเมินบริษัทนี้ด้วยครับ
ขอบคุณมากครับสำหรับเวลาและพลังความรู้ความคิดอันมีค่าของคุณ VIB007 ที่ใช้ไปสำหรับการตอบข้อสงสับของผม เป็นแก่นสาระที่ดีมากครับ .....เป็นการตอกย้ำหลักการของจอมยุทธด้าน qualitative analysis, ....Philip Fisher ที่ได้ให้แก่นของหลักการไว้อย่างยอดเยี่ยม
บางกอกโพสต์ฉบับเมื่อวาน (4 ก.ย. 46)ส่วนของ Business ก็ลงเกี่ยวกับเรื่องของ BH เป็นการทำการตลาดและการโปรโมชั่นที่ดี โดยให้บริการตรวจสุขภาพฟรีแก่ผู้เข้าร่วมประชุม APEC ดูเข้าท่าดี
จากข้อมูลหยายๆเหล่านี้ก็ถือได้ว่าเข้าข่ายมาตรฐานเกือบครบ 15 ข้อของ Philip Fisher ท่านแล้วนา จึงเป็นเหตุให้ผมสนใจในกิจการของ รพ.แห่งนี้ครับ แต่ว่าคงต้องทำ Scuttlebutt เพิ้มเติมอย่างที่บอกนั่นแหละครับ
เห็นอาจารย์ Warren Buffet เล่าให้ฟังว่ามือบริหารกองทุนรวมทั้งหลาย น่ะ ไม่แน่จริงหรอก เพราะพวกเล่นกว้านซื้อกิจการต่างๆยาวเป็นหางว่าวหลายๆสิบกิจการมาไว้ในในพอร์ต แล้วบอกว่าตัวเองบริหารพอร์ต โดยซึอมาขายไปตามความรู้ (สึก?) เหมือนกลุ่ม Financial Community ...นี่ก็เท่ากับเป็นการยอมรับโดยดุษฎี ...ว่าตัวท่านผู้บริหารกองทุนทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้รู้จริงในกิจการต่างๆทุกกิจการที่ลงทุนไว้ในพอร์ตแต่อย่างใด แต่กลับใช้วิธีกระจาบความเสี่ยงลูกเดียว ซึ่งกระจายมากๆๆๆเกินไปจนโอกาสจะได้รับผลตอมแทนจากกิจการที่ Outstanding จริงๆลดลงไป - ละลายความรวยลงไป - (ไม่เชื่อลองไปเปิดดู list ของกิจการในพอร์ตกองทุนรวมต่างๆดูก็ได้นะครับ) โดยที่ตัวเองไม่ได้ศึกษากิจการต่างๆโดยละเอียดเป็นรายตัวตามแนวของอาจารย์ Warren Buffet แต่อย่างใด แสดงว่าไม่แน่จริงอย่างอาจารย์บอกนั่นแหละ ผมว่าแนะลงทุนอย่างอื่นเถอะคุณ VIB007 เว้นๆแนะนำการลงทุนกองทุนรวมไว้ข้อหนึ่งเถอะครับ เดี่ยวอาจารย์ Warren Buffet ทราบภายหลัง ท่านจะทำตาเขียวดุลูกศิาย์เอานา ......จะบอกให้ ฮึๆ
ผมเองก็เพิ่งศึกษาเรื่องหุ้นเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมานี้เองครับ โดยพยายามตะลุยอ่านหนังสือของ Ben Graham , Warren Buffet และ Philip Fisher เท่าที่จะหามาได้ ทั้งนี้ก็ได้หนังสือ เซียนหุ้นพันธุ์แท้ ของ ดร.นิเวศน์ เป็นตัวชี้นำ เพราะเวลาว่างมากเมื่ออ่านของ ดร.จบ เห็นว่ายังไม่จุใจ ก็เลยพยายามควานหาต้นตำรับตามที่ ดร. ท่านอ้างอิงถึง จึงทำให้ตาสว่างพบว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ยังมีแนวอื่นที่ไม่ใช้การพนัน .... แต่เดิมเพราะความไม่รู้จึงทำให้คิดว่าการเล่นหุ้นเป็นการพนันล้วนๆ เลยทำให้ไม่ใส่ใจเพราะโดยนิสัยส่วนตัวไม่เล่นการพนัน อย่างไงๆก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปเหมาเอาว่าไม่ทำการบ้านๆ แล้วแนะให้ไปซื้อกองทุนรวมก็แล้วกันนะครับ
ตั้งแต่นี้ต่อไปผมต้องกลายเป็นคนบ้าหุ้น ศึกษาหาความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติเท่าที่จะทำได้ หวังจะลองพิสูจน์หลักการของ Ben Graham
Warren Buffet และ Philip Fisher ว่าเป็นจริงได้ไหมในเมืองไทยเรา คุณ VIB007 เอง ผมก็ขอให้เป็นเสาหลักที่ TVI หน่อยนะครับ จะได้เป็นกุนซือให้ผู้ที่สนใจการลงทุนแบบ VI ขอบคุณอีกครั้งครับ ด้วยความจริงใจ
นี่เท่ากับว่าผมได้ลองฝึกทำ Scuttlebutt (โทษทีครั้งก่อนสกดคำผิดเป็น Scutterbut .....เกรงว่าผู้สนใจเปิดพจนานุกรมหาความหมายจะสับสน ผมเองก็สับสนอยู่พักเพราะหาจากคำสกดไม่ถูก) จากลูกค้าตัวจริงของ รพ.นี้แล้วล่ะครับ เท่าที่ผมรับทราบมาจากคนที่เคยทำงานเป็นพนักงาน(วิศวกรไฟฟ้า)ใน รพ.ดังกล่าวเขาบอกว่าบริการที่นี่ดีเยี่ยมมากถึงขั้นว่าคนไข้นอกหากเบื่อเสียเวลารอรับยาและจ่ายเงิน ทาง รพ.มีบริการจัดส่งให้ถึงบ้าน อันนี้ไม่ทราบว่าเป็นบริการเสริมจริงหรือเปล่า ผมอาจได้ข้อมูลมาผิด แต่เขายืนยันอย่างนั้นจิรงๆ เอ.....เรื่องที่จอดรถนี่เห็นเขาก็ลงทุนเพิ่มไปแล้วเมื่อเร็วๆนี้เองนะครับ มากโขเลยทีเดียว จะว่าเห็นที่ลูกค้าต้องการอะไร เขาตอบสนองความต้องการต่อลูกค้าดีมาก เท่ากับเน้นเอาใจลูกค้า และในส่วนของหลังฉากเท่าที่ฟังจากอดีตพนักงานคนดังกล่าว เขาเล่าให้ฟังทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าอุปกรณ์เครื่องมือสำหรับตรวจเช็คคนไข้ทุกชิ้น ต้องเตรียมพร้อมใช้งานได้เสมอ เพราะเวลาของหมอแต่ละท่านมีค่ามาก จะมาเสียเวลากับขัดข้องของเครื่องมือตรวจเช็คไม่ได้เด็ดขาด หรือจะทำให้เกิดการผิดพลาดของการวินิจฉัยอันเกกิดจากคความผิดพลาดของอุปกรณ์เครื่องมือไม่ได้เช่นกัน บ่งถึงประสิทธิภาพการปฏิบัติงานที่ดีของเขา ประกอบกับข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริหารชาวอเมริกันที่เคยอ่านพบในหนังสือพิมพ์ตามที่บอกไว้ในกระทู้ก่อน พิจารณาดูดูคร่าวๆแล้วเห็นว่าเขาเป็นมืออาชีพด้านการบริหาร รพ. จริงๆ อีกทั้งเขายังมีโครงการแบบ turn key ในนามของ BH รับบริการบริหาร รพ.อื่นในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ที่ยังงงๆคือเรื่องชื่อผู้บริหารที่เป็นชาวอเมริกันไม่ปรากฏอยู่ในทีมบริหารเลย(ต่างจากที่เคยลงในหนังสือพิมพ์)VIB007 เขียน: ".....เสียแต่รอจ่ายเงินนานไปหน่อย และที่จอดรถไม่เพียงพอ"
บางกอกโพสต์ฉบับเมื่อวาน (4 ก.ย. 46)ส่วนของ Business ก็ลงเกี่ยวกับเรื่องของ BH เป็นการทำการตลาดและการโปรโมชั่นที่ดี โดยให้บริการตรวจสุขภาพฟรีแก่ผู้เข้าร่วมประชุม APEC ดูเข้าท่าดี
จากข้อมูลหยายๆเหล่านี้ก็ถือได้ว่าเข้าข่ายมาตรฐานเกือบครบ 15 ข้อของ Philip Fisher ท่านแล้วนา จึงเป็นเหตุให้ผมสนใจในกิจการของ รพ.แห่งนี้ครับ แต่ว่าคงต้องทำ Scuttlebutt เพิ้มเติมอย่างที่บอกนั่นแหละครับ
ขอบคุณสำหรับข้อชี้แนะในส่วนของ บัญชี งบดุล กำไรขาดทุนที่คุณ VIB007 นำเสนอมา บอกตรงๆว่าผมเองไม่มีพื้นฐานเลยในเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่ก็รักและขมักเขม้นที่จะเรียนรู้จากตำราเท่าที่หาได้และจากท่านกุนซือทั้งหลายใน TVI แห่งนี้ และที่พลาดไม่ได้ก็คือคุณ VIB007 นี่แหละครับ หากจะกรุณา และเท่าที่าทราบ รพ.นี้กู้ยืมเงินต่างประเทศมาลงทุนในระยะแรกเลยทำให้ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงลดค่าเงินบาทครั้งล่าสุด เกิดเป็นการขาดทุนสะสมดังกล่าว ยังไงผมจะพยายามศึกษาเรื่องงบดุล กำไรขาดทุนและตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวของกิจการ รพ.นี้โดยละเอียดก่อนตัดสินใจครับVIB007 เขียน:"....ครึ่งปีแรกมีกำไร 300 ล้านบาท จากยอดขาย 2,000 ล้านบาท คิดเป็นมาร์จิน 15% คิดเป็น Return on Equity ทั้งปี 68% แต่บริษัทมีหนี้สินระยะยาวอยู่อีก 2,458 ล้านบาท ดังนั้นใช้ ROE อย่างเดียวคงไม่เหมาะสม ต้องใช้ ROTC (Return on Total Capital) ซึ่งเท่ากับ 18% คุณพีพีสนใจบริษัทนี้มั๊ยครับที่ผู้บริหารจัดการเงินลงทุนของคุณพีพีได้ผลตอบแทน 18% แต่เดี๋ยวก่อน บริษัทนี้ยังมีขาดทุนสะสมอยู่อีก 2,284 ล้านบาท คงใช้เวลาอีกประมาณ 3-4 ปีถึงจะล้างขาดทุนสะสมหมด และถึงจะจ่ายปันผลได้ คุณพีพีรอได้ไหมครับ (ผมว่านักเก็งกำไรคงรอไม่ไหว)"
เอ อาจารย์ Warren Buffet ท่านไม่ได้แนะนำให้เราลงทุนใน กองทุนรวม นะครับคุณ VIB007 และผมเองด้วยความไม่รู้เคยตื่นไปกับฝูงชนร่วมขบวนการลงทุนซื้อกองรวมทุนเมื่อ7-8 ปีก่อนตามคำแนะนำของคนรู้จัก เพื่อนที่เป็นพนักงานในธนาคาร และญาติที่ทำงานในบริษัทหลักทรัพย์ แล้วผลสรุปคือขาดทุนเรียบร้อยเหลือทุนกลับมา 20-30% (ความไม่รู้ คือ ความเสี่ยง ยอมรับข้อนี้จริงๆครับ ผมพลาดไปแล้ว แต่ก็เป็นบทเรียนที่ต้องจดจำ) ....กองทุนวายุภักVIB007 เขียน:"......ไม่งั้นผมก็แนะนำเหมือนเดิมคือไปซื้อกองทุนดีกว่า"
เห็นอาจารย์ Warren Buffet เล่าให้ฟังว่ามือบริหารกองทุนรวมทั้งหลาย น่ะ ไม่แน่จริงหรอก เพราะพวกเล่นกว้านซื้อกิจการต่างๆยาวเป็นหางว่าวหลายๆสิบกิจการมาไว้ในในพอร์ต แล้วบอกว่าตัวเองบริหารพอร์ต โดยซึอมาขายไปตามความรู้ (สึก?) เหมือนกลุ่ม Financial Community ...นี่ก็เท่ากับเป็นการยอมรับโดยดุษฎี ...ว่าตัวท่านผู้บริหารกองทุนทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้รู้จริงในกิจการต่างๆทุกกิจการที่ลงทุนไว้ในพอร์ตแต่อย่างใด แต่กลับใช้วิธีกระจาบความเสี่ยงลูกเดียว ซึ่งกระจายมากๆๆๆเกินไปจนโอกาสจะได้รับผลตอมแทนจากกิจการที่ Outstanding จริงๆลดลงไป - ละลายความรวยลงไป - (ไม่เชื่อลองไปเปิดดู list ของกิจการในพอร์ตกองทุนรวมต่างๆดูก็ได้นะครับ) โดยที่ตัวเองไม่ได้ศึกษากิจการต่างๆโดยละเอียดเป็นรายตัวตามแนวของอาจารย์ Warren Buffet แต่อย่างใด แสดงว่าไม่แน่จริงอย่างอาจารย์บอกนั่นแหละ ผมว่าแนะลงทุนอย่างอื่นเถอะคุณ VIB007 เว้นๆแนะนำการลงทุนกองทุนรวมไว้ข้อหนึ่งเถอะครับ เดี่ยวอาจารย์ Warren Buffet ทราบภายหลัง ท่านจะทำตาเขียวดุลูกศิาย์เอานา ......จะบอกให้ ฮึๆ
ผมเองก็เพิ่งศึกษาเรื่องหุ้นเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมานี้เองครับ โดยพยายามตะลุยอ่านหนังสือของ Ben Graham , Warren Buffet และ Philip Fisher เท่าที่จะหามาได้ ทั้งนี้ก็ได้หนังสือ เซียนหุ้นพันธุ์แท้ ของ ดร.นิเวศน์ เป็นตัวชี้นำ เพราะเวลาว่างมากเมื่ออ่านของ ดร.จบ เห็นว่ายังไม่จุใจ ก็เลยพยายามควานหาต้นตำรับตามที่ ดร. ท่านอ้างอิงถึง จึงทำให้ตาสว่างพบว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ยังมีแนวอื่นที่ไม่ใช้การพนัน .... แต่เดิมเพราะความไม่รู้จึงทำให้คิดว่าการเล่นหุ้นเป็นการพนันล้วนๆ เลยทำให้ไม่ใส่ใจเพราะโดยนิสัยส่วนตัวไม่เล่นการพนัน อย่างไงๆก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปเหมาเอาว่าไม่ทำการบ้านๆ แล้วแนะให้ไปซื้อกองทุนรวมก็แล้วกันนะครับ
ตั้งแต่นี้ต่อไปผมต้องกลายเป็นคนบ้าหุ้น ศึกษาหาความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติเท่าที่จะทำได้ หวังจะลองพิสูจน์หลักการของ Ben Graham
Warren Buffet และ Philip Fisher ว่าเป็นจริงได้ไหมในเมืองไทยเรา คุณ VIB007 เอง ผมก็ขอให้เป็นเสาหลักที่ TVI หน่อยนะครับ จะได้เป็นกุนซือให้ผู้ที่สนใจการลงทุนแบบ VI ขอบคุณอีกครั้งครับ ด้วยความจริงใจ
คุณ CK ครับ ในส่วนของ Guru ของ TVI เองก็มีเรื่องย่อของ ฟีชเชอร์ (Philip A. Fisher) หากจะให้จุใจขึ้นอีกนิดก็ต้องหาอ่าน Common Stocks and Uncommon Profits ครับCK เขียน:".....ส่วนฟีชเชอร์ไม่รู้จักครับ"
อ่านแล้วครับ The new buffetology ของ Mary buffet
และยังไม่เห็นข้อผิดพลาด เพราะไม่ได้อ่านเล่มอื่น และไม่ได้เปรียบเทียบกับเล่มอื่นครับ
และเมื่อลองใช้ดูก็สบายใจดี หลับสบาย
ก็เลยอยากถามวิบูลย์ว่ามีข้อผิดพลาดตรงไหนครับ
ถามจริงๆ เพราะเท่าทีพี่อ่านดู Mary ก็มีเหตุผล ที่สมเหตุสมผลจริงๆ นะครับ
1. การมุ่งเน้นในการเลือกหุ้นที่เป็น durable comepetitive advantage ก่อน
2. durable competitive advantage ตัวไหน ที่น่าซื้อ
3. เหตุการณ์อะไร ที่ทำให้ราคาลงมาอยู่ในจุดที่น่าตัดสินใจซื้อ
4. จะขายเมื่อไร
Mary ก็บอกไว้หมด เหมือนกัน
และยังไม่เห็นข้อผิดพลาด เพราะไม่ได้อ่านเล่มอื่น และไม่ได้เปรียบเทียบกับเล่มอื่นครับ
และเมื่อลองใช้ดูก็สบายใจดี หลับสบาย
ก็เลยอยากถามวิบูลย์ว่ามีข้อผิดพลาดตรงไหนครับ
ถามจริงๆ เพราะเท่าทีพี่อ่านดู Mary ก็มีเหตุผล ที่สมเหตุสมผลจริงๆ นะครับ
1. การมุ่งเน้นในการเลือกหุ้นที่เป็น durable comepetitive advantage ก่อน
2. durable competitive advantage ตัวไหน ที่น่าซื้อ
3. เหตุการณ์อะไร ที่ทำให้ราคาลงมาอยู่ในจุดที่น่าตัดสินใจซื้อ
4. จะขายเมื่อไร
Mary ก็บอกไว้หมด เหมือนกัน
ส่วนเรื่องที่ถามมาเรื่องหนังสือ ผมจะทำรายการแนะนำหนังสือใน TVI Meeting ในวันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน นี้ด้วยครับ สนใจอย่าพลาด สำรองที่นั่งได้ที่คุณ Genie ครับ บัตรราคา 400 บาทเป็นค่าห้องและค่าอาหารกลางวันครับ ที่โรงแรมกานมณี (อยู่ไหนผมก็ไม่รู้)
ผมว่าบัตรราคานี้ไม่แพงครับ สำหรับความรู้และประสบการณ์ของรุ่นพี่ (ที่เสียค่าโง่มาหลายแล้วในตลาด) ดีกว่าไปลองผิดลองถูกเองเสียหายหลายแสนครับ อ้อ ขอออกตัวก่อนว่าเขาจับผมไปเป็นวิทยากรก่อนที่จะได้รับอนุญาตจากผมครับ (แถมไม่จ่ายค่าตัวด้วย) แต่รู้ว่าเขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอกครับ
พบกันวันงานนะครับ
ผมว่าบัตรราคานี้ไม่แพงครับ สำหรับความรู้และประสบการณ์ของรุ่นพี่ (ที่เสียค่าโง่มาหลายแล้วในตลาด) ดีกว่าไปลองผิดลองถูกเองเสียหายหลายแสนครับ อ้อ ขอออกตัวก่อนว่าเขาจับผมไปเป็นวิทยากรก่อนที่จะได้รับอนุญาตจากผมครับ (แถมไม่จ่ายค่าตัวด้วย) แต่รู้ว่าเขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอกครับ
พบกันวันงานนะครับ
พอดีคุณ think_pos เขียนใน pantip น่าจะเข้ากันกับที่คุณจอมรู้สึกอยู่จอม เขียน:ผมหงุดหงิดเวลาเห็นหุ้นผมราคาวิ่งขึ้นครับ
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 45830.html
ก็คงต้องยอมรับสภาพล่ะครับ ตลาดเป็นหมีไปตลอดไม่ได้
และมันคงเป็นกระทิงไปไม่เลิกก็ไม่ได้เช่นกัน
ช่วงนี้คนหาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐานคงเหนื่อยมากกว่าเดิมและได้ผลที่น่าพอใจน้อยกว่าเดิม แต่มีเท่านี้ก็เอาเท่านี้ก่อนไว้คอยรอบใหม่ครับ อย่างที่เขาพูดกันว่า 'ไม่มีใครเอาชนะตลาดได้'
คุณวิบูลย์ครับผมตั้งตารอฟังคำเฉลยเรื่องนี้มาตั้งแต่วันที่คุณบอกบอกนั่นแหละ แต่เอยังไม่เห็นเฉลยเลยนะครับ ได้โปรดอย่าลืมก็แล้วกัน ว่าถือหุ้นเกรดเออย่างเดียวมันทำร้ายคุณตรงไหน อย่างไร เมื่อไหร่ เท่าใด ??VIB007 เขียน:"........อ้อ คุณธันวา ลืมบอกไปว่าผมถือหุ้นเกรดเออย่างเดียวครับ หุ้นเกรดอื่นผมไม่ถือให้เปลืองพลังงานในการติดตามความคืบหน้าของบริษัทครับ พรุ่งนี้ผมจะมาบอกว่าการถือหุ้นเกรดเออย่างเดียวนี้มันทำร้ายผมอย่างไรบ้าง"
ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีๆที่คุณวิบูลย์ให้มาครับ
พี่ครรชิต ไพศาลมาแล้วครับ ต้องขอบพระคุณท่านพี่ๆทั้งหลายมากเลยครับที่ช่วยกันแสดงความเห็นในกระทู้นี้เพื่อให้น้องๆได้อ่านสิ่งดีๆเป็นประโยชน์ในการลงทุนครับ
สำหรับเพื่อนๆที่ยังไม่ได้อ่านคำตอบของผมถึงคุณพี่ปรัชญา ผมขออนุณาตคัดลอกลงมาเพื่ออ่านกันก่อนนะครับ คือพี่ปรัชญาถามผมว่าแกซื้อ Warrant ของบริษัทหนึ่งอยู่แล้วให้ผมช่วยดูให้หน่อยว่าเป็นอย่างไร (ที่ผมไม่ตอบแกจนแกงอนไงครับ สุดท้ายผมทนใจดำไม่ไหวเลยตอบไปเมื่อวันก่อน)
คำถามมีดังนี้
----------------------------------------------------------------------------
โพสต์เมื่อ: Sat Sep 06, 2003 11:32 am หัวข้อ: คุณวิบูลย์ครับ
ช่วยวิเคราะห์บริษัท ......... ให้หน่อยครับ
ว่าธุรกิจนี้มีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง
หนี้สินเขาจะชำระหมดใช้เวลา1-3ปีหรือเปล่า
เผอิญผมกำลังสับสนว่า...ได้ซื้อWของเขาไว้เยอะ
จะได้รับข้อคิดความเห็นของคุณวิบูลย์
มาประกอบการตัดสินใจว่า จะแปลงเป็นหุ้นแม่ดีหรือเปล่า
หุ้นตัวนี้ซื้อเพราะรสนิยมครับ
ไม่ได้ตั้งใจซื้อเพราะปัจจัยพื้นฐานเลยครับ
ขอบคุณ ล่วงหน้าครับ
------------------------------------------------------------------------
ผมตอบกระทู้นั้นอย่างนี้ครับ
------------------------------------------------------------------------
โพสต์เมื่อ: Sun Sep 07, 2003 8:00 pm หัวข้อ:
พี่ปรัชญาครับ
ไม่ต้องน้อยใจครับ ผมตอบให้คร่าวๆแล้วกันครับ ปกติผมจะไม่ตอบกระทู้อื่นแค่วันนี้มีเวลามากหน่อย
ผมมีความรู้สึกไม่ดีกับ Warrant ครับในความเห็นของผม บริษัทที่ออก (แจก) Warrant มักจะทำไปเพื่อให้ราคาหุ้นสูงขึ้นครับ มากกว่าที่จะรักษาประโยชน์ของผู้ถือหุ้นระยะยาว เพราะเมื่อ Warrant convert มาเป็นหุ้นสามัญก็จะทำให้มีจำนวนหุ้นสามัญมากขึ้น ทำให้กำไรต่อหุ้นลดลง และ เกิด Dilution Effect กับผู้ถือหุ้นเดิมครับ
ผมจึงหลีกเลี่ยงที่จะลงทุนในบริษัทที่มี Warrant ครับ เพราะผมไม่อยากยุ่งยากคำนวณมูลค่าของบริษัทที่จะต้องนำ Warrant มาคำนวณด้วย มันยุ่งยากเกินไปครับ ผมเป็นคนขี้เกียจชอบทำอะไรง่ายๆครับ เลยเลิกยุ่งกับWarrant
ในกรณี บริษัท........... ผมไม่ค่อยรู้เรื่องบริษัทนี้ครับ รู้แต่ว่าเพิ่งเริ่มกำไรหลังจากขาดทุนมาหลายปี เป็นเจ้าของนสพ .......... ขวัญใจคนบ้าบอล มีหนี้สินพอสมควร รู้สึกจะมีการจ่ายปันผลไปตอนครึ่งปีเร็วๆนี้
สำหรับผม บริษัทนี้ไม่ผ่านคาถาข้อสองของผมครับ ผมถือว่าการออก Warrant ไม่เป็นการคิดถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นระยะยาว ผมไม่โหวตผ่านให้ผู้บริหารครับ ถึงแม้ฐานะทางการเงินจะดีแค่ไหนก็ตาม
-------------------------------------------------------------------------------------
ผมขอตัดข้อความบางส่วนออกเพื่อความเหมาะสมนะครับ
ที่คุณพี่ CK ถามเรื่องการซื้อหุ้นคืนนั้น อาจารย์ Buffet ของผมกระซิบบอกมาว่ามันเป็นคนละเรื่องกับการออก Warrant ชนิดหน้ามือกับหลังเท้าเลยครับ
การออก Warrant นั้น ในระยะยาวจะทำให้มีจำนวนหุ้นสามัญมากขึ้นหลังจากมีการ Convert ของ Warrant ครับ
สมมุติว่าให้ทุกอย่างคงที่ ทั้งยอดขาย, กำไร, และ P/E การที่จำนวนหุ้นสามัญมากขึ้นก็จะทำให้กำไรต่อหุ้นลดลง ในขณะที่ P/E คงที่ก็จะทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทนี้ลดลงครับ หมายความว่าราคาหุ้นที่เราซื้อมาก็จะลดลง
ชอบกันมั๊ยครับ ราคาหุ้นที่ซื้อมาลดลงลงไปเรื่อยๆ สนุกดีนะครับ ตอนที่ผมยังเป็น VI โง่ๆอยู่เคยซื้อหุ้นบริษัทหนึ่งตามเพื่อนครับ เห็นเขาบอกว่าปันผลดีทุกไตรมาศ ด้วยความโลภ อยากได้ปันผลเยอะๆ เลยซื้อตามเข้าไปโดยไม่รู้มาก่อนว่ามี Warrant ที่ออกมาก่อนหน้านั้นอยู่ด้วย และด้วยความโชคดีของผมครับ มันถึงระยะเวลาใช้สิทธิแปลง Warrant ได้พอดี คนก็แปลง Warrant เป็นหุ้นสามัญแล้วก็ขายทิ้งได้กำไรสองต่อ ผมก็ได้แต่นั่งมองราคาหุ้นลดลงทุกวันๆ โบรกเกอร์ของผมโทรมาบอกว่าไม่เป็นไร ใจเย็นๆ บริษัทนี้ปันผลทุกไตรมาศไม่ต้องห่วง ผมเป็นเด็กหัวอ่อนครับเลยทำตามคำแนะนำของโบรกที่แสนดีของผมด้วยการนั่งมองราคาหุ้นที่ผมถืออยู่ลดลงทุกวันๆตามเดิม (สนุกมากครับ ใครไม่เคยลองขอบอก มันเยี่ยมอย่าบอกใคร) สุดท้ายผมทนไม่ไหว หาหนังสือเกี่ยวกับ Warrant มาอ่านครับ จึงพบว่าการออก Warrant เป็นการทำลาย Shareholder Value ที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งนอกเหนือจากการเพิ่มทุนจดทะเบียน
ผมเลยตัดสินใจขายหุ้นบริษัทนั้นทิ้งทั้งหมดทันที ขาดทุนไป 20% ครับเป็นค่าโง่ที่แพงที่สุดที่ผมเคยจ่าย เลยจำไว้เป็นบทเรียนครับ
ส่วนการซื้อหุ้นคืนนั้น ในระยะยาวจะทำให้จำนวนหุ้นสามัญลดลงครับ ถ้าสมมุติฐานของเราเหมือนเดิม คือ ยอดขาย กำไร และ P/E เท่าเดิม บริษัทนี้ก็จะมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นครับ เพราะกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นด้วยยอดขายเท่าเดิม นั้นคือราคาหุ้นสูงขึ้น แต่มีข้อแม้ครับว่าบริษัทที่จะสามารถซื้อหุ้นคืนได้นั้นต้องมีเงินสดจำนวนมาก มากเกินกว่าที่จะนำไปลงทุนหรือทำอะไรอื่นๆให้บริษัทเติบโต (บางครั้งการซื้อหรือลงทุนในกิจการอื่นๆเพื่อให้บริษัทเติบโตขึ้นอาจจะไม่ทำให้มูลค่าของกิจการเพิ่มขึ้นก็ได้นะครับ เอาเงินมาซื้อหุ้นคืนจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นมากกว่า)
ดังนั้นบริษัทที่อาจารย์ Buffet ของผมถือหุ้นอยู่จะถูกอาจารย์ผมสะกดจิตให้ผู้บริหารทำการซื้อหุ้นคืนทุกบริษัทไป ไม่ว่าจะเป็น Coca-Cola, Gillette, Washington Post, ฯลฯ.
แต่เท่าที่ผมเห็นการซื้อหุ้นคืนตอนนี้ มักจะเป็นการ"อุ้ม"ราคาหุ้นของบริษัทตัวเองในระยะสั้นมากกว่าที่จะเป็นการคิดถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นในระยะยาว เพราะการซื้อหุ้นคืนที่ดีจะต้องทำต่อเนื่องและสม่ำเสมอครับ
หวังว่าคุณพี่ CK คงเข้าใจเกี่ยวกับการซื้อหุ้นคืนของบริษัทมากขึ้นนะครับ
ส่วนประโยคที่พี่ครรชิตคัดลอกมานั้น เป็นคำตอบของอาจารย์ของผมต่อผู้ถือหุ้นครับในการประชุมประจำปีของ Berkshire ครับ คือมีผู้ถือหุ้นคนหนึ่งถามว่า ทำไม Berkshire ไม่ซื้อหุ้นของตัวเองคืน อาจารย์ผมตอบว่าเราจะซื้อหุ้น Berkshire คืนก็ต่อเมื่อราคาต่ำกว่า Intrinsic Value มากๆ และไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปลงทุนทำอะไรแล้ว คงแถมประโยคที่บอกว่า ถ้ามีหุ้นที่ราคาถูกกว่าหุ้น Berkshire ในตลาดก็จะซื้อหุ้นคืน (ซึ่งบริษัทบ้าที่ไหนจะมีราคาหุ้นละ 3 ล้านบาทอย่างของบริษัทอาจารย์ผมละครับ) เพราะฉะนั้นคงต้องรออีกนานกว่า Berkshire จะซื้อหุ้นตัวเองคืน
สวัสดีครับ พบกันใหม่พรุ่งนี้
------------------------------------------------------
วิบูลย์-007
สำหรับเพื่อนๆที่ยังไม่ได้อ่านคำตอบของผมถึงคุณพี่ปรัชญา ผมขออนุณาตคัดลอกลงมาเพื่ออ่านกันก่อนนะครับ คือพี่ปรัชญาถามผมว่าแกซื้อ Warrant ของบริษัทหนึ่งอยู่แล้วให้ผมช่วยดูให้หน่อยว่าเป็นอย่างไร (ที่ผมไม่ตอบแกจนแกงอนไงครับ สุดท้ายผมทนใจดำไม่ไหวเลยตอบไปเมื่อวันก่อน)
คำถามมีดังนี้
----------------------------------------------------------------------------
โพสต์เมื่อ: Sat Sep 06, 2003 11:32 am หัวข้อ: คุณวิบูลย์ครับ
ช่วยวิเคราะห์บริษัท ......... ให้หน่อยครับ
ว่าธุรกิจนี้มีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง
หนี้สินเขาจะชำระหมดใช้เวลา1-3ปีหรือเปล่า
เผอิญผมกำลังสับสนว่า...ได้ซื้อWของเขาไว้เยอะ
จะได้รับข้อคิดความเห็นของคุณวิบูลย์
มาประกอบการตัดสินใจว่า จะแปลงเป็นหุ้นแม่ดีหรือเปล่า
หุ้นตัวนี้ซื้อเพราะรสนิยมครับ
ไม่ได้ตั้งใจซื้อเพราะปัจจัยพื้นฐานเลยครับ
ขอบคุณ ล่วงหน้าครับ
------------------------------------------------------------------------
ผมตอบกระทู้นั้นอย่างนี้ครับ
------------------------------------------------------------------------
โพสต์เมื่อ: Sun Sep 07, 2003 8:00 pm หัวข้อ:
พี่ปรัชญาครับ
ไม่ต้องน้อยใจครับ ผมตอบให้คร่าวๆแล้วกันครับ ปกติผมจะไม่ตอบกระทู้อื่นแค่วันนี้มีเวลามากหน่อย
ผมมีความรู้สึกไม่ดีกับ Warrant ครับในความเห็นของผม บริษัทที่ออก (แจก) Warrant มักจะทำไปเพื่อให้ราคาหุ้นสูงขึ้นครับ มากกว่าที่จะรักษาประโยชน์ของผู้ถือหุ้นระยะยาว เพราะเมื่อ Warrant convert มาเป็นหุ้นสามัญก็จะทำให้มีจำนวนหุ้นสามัญมากขึ้น ทำให้กำไรต่อหุ้นลดลง และ เกิด Dilution Effect กับผู้ถือหุ้นเดิมครับ
ผมจึงหลีกเลี่ยงที่จะลงทุนในบริษัทที่มี Warrant ครับ เพราะผมไม่อยากยุ่งยากคำนวณมูลค่าของบริษัทที่จะต้องนำ Warrant มาคำนวณด้วย มันยุ่งยากเกินไปครับ ผมเป็นคนขี้เกียจชอบทำอะไรง่ายๆครับ เลยเลิกยุ่งกับWarrant
ในกรณี บริษัท........... ผมไม่ค่อยรู้เรื่องบริษัทนี้ครับ รู้แต่ว่าเพิ่งเริ่มกำไรหลังจากขาดทุนมาหลายปี เป็นเจ้าของนสพ .......... ขวัญใจคนบ้าบอล มีหนี้สินพอสมควร รู้สึกจะมีการจ่ายปันผลไปตอนครึ่งปีเร็วๆนี้
สำหรับผม บริษัทนี้ไม่ผ่านคาถาข้อสองของผมครับ ผมถือว่าการออก Warrant ไม่เป็นการคิดถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นระยะยาว ผมไม่โหวตผ่านให้ผู้บริหารครับ ถึงแม้ฐานะทางการเงินจะดีแค่ไหนก็ตาม
-------------------------------------------------------------------------------------
ผมขอตัดข้อความบางส่วนออกเพื่อความเหมาะสมนะครับ
ที่คุณพี่ CK ถามเรื่องการซื้อหุ้นคืนนั้น อาจารย์ Buffet ของผมกระซิบบอกมาว่ามันเป็นคนละเรื่องกับการออก Warrant ชนิดหน้ามือกับหลังเท้าเลยครับ
การออก Warrant นั้น ในระยะยาวจะทำให้มีจำนวนหุ้นสามัญมากขึ้นหลังจากมีการ Convert ของ Warrant ครับ
สมมุติว่าให้ทุกอย่างคงที่ ทั้งยอดขาย, กำไร, และ P/E การที่จำนวนหุ้นสามัญมากขึ้นก็จะทำให้กำไรต่อหุ้นลดลง ในขณะที่ P/E คงที่ก็จะทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทนี้ลดลงครับ หมายความว่าราคาหุ้นที่เราซื้อมาก็จะลดลง
ชอบกันมั๊ยครับ ราคาหุ้นที่ซื้อมาลดลงลงไปเรื่อยๆ สนุกดีนะครับ ตอนที่ผมยังเป็น VI โง่ๆอยู่เคยซื้อหุ้นบริษัทหนึ่งตามเพื่อนครับ เห็นเขาบอกว่าปันผลดีทุกไตรมาศ ด้วยความโลภ อยากได้ปันผลเยอะๆ เลยซื้อตามเข้าไปโดยไม่รู้มาก่อนว่ามี Warrant ที่ออกมาก่อนหน้านั้นอยู่ด้วย และด้วยความโชคดีของผมครับ มันถึงระยะเวลาใช้สิทธิแปลง Warrant ได้พอดี คนก็แปลง Warrant เป็นหุ้นสามัญแล้วก็ขายทิ้งได้กำไรสองต่อ ผมก็ได้แต่นั่งมองราคาหุ้นลดลงทุกวันๆ โบรกเกอร์ของผมโทรมาบอกว่าไม่เป็นไร ใจเย็นๆ บริษัทนี้ปันผลทุกไตรมาศไม่ต้องห่วง ผมเป็นเด็กหัวอ่อนครับเลยทำตามคำแนะนำของโบรกที่แสนดีของผมด้วยการนั่งมองราคาหุ้นที่ผมถืออยู่ลดลงทุกวันๆตามเดิม (สนุกมากครับ ใครไม่เคยลองขอบอก มันเยี่ยมอย่าบอกใคร) สุดท้ายผมทนไม่ไหว หาหนังสือเกี่ยวกับ Warrant มาอ่านครับ จึงพบว่าการออก Warrant เป็นการทำลาย Shareholder Value ที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งนอกเหนือจากการเพิ่มทุนจดทะเบียน
ผมเลยตัดสินใจขายหุ้นบริษัทนั้นทิ้งทั้งหมดทันที ขาดทุนไป 20% ครับเป็นค่าโง่ที่แพงที่สุดที่ผมเคยจ่าย เลยจำไว้เป็นบทเรียนครับ
ส่วนการซื้อหุ้นคืนนั้น ในระยะยาวจะทำให้จำนวนหุ้นสามัญลดลงครับ ถ้าสมมุติฐานของเราเหมือนเดิม คือ ยอดขาย กำไร และ P/E เท่าเดิม บริษัทนี้ก็จะมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นครับ เพราะกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นด้วยยอดขายเท่าเดิม นั้นคือราคาหุ้นสูงขึ้น แต่มีข้อแม้ครับว่าบริษัทที่จะสามารถซื้อหุ้นคืนได้นั้นต้องมีเงินสดจำนวนมาก มากเกินกว่าที่จะนำไปลงทุนหรือทำอะไรอื่นๆให้บริษัทเติบโต (บางครั้งการซื้อหรือลงทุนในกิจการอื่นๆเพื่อให้บริษัทเติบโตขึ้นอาจจะไม่ทำให้มูลค่าของกิจการเพิ่มขึ้นก็ได้นะครับ เอาเงินมาซื้อหุ้นคืนจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นมากกว่า)
ดังนั้นบริษัทที่อาจารย์ Buffet ของผมถือหุ้นอยู่จะถูกอาจารย์ผมสะกดจิตให้ผู้บริหารทำการซื้อหุ้นคืนทุกบริษัทไป ไม่ว่าจะเป็น Coca-Cola, Gillette, Washington Post, ฯลฯ.
แต่เท่าที่ผมเห็นการซื้อหุ้นคืนตอนนี้ มักจะเป็นการ"อุ้ม"ราคาหุ้นของบริษัทตัวเองในระยะสั้นมากกว่าที่จะเป็นการคิดถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นในระยะยาว เพราะการซื้อหุ้นคืนที่ดีจะต้องทำต่อเนื่องและสม่ำเสมอครับ
หวังว่าคุณพี่ CK คงเข้าใจเกี่ยวกับการซื้อหุ้นคืนของบริษัทมากขึ้นนะครับ
ส่วนประโยคที่พี่ครรชิตคัดลอกมานั้น เป็นคำตอบของอาจารย์ของผมต่อผู้ถือหุ้นครับในการประชุมประจำปีของ Berkshire ครับ คือมีผู้ถือหุ้นคนหนึ่งถามว่า ทำไม Berkshire ไม่ซื้อหุ้นของตัวเองคืน อาจารย์ผมตอบว่าเราจะซื้อหุ้น Berkshire คืนก็ต่อเมื่อราคาต่ำกว่า Intrinsic Value มากๆ และไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปลงทุนทำอะไรแล้ว คงแถมประโยคที่บอกว่า ถ้ามีหุ้นที่ราคาถูกกว่าหุ้น Berkshire ในตลาดก็จะซื้อหุ้นคืน (ซึ่งบริษัทบ้าที่ไหนจะมีราคาหุ้นละ 3 ล้านบาทอย่างของบริษัทอาจารย์ผมละครับ) เพราะฉะนั้นคงต้องรออีกนานกว่า Berkshire จะซื้อหุ้นตัวเองคืน
สวัสดีครับ พบกันใหม่พรุ่งนี้
------------------------------------------------------
วิบูลย์-007
พี่ปรัชญาครับ
ผมไม่เก่งวิเคราะห์เท่าคุณฉัตรชัยหรอกครับ (ขอเฉลย-ผมเป็นรุ่นน้องคุณฉัตรชัยครับ แก Personal Message มาคุยนับญาติกับผมแล้วครับ) ถ้าถามผมผมก็จะบอกว่า พี่แกเล่นแกะชนิดที่ฝรั่งเรียกว่า Scrutinize จนพรุนไปหมดเลยครับ ส่วนของผมเป็นแค่การ Investigate ครับตัวสมุดบัญชีเลยยังไม่ขาด ผมคงสู้พี่เขาไม่ได้ในเรื่องนี้
ต้องขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านครับ ผมชักตัวสั่นแล้ว กลัวชาวบ้านจับได้ว่าปล่อยไก่ไปหลายตัว ใครอยากรู้อะไรส่งคำถามมาได้ครับ ตอนนี้ขอไปประชุมก่อน
----------------------------------------------------------------------------
วิบูลย์-007
ผมไม่เก่งวิเคราะห์เท่าคุณฉัตรชัยหรอกครับ (ขอเฉลย-ผมเป็นรุ่นน้องคุณฉัตรชัยครับ แก Personal Message มาคุยนับญาติกับผมแล้วครับ) ถ้าถามผมผมก็จะบอกว่า พี่แกเล่นแกะชนิดที่ฝรั่งเรียกว่า Scrutinize จนพรุนไปหมดเลยครับ ส่วนของผมเป็นแค่การ Investigate ครับตัวสมุดบัญชีเลยยังไม่ขาด ผมคงสู้พี่เขาไม่ได้ในเรื่องนี้
ต้องขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านครับ ผมชักตัวสั่นแล้ว กลัวชาวบ้านจับได้ว่าปล่อยไก่ไปหลายตัว ใครอยากรู้อะไรส่งคำถามมาได้ครับ ตอนนี้ขอไปประชุมก่อน
----------------------------------------------------------------------------
วิบูลย์-007
ตอบคุณ Guest (แขกรับเชิญของเรา)
เรื่องการถือหุ้นบริษัทแบบที่ผมทำอยู่มันทำร้ายผมอย่างไรบ้าง บอกจริงๆว่าผมลืมคำถามนี้ไปแล้วทั้งๆที่ถามเอง ขอบคุณมากครับที่เตือนกันมา
การลงทุนแบบที่เราถือว่าเราเป็นเจ้าของบริษัทและจะถือหุ้นเฉพาะบริษัทที่เราเข้าใจในราคาที่ทำผลตอบแทนในระยะยาวให้เราได้ตามที่เราต้องการโดยถือไว้นานๆ นั้นมีทั้งข้อดีข้อเสียครับ ผมจะพูดถึงข้อเสียแล้วกัน
1) อย่างที่คุณพี่ CK บอกไว้ว่าหุ้นบริษัทเกรดเอมีจำกัด ยิ่งผมมี Criteria ในการเลือกหุ้นมากเท่าไหร่ ตัวเลือกผมก็น้อยลงไปเท่านั้น ทำให้เรามีข้อจำกัดในการลงทุนหนึ่งแล้วนะครับ
2) บางครั้งผมปล่อยให้โอกาสในการลงทุนหลุดลอยผ่านหน้าไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะผม Question อะไรบางอย่างในบริษัทนั้น เช่นอาจจะสงสัยงบการเงิน ผู้บริหาร หรือ อะไรก็ตามที่นึกขึ้นได้ แล้วมันก็เป็นแค่หมอกควัน กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้วครับ มีบริษัทดีๆที่ผมอยากเป็นเจ้าของแต่ตอนนี้เป็นไม่ได้เพราะราคาสูงเกินไป ต้องร้องเพลงรอให้ฝุ่นในตลาดหุ้นตอนนี้หายตลบก่อน
3) บางทีผมเห็นโอกาสแต่คว้าไม่ได้เพราะเงินหมด ผมไม่ขายบริษัทที่มีอนาคตดีของผมเพียงเพื่อเปลี่ยนไปซบ-อกบริษัทใหม่ การที่ผมจะทำอย่างนั้นได้ผมจะต้องมีความมั่นใจในบริษัทใหม่ของผมมากกว่าบริษัทเดิมที่ถืออยู่หลายเท่าครับ เพราะการที่เราเปลี่ยนบริษัทคือความเสี่ยงอย่างหนึ่ง เราต้องมั่นใจจึงจะควบคุมมันได้
4) ผมต้องมีความอดทนมากกว่าปกติครับในการที่เราจะถือบริษัทนี้ไปตลอด ในขณะที่หุ้นบริษัทของเราอาจจะกำลังดิ่งเหวด้วยการเทขายตามอารมณ์ของรายใหญ่ (อย่าบอกว่ากองทุนไม่ใช้อารมณ์ในการ"เล่น"หุ้น ผมไม่เชื่อครับ) หรือ ราคาหุ้นของบริษัทกำลังขึ้นจนเรากลัวตกกระไดขาหักตาย ผมต้องอดทนครับ ต้องทำใจให้สงบ (ผมแนะนำให้นักลงทุนฝึกสมาธิทุกวันครับ จะได้ไม่สติแตกเวลาตลาดหุ้นดิ่งนรก.......(เป็นนักลงทุนอย่าลืมเพลงดัง "สักวันฉันจะกลับมา"))
5) เอาข้อสุดท้ายแล้วกันเดี๋ยวจะมีคนหาว่าผมเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน ผมต้องมีความอดทนมากกว่าปกติครับ เวลาที่ผมเห็นราคาหุ้นตัวอื่นๆพุ่งกระฉูดแซงหน้าราคาหุ้นของบริษัท (ที่ยอดเยี่ยม) ของผมไปอย่างสวยงาม ผมได้แต่ท่องนะโม นะโม หลายๆจบครับ แล้วบอกกับตัวเองหลายๆครั้งต่อวันว่า "อาจารย์ Buffet บอกว่า ราคาหุ้นระยะสั้นไม่ได้เป็นตัวบอกมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ให้ดูผลประกอบการของบริษัท เข้าใจมั๊ย ห่ะ ไอ้ลูกหมา" ผมก็ตอบกับตัวเองว่า "เข้าใจแล้วครับอาจารย์ ผมจะต้องดู Longterm Underlying Business Economic เป็นสาระสำคัญครับ" แล้วผมก็ล้มตัวลงนอนหลับสบายถึงเช้าเลยครับ โดยเฉพาะตอนนี้ผมต้องท่องคาถานี้แทบทุกวัน
แล้วท่านอื่นๆหละครับ มีประสบการณ์อย่างไรบ้าง?
เรื่องการถือหุ้นบริษัทแบบที่ผมทำอยู่มันทำร้ายผมอย่างไรบ้าง บอกจริงๆว่าผมลืมคำถามนี้ไปแล้วทั้งๆที่ถามเอง ขอบคุณมากครับที่เตือนกันมา
การลงทุนแบบที่เราถือว่าเราเป็นเจ้าของบริษัทและจะถือหุ้นเฉพาะบริษัทที่เราเข้าใจในราคาที่ทำผลตอบแทนในระยะยาวให้เราได้ตามที่เราต้องการโดยถือไว้นานๆ นั้นมีทั้งข้อดีข้อเสียครับ ผมจะพูดถึงข้อเสียแล้วกัน
1) อย่างที่คุณพี่ CK บอกไว้ว่าหุ้นบริษัทเกรดเอมีจำกัด ยิ่งผมมี Criteria ในการเลือกหุ้นมากเท่าไหร่ ตัวเลือกผมก็น้อยลงไปเท่านั้น ทำให้เรามีข้อจำกัดในการลงทุนหนึ่งแล้วนะครับ
2) บางครั้งผมปล่อยให้โอกาสในการลงทุนหลุดลอยผ่านหน้าไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะผม Question อะไรบางอย่างในบริษัทนั้น เช่นอาจจะสงสัยงบการเงิน ผู้บริหาร หรือ อะไรก็ตามที่นึกขึ้นได้ แล้วมันก็เป็นแค่หมอกควัน กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้วครับ มีบริษัทดีๆที่ผมอยากเป็นเจ้าของแต่ตอนนี้เป็นไม่ได้เพราะราคาสูงเกินไป ต้องร้องเพลงรอให้ฝุ่นในตลาดหุ้นตอนนี้หายตลบก่อน
3) บางทีผมเห็นโอกาสแต่คว้าไม่ได้เพราะเงินหมด ผมไม่ขายบริษัทที่มีอนาคตดีของผมเพียงเพื่อเปลี่ยนไปซบ-อกบริษัทใหม่ การที่ผมจะทำอย่างนั้นได้ผมจะต้องมีความมั่นใจในบริษัทใหม่ของผมมากกว่าบริษัทเดิมที่ถืออยู่หลายเท่าครับ เพราะการที่เราเปลี่ยนบริษัทคือความเสี่ยงอย่างหนึ่ง เราต้องมั่นใจจึงจะควบคุมมันได้
4) ผมต้องมีความอดทนมากกว่าปกติครับในการที่เราจะถือบริษัทนี้ไปตลอด ในขณะที่หุ้นบริษัทของเราอาจจะกำลังดิ่งเหวด้วยการเทขายตามอารมณ์ของรายใหญ่ (อย่าบอกว่ากองทุนไม่ใช้อารมณ์ในการ"เล่น"หุ้น ผมไม่เชื่อครับ) หรือ ราคาหุ้นของบริษัทกำลังขึ้นจนเรากลัวตกกระไดขาหักตาย ผมต้องอดทนครับ ต้องทำใจให้สงบ (ผมแนะนำให้นักลงทุนฝึกสมาธิทุกวันครับ จะได้ไม่สติแตกเวลาตลาดหุ้นดิ่งนรก.......(เป็นนักลงทุนอย่าลืมเพลงดัง "สักวันฉันจะกลับมา"))
5) เอาข้อสุดท้ายแล้วกันเดี๋ยวจะมีคนหาว่าผมเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน ผมต้องมีความอดทนมากกว่าปกติครับ เวลาที่ผมเห็นราคาหุ้นตัวอื่นๆพุ่งกระฉูดแซงหน้าราคาหุ้นของบริษัท (ที่ยอดเยี่ยม) ของผมไปอย่างสวยงาม ผมได้แต่ท่องนะโม นะโม หลายๆจบครับ แล้วบอกกับตัวเองหลายๆครั้งต่อวันว่า "อาจารย์ Buffet บอกว่า ราคาหุ้นระยะสั้นไม่ได้เป็นตัวบอกมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ให้ดูผลประกอบการของบริษัท เข้าใจมั๊ย ห่ะ ไอ้ลูกหมา" ผมก็ตอบกับตัวเองว่า "เข้าใจแล้วครับอาจารย์ ผมจะต้องดู Longterm Underlying Business Economic เป็นสาระสำคัญครับ" แล้วผมก็ล้มตัวลงนอนหลับสบายถึงเช้าเลยครับ โดยเฉพาะตอนนี้ผมต้องท่องคาถานี้แทบทุกวัน
แล้วท่านอื่นๆหละครับ มีประสบการณ์อย่างไรบ้าง?
ครับคุณวิบูลย์ เที่ยวหน้าถ้าขึ้นไปเชียงใหม่อีก กรุณาแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนก็แล้วกัน ได้โอกาสจะขอให้ติวแนวทางการเป็น VI ที่ถูกต้องเป็นการส่วนตัวให้ผมสักนิดหน่อย แล้วผมจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารตอบแทนให้เป็นค่าวิชาก็แล้วกัน ถ้ายังไงก็ อีเมล์ให้ผมทราบที่[email protected]VIB007 เขียน:"...(ต้องขอโทษคุณพีพี ที่ไม่ได้ไปเยี่ยม)"
พอเข้าใจบ้างเล็กน้อยตามสูตรข้างต้น ส่วนสูตรที่ลงไว้ในบางกอกโพสต์ฉบับดังกล่าว จะเป็นอย่างนี้ครับVIB007 เขียน:" ......ฝรั่งมันบินมาสอนสูตรไว้ดังนี้ครับ EVA=Cash Generated-Opportunity Cost of Capital"
EVA= Net operating profit after Tax (NOPT) - Capital Charge
ไม่ทราบหลักมันเหมือนกันหรือ เปล่า ต้องหาผู้รู้ทั้งหลายใน TVI ช่วยๆตีความกันหน่อยครับ สำหรับผมความรู้เรื่องเกี่ยวกับธุรกิจเท่าหางอึ๋ง แต่ก็พยายามหาความรู้จากการคลำอ่านตำรับตำราเอา เไม่มีเวลาและโอกาสไปเรียน MBA อย่างที่คุณฉัตรชัยเคยแนะนำไว้ในกระทู้อะไรจำไม่ได้แล้ว และอีกอย่างก็คืออายุเริ่มเป็นผู้สูงอายุแล้วตามเด็กไม่ค่อยทัน ผมก็รุ่นราวคราวเดียวกับคุณครรชิต ไพศาลนั่นแหละครับ แต่ใจยังหนุ่มอยู่นะ ผมเองยังคิดเสียดายตัวเองไม่รู้หลักการของอาจารย์แต่อายุน้อยๆ แล้วลงทุนแบบ VI จะได้มีโอกาสเห็นผลงานที่เป็นกอบเป็นกำเพราะมันต้องอาศัยเวลานานมากๆตามที่อ่านมานะครับ
คุณวิบูลย์เข้าใจประเด็นที่ผมpost ไว้ผิดแล้วครับ
กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ผมเข้าอ่านทุกวัน
ดูว่ามีอะไรเติมเข้ามาบ้าง เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ ขยายโลกทัศน์ตัวเอง
เพื่อเป็นviพันธ์แท้ที่สมบูรณ์
เท่าที่ผมสังเกตุ
คนที่อยากลงทุนแนวvi และเข้ามาร่วมในwebนี้ จำนวนมากเป็นคนใหม่
เมื่อมาเจอการวิเคราะห์แบบมือเก๋า แบบคุณมนตรี คุณฉัตรชัย คุณวิบูลย์
ที่มองทะลุ ธุรกิจแบบนี้โดยอาศัยเครื่องมือทางการเงินแบบซับซ้อน
อาจถอดใจได้ง่ายๆ
ความจริงการลงทุนแนวvi มีได้หลายแบบ
จากง่ายๆ ไปถึงยาก
แน่นอนว่าคงต้องหาแบบที่เหมาะสมกับ"ขีดความสามารถ"ของตัวเอง
แต่อย่างที่คุณวิบูลย์เคยให้ไปอ่าน"แก่นพุทธศาสนา"ของท่านอจ.พุทธทาส
ผมอ่านหลายรอบแล้วครับ(หลายปีก่อน) ได้ข้อสรุปเหมือนที่พุทธองค์ได้ตรัสไว้ ณ.ป่าประดู่ลาย
คือ พุทธศาสนาบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกถึง45เล่มเปรียบเหมือนใบไม้ในป่าทั้งหมด
แต่ หัวใจจริงๆมีแค่ เท่าใบไม้ในกำมือของเราเท่านั้นครับ
กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ผมเข้าอ่านทุกวัน
ดูว่ามีอะไรเติมเข้ามาบ้าง เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ ขยายโลกทัศน์ตัวเอง
เพื่อเป็นviพันธ์แท้ที่สมบูรณ์
เท่าที่ผมสังเกตุ
คนที่อยากลงทุนแนวvi และเข้ามาร่วมในwebนี้ จำนวนมากเป็นคนใหม่
เมื่อมาเจอการวิเคราะห์แบบมือเก๋า แบบคุณมนตรี คุณฉัตรชัย คุณวิบูลย์
ที่มองทะลุ ธุรกิจแบบนี้โดยอาศัยเครื่องมือทางการเงินแบบซับซ้อน
อาจถอดใจได้ง่ายๆ
ความจริงการลงทุนแนวvi มีได้หลายแบบ
จากง่ายๆ ไปถึงยาก
แน่นอนว่าคงต้องหาแบบที่เหมาะสมกับ"ขีดความสามารถ"ของตัวเอง
แต่อย่างที่คุณวิบูลย์เคยให้ไปอ่าน"แก่นพุทธศาสนา"ของท่านอจ.พุทธทาส
ผมอ่านหลายรอบแล้วครับ(หลายปีก่อน) ได้ข้อสรุปเหมือนที่พุทธองค์ได้ตรัสไว้ ณ.ป่าประดู่ลาย
คือ พุทธศาสนาบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกถึง45เล่มเปรียบเหมือนใบไม้ในป่าทั้งหมด
แต่ หัวใจจริงๆมีแค่ เท่าใบไม้ในกำมือของเราเท่านั้นครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจครับ
ผมต้องบอกว่าผมไม่ได้โกรธพี่ประจวบเลยซักนิดเดียว เพียงแต่ผมทนไม่ได้กับความคิดของใครก็ตามที่ต้องการผลตอบแทนสูงๆแต่ไม่ศึกษาหาความรู้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ยิน หรือได้ประสบพบเห็นมา ผมอยากบอกนักลงทุนหน้าใหม่ว่าอย่าดูถูกความรู้ครับ ไม่มีสูตรสำเร็จในตลาดหุ้นครับ ทุกอย่างท่านต้องลงมือลงแรงเองครับ ถ้าต้องการสูตรอะไรง่ายๆ ผมไม่มีให้ครับ
อาจารย์ Buffet เขียนไว้ชัดเจนครับว่า "We, at Berkshire Hathaway, don't do stock recommendation, but we are willing to discuss our investment philosophy" "พวกเราที่ Berkshire จะไม่ทำการแนะนำหุ้นให้กับใคร แต่เรายินดีที่จะพูดคุยเกี่ยวกับปรัชญาการลงทุนของเรา" ส่วนผม ผมปฏิบัติตามคำสอนของอาจารย์อย่างเคร่งครัดครับ
ผมอาจจะ Serious เกินไปอย่างที่คุณ Mon ว่าก็ได้ แต่ทำไงได้ก็คิดไปแล้ว
ต้องขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับสำหรับความห่วงไย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่ประจวบที่อุตส่าห์ติดตามผลงานของพวกผมและช่วยให้นึกถึงคำพระท่านอีกครั้งได้ ขอบอกอีกครั้งครับว่า "การลงทุนแนว VI สุดท้ายมีแค่ใบไม้ในกำมือเดียวจริงๆครับ" ตอนนี้ถ้ายังหาไม่เจอก็ต้องค้นหากันต่อไปครับ
ขอบคุณครับ
The Force will be with you.
ผมต้องบอกว่าผมไม่ได้โกรธพี่ประจวบเลยซักนิดเดียว เพียงแต่ผมทนไม่ได้กับความคิดของใครก็ตามที่ต้องการผลตอบแทนสูงๆแต่ไม่ศึกษาหาความรู้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ยิน หรือได้ประสบพบเห็นมา ผมอยากบอกนักลงทุนหน้าใหม่ว่าอย่าดูถูกความรู้ครับ ไม่มีสูตรสำเร็จในตลาดหุ้นครับ ทุกอย่างท่านต้องลงมือลงแรงเองครับ ถ้าต้องการสูตรอะไรง่ายๆ ผมไม่มีให้ครับ
อาจารย์ Buffet เขียนไว้ชัดเจนครับว่า "We, at Berkshire Hathaway, don't do stock recommendation, but we are willing to discuss our investment philosophy" "พวกเราที่ Berkshire จะไม่ทำการแนะนำหุ้นให้กับใคร แต่เรายินดีที่จะพูดคุยเกี่ยวกับปรัชญาการลงทุนของเรา" ส่วนผม ผมปฏิบัติตามคำสอนของอาจารย์อย่างเคร่งครัดครับ
ผมอาจจะ Serious เกินไปอย่างที่คุณ Mon ว่าก็ได้ แต่ทำไงได้ก็คิดไปแล้ว
ต้องขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับสำหรับความห่วงไย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่ประจวบที่อุตส่าห์ติดตามผลงานของพวกผมและช่วยให้นึกถึงคำพระท่านอีกครั้งได้ ขอบอกอีกครั้งครับว่า "การลงทุนแนว VI สุดท้ายมีแค่ใบไม้ในกำมือเดียวจริงๆครับ" ตอนนี้ถ้ายังหาไม่เจอก็ต้องค้นหากันต่อไปครับ
ขอบคุณครับ
The Force will be with you.
อ่านแล้วได้ความรู้ดีมากๆเลยนะคะ แต่ว่าต้องขอทำการบ้านเพิ่มขึ้นอีกนิดนึงนะคะ เพราะว่ารู้สึกว่ามีอะไรที่เราไม่เข้าใจเต็มไปหมดเลยค่ะ
สำหรับที่มีพี่ๆเกิดเสียใจในเรื่องที่อยากให้ผู้ลงทุนหัดหาความรู้บ้าง คิดว่าพี่ๆอย่าคิดมากเลยค่ะ พี่ทำดีที่สุดแล้วค่ะ ทุกอย่างในโลกนี้อาจมีคนที่คิดแตกต่างจากเราไปบ้างก็ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ แต่หนูขอย้ำนะคะว่าเวบนี้ดีมากๆสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ทั้งหลาย หนูเองเพิ่งจะเข้าตลาดได้ไม่นาน แต่ก็ได้อาศัยอ่านเอาประสบการณ์และความรู้จากเวบนี้มากพอดู ทำให้ได้แหล่งข้อมูลและหาหนังสืออ่านเพิ่มเติมได้หลายเล่มเลยล่ะ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะยังไม่สามารถนำมาใช้กับตัวเองได้ก็ตาม แต่มีอีกนิดนะคะ คือภาษาบางอย่างมันค่อนข้างเป็น technical term บางคนเข้ามาอ่านแล้วก็อาจจะไม่เข้าใจน่ะคะ ซึ่งตัวเองก็เป็นเหมือนกัน ก็พยายามตามๆและถามพี่ๆในเวบเอาบ้าง ซึ่งก็ค่อนข้างได้ความกรุณาอยู่มากๆ อยากจะขอบคุณและเป็นกำลังใจให้กับพี่ๆอีกครั้งนะคะ
ปล. ถ้ามี meeting อีกคราวหน้าจัดวันอาทิตย์อีกนะคะ จะพยายามหาเวลาไปให้ได้เลยค่ะ มี work shop ให้อีกก็ดีนะคะ แล้วช่วยบอกการบ้านที่อยากให้เตรียมตัวไปด้วยจะได้คุยกันรู้เรื่องค่ะ
สำหรับที่มีพี่ๆเกิดเสียใจในเรื่องที่อยากให้ผู้ลงทุนหัดหาความรู้บ้าง คิดว่าพี่ๆอย่าคิดมากเลยค่ะ พี่ทำดีที่สุดแล้วค่ะ ทุกอย่างในโลกนี้อาจมีคนที่คิดแตกต่างจากเราไปบ้างก็ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ แต่หนูขอย้ำนะคะว่าเวบนี้ดีมากๆสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ทั้งหลาย หนูเองเพิ่งจะเข้าตลาดได้ไม่นาน แต่ก็ได้อาศัยอ่านเอาประสบการณ์และความรู้จากเวบนี้มากพอดู ทำให้ได้แหล่งข้อมูลและหาหนังสืออ่านเพิ่มเติมได้หลายเล่มเลยล่ะ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะยังไม่สามารถนำมาใช้กับตัวเองได้ก็ตาม แต่มีอีกนิดนะคะ คือภาษาบางอย่างมันค่อนข้างเป็น technical term บางคนเข้ามาอ่านแล้วก็อาจจะไม่เข้าใจน่ะคะ ซึ่งตัวเองก็เป็นเหมือนกัน ก็พยายามตามๆและถามพี่ๆในเวบเอาบ้าง ซึ่งก็ค่อนข้างได้ความกรุณาอยู่มากๆ อยากจะขอบคุณและเป็นกำลังใจให้กับพี่ๆอีกครั้งนะคะ
ปล. ถ้ามี meeting อีกคราวหน้าจัดวันอาทิตย์อีกนะคะ จะพยายามหาเวลาไปให้ได้เลยค่ะ มี work shop ให้อีกก็ดีนะคะ แล้วช่วยบอกการบ้านที่อยากให้เตรียมตัวไปด้วยจะได้คุยกันรู้เรื่องค่ะ
ผมขอเป็นกำลังใจให้พี่ๆทุกคนที่ทั้งให้ความรู้และให้ความเห็นครับ ผมขอตอบพี่วิบูลย์เลยครับว่าผมไปเจอที่งบการเงินของบริษัทหนึ่ง ขอยกตัวอย่างเป็น บริษัท ก. นะครับ บริษัท ก.ถือหุ้นในบริษัท ข. อยู่ 50% ของทุนจดทะเบียน 50 ลบ. ช่องราคาทุนเขาจะลงไว้ 25 ลบ. ส่วนช่องเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียเขาจะลงไว้ 170 ลบ.อยากให้พี่อธิบายความหมายของเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียหน่อยครับ
Warren has not bought a new car because he feel certain that he can invest that money and earn rate of return of 20 % or better. Another reason is that he does not place much value on a new car. For Warren, a car is a car and it is not necessary to be fancy or luxurious. However, he will buy everything he likes. He is not a kind of people who do not want to spend any money. He has a private jet because he loves to travel. Value investors are not people who keep every penny to invest but they will only buy things which have so much value for them.
ขอบคุณพี่ๆที่ให้ความรู้เรื่องเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียครับ พี่ๆคนไหนที่เคยอ่านหนังสือ The Warren Buffett Way กับ Common Stock and Uncommon Profit แล้ว ช่วยบอกน้องๆหน่อยครับว่าอ่านยาก-ง่ายแค่ไหน เมื่อเทียบกับ The New Buffettology (เล่มนี้ผมเคยอ่านแล้วครับเข้าใจได้ไม่ยาก แต่เล่ม The 2 In ของ อ.เกรแฮมนี่ อ่านแล้วหลับสบายไปหน่อยครับ)
ขออนุญาตออกความเห็นเล็กน้อยครับ
ตามอ่านกระทู้นี้ในตอนต้นๆ
มาเห็นอีกที
กลายเป็นกระทู้ที่ยาวที่สุดและฮิตที่สุดในเวปบอร์ดหุ้นเท่าที่ผมเคยเห็นมา
คืออยากเสนอความเห็นว่า
ในห้องทีวีไอ
น่าจะมีใครสักคนอยู่ในวงการสิ่งพิมพ์ ซึ่งสามารถนำกระทู้นี้
ไปตัดต่อทำเป็นหนังสือเล่มออกมา
ตั้งชื่อให้สะดุดตาคน ออกแบบข้อความตัวหนังสือให้อ่านง่าย
เหมือนลักษณะกลอนเปล่า ผมว่ามีสิทธิ์เป็นเบสท์เซลเลอร์ได้อย่างสบาย
แนะนำให้ลองทำดูครับ
เวปมาสเตอร์น่าจะเป็นริเริ่ม
ขนาดบทความของผมซึ่งไม่ค่อยมีข้อมูลเป็นทางการ
ยังมีน้องคนหนึ่งขอนำไปเป็นบทความ
ในหนังสือที่จะทำให้ตลาดหลักทรัพย์เลยครับ
น่าลอง ครับน่าลอง
อันที่จริงแต่ละท่านก็เศรษฐีย่อยๆกันทั้งนั้น
ลงขันกันซักห้าคน พิมพ์เองเลยก็ได้
ไม่เจ๊งแน่นอนครับ
ขอถือโอกาสทักทายคุณปรัชญา
ฟาร์อีสถึงเป้าสิบล้านหรือยังครับ
ยินดีด้วย
ถ้าผมมีโอกาสไปขอนแก่นงวดหน้า
อย่าลืมเลี้ยงอาหารญวนร้านอัมพร
ตรงหน้าขอนแก่นวิทยายน สักมื้อ ฮาๆๆ
สำหรับผมจะรอทำคลายเครียดเรโชที่ประมาณ ๑๐๐ - ๑๑๐ ครับ
เล็งหุ้นอยู่ตัวหนึ่ง จะขอถอนทุนเอาไปวัดใจเจ้าของบริษัท
ยังกินแคปซูลแปะก๊วยอยู่หรือเปล่าครับ
แนะนำให้กินต่อไป
จะได้จำได้แม่นๆว่า กำไรฟาร์อีสฯเท่าไหร่แล้ว ฮาๆๆๆ
ตามอ่านกระทู้นี้ในตอนต้นๆ
มาเห็นอีกที
กลายเป็นกระทู้ที่ยาวที่สุดและฮิตที่สุดในเวปบอร์ดหุ้นเท่าที่ผมเคยเห็นมา
คืออยากเสนอความเห็นว่า
ในห้องทีวีไอ
น่าจะมีใครสักคนอยู่ในวงการสิ่งพิมพ์ ซึ่งสามารถนำกระทู้นี้
ไปตัดต่อทำเป็นหนังสือเล่มออกมา
ตั้งชื่อให้สะดุดตาคน ออกแบบข้อความตัวหนังสือให้อ่านง่าย
เหมือนลักษณะกลอนเปล่า ผมว่ามีสิทธิ์เป็นเบสท์เซลเลอร์ได้อย่างสบาย
แนะนำให้ลองทำดูครับ
เวปมาสเตอร์น่าจะเป็นริเริ่ม
ขนาดบทความของผมซึ่งไม่ค่อยมีข้อมูลเป็นทางการ
ยังมีน้องคนหนึ่งขอนำไปเป็นบทความ
ในหนังสือที่จะทำให้ตลาดหลักทรัพย์เลยครับ
น่าลอง ครับน่าลอง
อันที่จริงแต่ละท่านก็เศรษฐีย่อยๆกันทั้งนั้น
ลงขันกันซักห้าคน พิมพ์เองเลยก็ได้
ไม่เจ๊งแน่นอนครับ
ขอถือโอกาสทักทายคุณปรัชญา
ฟาร์อีสถึงเป้าสิบล้านหรือยังครับ
ยินดีด้วย
ถ้าผมมีโอกาสไปขอนแก่นงวดหน้า
อย่าลืมเลี้ยงอาหารญวนร้านอัมพร
ตรงหน้าขอนแก่นวิทยายน สักมื้อ ฮาๆๆ
สำหรับผมจะรอทำคลายเครียดเรโชที่ประมาณ ๑๐๐ - ๑๑๐ ครับ
เล็งหุ้นอยู่ตัวหนึ่ง จะขอถอนทุนเอาไปวัดใจเจ้าของบริษัท
ยังกินแคปซูลแปะก๊วยอยู่หรือเปล่าครับ
แนะนำให้กินต่อไป
จะได้จำได้แม่นๆว่า กำไรฟาร์อีสฯเท่าไหร่แล้ว ฮาๆๆๆ
intrinsic value ของ BH น่าจะอยู่ที่เท่าไรครับ
ผมเพิ่งจะเริ่มเข้ามาลงทุนช่วงกลางปีนี้เองครับ ความรู้ยังน้อย อยากจะทราบว่า ถ้าเราต้องการผลตอบแทน 15% ต่อปี ทบต้นจาก BH เราควรจะซื้อมันที่ราคาเท่าไร โดยที่ผมสามารถลงทุนเป็นระยะยาวหลายๆปีได้ครับ ช่วยแบ่งปันความรู้และความมั่งคั่งบ้างนะครับ
ขอถือโอกาสเข้ามาทักทายอีกครั้งครับ
ขอบคุณสำหรับความเห็นของคุณพีพีครับ
ที่ผมไม่ค่อยเข้ามาเวปอื่น
เพราะต้องจัดระเบียบชีวิตจริงกับชีวิตในเนทให้ได้ครับ
รอบตัวผม มีคนที่รู้เรื่องหุ้นน้อยมาก
ยิ่งภรรยาผม ไม่มีความรู้เรื่องหุ้นแม้แต่นิดเดียว
เลยทำให้ผมไม่เครียด เวลาเล่นหุ้น
แต่ต้องเครียด เพราะเขาหาว่าเอาแต่ดูเนท ดูเวปบอร์ด
ทะเลาะกันจนบ้านจะแตกมาแล้ว ฮาๆๆ
และเหตุผลที่สำคัญอีกข้อก็คือ
ผมวางตำแหน่งตัวเองไว้แค่
นักเล่นเกมล่าส่วนเกินทุน ที่กล้าถือหุ้นนานๆแค่นั้นครับ
คุณปรัชญา
พักนี้ได้หลายเด้งเลยนะครับ ฮาๆๆๆ
ไม่เห็นเล่าบ้างเลยว่า อาการประสาทหูเสื่อมดีขึ้นหรือยัง
ผมขอสนับสนุนอย่างเต็มที่
ให้คุณวิบูลย์พิมพ์ออกมาเป็นหนังสือเล่มครับ
อย่างน้อยที่สุดก็ขายผมได้อย่างแน่นอนหนึ่งเล่ม ฮาๆๆๆ
อ่านเอาจากเวป นานๆเข้าตาลายครับ
อ่านต่อไปไม่ค่อยไหว
ให้คุณมนซึ่งอยู่ในแวดวงสิ่งพิมพ์นั่นแหละครับเป็นบรรณาธิการให้
ยิ่งหนังสือออกได้เร็วเท่าไร
ผมว่าจะช่วยแมลงเม่าหุ้น ให้กลายเป็นมนุษย์หุ้นได้มากขึ้นเท่านั้น
แต่คงไม่ถึงขั้นเป็นเซียนหุ้น
ขอบคุณสำหรับความเห็นของคุณพีพีครับ
ที่ผมไม่ค่อยเข้ามาเวปอื่น
เพราะต้องจัดระเบียบชีวิตจริงกับชีวิตในเนทให้ได้ครับ
รอบตัวผม มีคนที่รู้เรื่องหุ้นน้อยมาก
ยิ่งภรรยาผม ไม่มีความรู้เรื่องหุ้นแม้แต่นิดเดียว
เลยทำให้ผมไม่เครียด เวลาเล่นหุ้น
แต่ต้องเครียด เพราะเขาหาว่าเอาแต่ดูเนท ดูเวปบอร์ด
ทะเลาะกันจนบ้านจะแตกมาแล้ว ฮาๆๆ
และเหตุผลที่สำคัญอีกข้อก็คือ
ผมวางตำแหน่งตัวเองไว้แค่
นักเล่นเกมล่าส่วนเกินทุน ที่กล้าถือหุ้นนานๆแค่นั้นครับ
คุณปรัชญา
พักนี้ได้หลายเด้งเลยนะครับ ฮาๆๆๆ
ไม่เห็นเล่าบ้างเลยว่า อาการประสาทหูเสื่อมดีขึ้นหรือยัง
ผมขอสนับสนุนอย่างเต็มที่
ให้คุณวิบูลย์พิมพ์ออกมาเป็นหนังสือเล่มครับ
อย่างน้อยที่สุดก็ขายผมได้อย่างแน่นอนหนึ่งเล่ม ฮาๆๆๆ
อ่านเอาจากเวป นานๆเข้าตาลายครับ
อ่านต่อไปไม่ค่อยไหว
ให้คุณมนซึ่งอยู่ในแวดวงสิ่งพิมพ์นั่นแหละครับเป็นบรรณาธิการให้
ยิ่งหนังสือออกได้เร็วเท่าไร
ผมว่าจะช่วยแมลงเม่าหุ้น ให้กลายเป็นมนุษย์หุ้นได้มากขึ้นเท่านั้น
แต่คงไม่ถึงขั้นเป็นเซียนหุ้น
ถ้าเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเราควรทำอย่างไรครับ
สวัสดีครับ พี่ๆทุกท่าน ตอนนี้ผมมีความคิดอยู่ว่าถ้าเกิดวิกฤติตลาดหุ้นเราควรจะซื้อหุ้นเพิ่ม ตรงนี้ผมเข้าใจชัดเจนครับ แต่ถ้าเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเหมือนกับเมื่อปี40 ที่ทำให้พื้นฐานของหลายๆกิจการแม้แต่กิจการที่ยอดเยี่ยมยังต้องเปลี่ยนไป เช่น หนี้บานเป็นเท่าตัว เราควรจะทำตัวอย่างไรดีครับ ถ้าสมมุติว่าก่อนเกิดวิกฤติเราลงทุนในหุ้นทั้งหมด 100%