เรียนคุณวิบูลย์และชาวทีวีไอทุกท่าน
เรียนคุณวิบูลย์และชาวทีวีไอทุกท่าน
ผมอยากออกความเห็นอย่างจริงจังที่สุดว่า
ให้ลงขันกันออกเงินพิมพ์กระทู้ร่อนตะแกรงหุ้นออกมาเป็นหนังสือ
โดยจ้างบรรณาธิการเฉพาะกิจ
เสนอขายหุ้นไอพีโอ
ทุนจดทะเบียนสักสองแสนบาท หรือกี่แสนบาทก็ว่ากันไป
ขายหุ้นละหนึ่งพันบาท
ผมขอจองก่อนเลย สิบหุ้น หนึ่งหมื่นบาท
ถ้าเอากันจริงๆ เดี๋ยวผมจะลองอีเมล์ติดต่อ
คุณอินโนเวสเตอร์ซึ่งตัดต่อบทความของผม
ไปทำหนังสือให้ตลาดหลักทรัพย์ให้ครับ
กระทู้ดังกล่าว ผมว่าตรงกับแนวทางที่ตลาดหลักทรัพย์ต้องการมากที่สุด
นี่ผมยังคิดเล่นๆเลยว่า
ให้หนังสือชื่อ "คู่มือมนุษย์หุ้น" คงสะดุดตาคนอ่าน
แต่พอนึกไปถึงหนังสือของทาสพุทธทาส เรื่อง"คู่มือมนุษย์"
ก็เห็นว่าเป็นการไม่สมควร
ก็ให้พวกมืออาชีพในวงการหนังสือตั้งให้ก็แล้วกัน ฮาๆๆๆ
ช่วยกันต่อยอดความคิดนี้หน่อยครับ
ขนาดมีตติ้ง
พวกคุณคนรุ่นใหม่ไฟแรงก็ทำกันมาแล้ว
แค่หนังสือเล่มเดียวน่าจะทำได้สบายมาก
อย่าลืมนะครับ ผมจองขั้นต่ำสิบหุ้น
ให้ลงขันกันออกเงินพิมพ์กระทู้ร่อนตะแกรงหุ้นออกมาเป็นหนังสือ
โดยจ้างบรรณาธิการเฉพาะกิจ
เสนอขายหุ้นไอพีโอ
ทุนจดทะเบียนสักสองแสนบาท หรือกี่แสนบาทก็ว่ากันไป
ขายหุ้นละหนึ่งพันบาท
ผมขอจองก่อนเลย สิบหุ้น หนึ่งหมื่นบาท
ถ้าเอากันจริงๆ เดี๋ยวผมจะลองอีเมล์ติดต่อ
คุณอินโนเวสเตอร์ซึ่งตัดต่อบทความของผม
ไปทำหนังสือให้ตลาดหลักทรัพย์ให้ครับ
กระทู้ดังกล่าว ผมว่าตรงกับแนวทางที่ตลาดหลักทรัพย์ต้องการมากที่สุด
นี่ผมยังคิดเล่นๆเลยว่า
ให้หนังสือชื่อ "คู่มือมนุษย์หุ้น" คงสะดุดตาคนอ่าน
แต่พอนึกไปถึงหนังสือของทาสพุทธทาส เรื่อง"คู่มือมนุษย์"
ก็เห็นว่าเป็นการไม่สมควร
ก็ให้พวกมืออาชีพในวงการหนังสือตั้งให้ก็แล้วกัน ฮาๆๆๆ
ช่วยกันต่อยอดความคิดนี้หน่อยครับ
ขนาดมีตติ้ง
พวกคุณคนรุ่นใหม่ไฟแรงก็ทำกันมาแล้ว
แค่หนังสือเล่มเดียวน่าจะทำได้สบายมาก
อย่าลืมนะครับ ผมจองขั้นต่ำสิบหุ้น
ตกลงก็ได้คุณธันวามาสานต่อแล้ว
ถ้าพิมพ์ออกมาได้จริงๆ
คุณธันวาน่าจะเป็นทั้งบรรณาธิการและคนเขียนคำนำ
เพราะเป็นคนทำให้เกิดกระทู้ยอดฮิตนี้ขึ้นมา
และมีความรู้ในศัพท์ต่างๆที่พูดคุยกัน
ไม่รู้ผมจะรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่า
ถ้าให้ซีเอ็ดพิมพ์ คนจะสนใจอ่านมากกว่างานของตลาดฯ
การใช้ชื่อคู่มือวีไอ ผมว่ามันไม่สะดุดตาครับ
เพราะมีคนอีกจำนวนมากที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ถึงเนื้อหาเราดี แต่ถ้าชื่อไม่สะดุดตาก็ทำให้คนมองผ่านได้
ดูอย่างหนังสือคุณเฟยหง
คงมีคนอ่านจำนวนมากเลย
ที่ซื้อเพียงเพราะคำว่า"รวยพันเท่า"บนปก
การที่คนอ่านจากเวบบอร์ดแล้วจะไม่อ่านหนังสือ
ไม่ต้องวิตกเลยครับ
ขนาดคอลัมส์ที่เขาเขียนลงในหนังสือพิมพ์รายวันหรือรายสัปดาห์
ยังสามารถนำมารวมเล่มขายดิบขายดี
เพราะเรื่องดีๆ จะมีคนอยากอ่านซ้ำถ้ามันสะดวกที่จะอ่านอีก
แม้แต่ผมเองก็อ่านแบบยาวมากๆจากเวปบอร์ดไม่ไหวเหมือนกัน
จะรอซื้อหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอน ถ้ามีออกมาขาย
ก็หวังว่าคุณธันวาคงสามารถตัดต่อเนื้อหาออกมา
ได้กระชับอ่านเข้าใจง่าย แม้แต่ผู้ที่เริ่มลงทุน
ความจริงมีอีกกระทู้หนึ่งที่ผมอยากอ่านแบบเป็นหนังสือ
ถ้าเอากระทู้ร่อนตะแกรงฯไปประกบเข้ากับกระทู้ข้างล่างได้
http://www.taladhoon.com/taladhoon/yabb ... eadid=3820
ผมว่าจะเป็นหนังสือคัมภีร์มนุษย์หุ้นที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
น่าเสียดายที่เจ้าของกระทู้นั้น หยุดโพสไปเฉยๆ
เพราะการขัดจังหวะของคนบางคนไม่ได้
ตกลงผมจะรอซื้อหนังสือ แทนการเป็นผู้ถือหุ้นนะครับ ฮาๆๆๆ
ถ้าพิมพ์ออกมาได้จริงๆ
คุณธันวาน่าจะเป็นทั้งบรรณาธิการและคนเขียนคำนำ
เพราะเป็นคนทำให้เกิดกระทู้ยอดฮิตนี้ขึ้นมา
และมีความรู้ในศัพท์ต่างๆที่พูดคุยกัน
ไม่รู้ผมจะรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่า
ถ้าให้ซีเอ็ดพิมพ์ คนจะสนใจอ่านมากกว่างานของตลาดฯ
การใช้ชื่อคู่มือวีไอ ผมว่ามันไม่สะดุดตาครับ
เพราะมีคนอีกจำนวนมากที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ถึงเนื้อหาเราดี แต่ถ้าชื่อไม่สะดุดตาก็ทำให้คนมองผ่านได้
ดูอย่างหนังสือคุณเฟยหง
คงมีคนอ่านจำนวนมากเลย
ที่ซื้อเพียงเพราะคำว่า"รวยพันเท่า"บนปก
การที่คนอ่านจากเวบบอร์ดแล้วจะไม่อ่านหนังสือ
ไม่ต้องวิตกเลยครับ
ขนาดคอลัมส์ที่เขาเขียนลงในหนังสือพิมพ์รายวันหรือรายสัปดาห์
ยังสามารถนำมารวมเล่มขายดิบขายดี
เพราะเรื่องดีๆ จะมีคนอยากอ่านซ้ำถ้ามันสะดวกที่จะอ่านอีก
แม้แต่ผมเองก็อ่านแบบยาวมากๆจากเวปบอร์ดไม่ไหวเหมือนกัน
จะรอซื้อหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอน ถ้ามีออกมาขาย
ก็หวังว่าคุณธันวาคงสามารถตัดต่อเนื้อหาออกมา
ได้กระชับอ่านเข้าใจง่าย แม้แต่ผู้ที่เริ่มลงทุน
ความจริงมีอีกกระทู้หนึ่งที่ผมอยากอ่านแบบเป็นหนังสือ
ถ้าเอากระทู้ร่อนตะแกรงฯไปประกบเข้ากับกระทู้ข้างล่างได้
http://www.taladhoon.com/taladhoon/yabb ... eadid=3820
ผมว่าจะเป็นหนังสือคัมภีร์มนุษย์หุ้นที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
น่าเสียดายที่เจ้าของกระทู้นั้น หยุดโพสไปเฉยๆ
เพราะการขัดจังหวะของคนบางคนไม่ได้
ตกลงผมจะรอซื้อหนังสือ แทนการเป็นผู้ถือหุ้นนะครับ ฮาๆๆๆ
ขออนุญาตกลับมาถามความคืบหน้า
เรื่องพิมพ์กระทู้เป็นหนังสือไปถึงไหนแล้วครับ
รออ่านอยู่ เพราะไม่ได้ตามอ่านกระทู้มานานแล้ว
อยากให้ทำออกมาเป็นสองเล่ม
เล่มแรกระดับเบสิก ผมจะขออ่านเล่มนี้ก่อน ฮาๆๆๆ
เล่มสองระดับแอดวานซ์ สำหรับพวกมือโปรฯ
สองสามวันก่อนผมไปดูหนังสือในซีเอ็ด
หนังสือแนววีไอของคุณเฟยหงขายดี พิมพ์ครั้งที่เจ็ดแล้ว
ขอเสนอของคุณคอนเนอร์ น่าสนใจ
ควรเชิญเข้าไปเป็นบรรณาธิการร่วม
พิมพ์ออกมาเร็วๆน่าจะดี
ตอนนี้นักลงทุนหน้าใหม่ๆเข้าตลาดเยอะจริงๆ
ถ้าไม่พกอะไรไว้เป็นอาวุธ นอกจากข่าวลือ ข่าวปล่อย ข่าววงใน
ระยะยาวลำบากแน่
ขอทักทายคุณปรัชญาในความเห็นนี้ด้วยครับ
เรื่องประสาทหูเสื่อม คงต้องทำตามที่คุณครรชิตแนะนำไว้
คือยอมรับสภาพ และอยู่กับมันต่อไปอย่างสันติ
รวยแล้วน่า เรื่องแค่นั้นเล็กน้อย ฮาๆๆ
สำหรับหุ้นสหพัฒน์ในตลาดมีดังนี้ครับ
อาหารมี
TF PR PB
เวชภัณฑ์มี
S & J
สิ่งทอมี
BNC BRC BTNC NPK PAF PG TNL TPCORP
WACOAL
พาณิชย์มี
ICC OCC NC SPC SPI
โฆษณามี
FE
รีแฮบมี
IFEC
ไอเฟคเป็นตัวที่เน่าที่สุดของสหพัฒน์
และเป็นหุ้นที่แสดงให้เห็นว่า
เราไม่ควรทำอะไรที่ตัวเองไม่ถนัด
ตามความรู้สึกส่วนตัวของผม
ซึ่งไม่มีหลักการทางงบการเงินแต่อย่างไร
หุ้นกลุ่มสหพัฒน์ขึ้นถึงจุดสูงสุด หรือไม่ก็เกือบสูงสุดแล้ว
ไปต่อยาก เพราะเจ้าของไม่ได้ลงมาช่วยปั่นกับรายใหญ่ในตลาด
เป็นหุ้นในตลาดเพียงกลุ่มเดียวที่ไม่เคยแจกวอร์แรนท์?
นอกจากโอซีซี ที่เคยลงมติแจกวอร์แรนท์ฟรีให้กับพนักงานบริษัท
ราคาใช้สิทธิ์ที่สามบาท
แต่เรื่องก็เงียบหายไป เข้าใจว่าคุณสำเริง มนูญผลอาจจะเบรคเอาไว้
ขออนุญาตท้วงติงอีกเรื่องครับคุณปรัชญา
โฟร์โมสต์ออกจากตลาด
โดยการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์จากผู้ถือหุ้นรายใหญ่
สัญชาติเนเธอร์แลนด์ครับ
ก่อนหน้านั้น
วอลล์ของยูนิลีเวอร์เพียงแต่มาซื้อเฉพาะแผนกไอศกรีมไปเท่านั้น
ผมก็ได้ขายไปตอนทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ออกจากตลาด
ที่ ๑๐๔ บาท(ซื้อมา ๔๐)
รออ่านหนังสือครับ
พิมพ์ออกมาเร็วๆหน่อย
เรื่องพิมพ์กระทู้เป็นหนังสือไปถึงไหนแล้วครับ
รออ่านอยู่ เพราะไม่ได้ตามอ่านกระทู้มานานแล้ว
อยากให้ทำออกมาเป็นสองเล่ม
เล่มแรกระดับเบสิก ผมจะขออ่านเล่มนี้ก่อน ฮาๆๆๆ
เล่มสองระดับแอดวานซ์ สำหรับพวกมือโปรฯ
สองสามวันก่อนผมไปดูหนังสือในซีเอ็ด
หนังสือแนววีไอของคุณเฟยหงขายดี พิมพ์ครั้งที่เจ็ดแล้ว
ขอเสนอของคุณคอนเนอร์ น่าสนใจ
ควรเชิญเข้าไปเป็นบรรณาธิการร่วม
พิมพ์ออกมาเร็วๆน่าจะดี
ตอนนี้นักลงทุนหน้าใหม่ๆเข้าตลาดเยอะจริงๆ
ถ้าไม่พกอะไรไว้เป็นอาวุธ นอกจากข่าวลือ ข่าวปล่อย ข่าววงใน
ระยะยาวลำบากแน่
ขอทักทายคุณปรัชญาในความเห็นนี้ด้วยครับ
เรื่องประสาทหูเสื่อม คงต้องทำตามที่คุณครรชิตแนะนำไว้
คือยอมรับสภาพ และอยู่กับมันต่อไปอย่างสันติ
รวยแล้วน่า เรื่องแค่นั้นเล็กน้อย ฮาๆๆ
สำหรับหุ้นสหพัฒน์ในตลาดมีดังนี้ครับ
อาหารมี
TF PR PB
เวชภัณฑ์มี
S & J
สิ่งทอมี
BNC BRC BTNC NPK PAF PG TNL TPCORP
WACOAL
พาณิชย์มี
ICC OCC NC SPC SPI
โฆษณามี
FE
รีแฮบมี
IFEC
ไอเฟคเป็นตัวที่เน่าที่สุดของสหพัฒน์
และเป็นหุ้นที่แสดงให้เห็นว่า
เราไม่ควรทำอะไรที่ตัวเองไม่ถนัด
ตามความรู้สึกส่วนตัวของผม
ซึ่งไม่มีหลักการทางงบการเงินแต่อย่างไร
หุ้นกลุ่มสหพัฒน์ขึ้นถึงจุดสูงสุด หรือไม่ก็เกือบสูงสุดแล้ว
ไปต่อยาก เพราะเจ้าของไม่ได้ลงมาช่วยปั่นกับรายใหญ่ในตลาด
เป็นหุ้นในตลาดเพียงกลุ่มเดียวที่ไม่เคยแจกวอร์แรนท์?
นอกจากโอซีซี ที่เคยลงมติแจกวอร์แรนท์ฟรีให้กับพนักงานบริษัท
ราคาใช้สิทธิ์ที่สามบาท
แต่เรื่องก็เงียบหายไป เข้าใจว่าคุณสำเริง มนูญผลอาจจะเบรคเอาไว้
ขออนุญาตท้วงติงอีกเรื่องครับคุณปรัชญา
โฟร์โมสต์ออกจากตลาด
โดยการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์จากผู้ถือหุ้นรายใหญ่
สัญชาติเนเธอร์แลนด์ครับ
ก่อนหน้านั้น
วอลล์ของยูนิลีเวอร์เพียงแต่มาซื้อเฉพาะแผนกไอศกรีมไปเท่านั้น
ผมก็ได้ขายไปตอนทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ออกจากตลาด
ที่ ๑๐๔ บาท(ซื้อมา ๔๐)
รออ่านหนังสือครับ
พิมพ์ออกมาเร็วๆหน่อย
ขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดพิมพ์หนังสือ
เพิ่งเริ่มเข้ามาศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นได้ไม่นาน และ www.thaivalueinvestorcom ก็เป็นที่หนึ่งที่ดิฉันได้ความรู้เพิ่มขึ้นมา และเนื่องจากมีประสบการณ์เกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์ก็เลยขออนุญาต ให้ข้อมูลในการจัดพิมพ์หนังสือที่คุยกันอย่ดังนี้ค่ะ
ในการจัดพิมพ์หนังสือต้องมีการจัดเตรียมต้นฉบับให้เรียบร้อยเสียก่อน ซึ่งเข้าใจว่าคุณธันวา คงได้รับมอบหมายไปโดยปริยายไปเรียบร้อยแล้ว
ต่อมาก็เข้าสู่ขั้นตอนการจัดพิมพ์ก็ทำได้โดย
1. ลงทุนในการจัดพิมพ์เอง โดยการระดมทุน หรือทุนส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ แล้วก็จัดหาคงมาจัดหน้า เรียงพิมพ์ แล้วก็ว่าจ้างโรงพิมพ์ให้พิมพ์ตามจำนวนที่ต้องการ
2. ติดต่อสำนักพิมพ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะสนใจ แล้วนำต้นฉบับไปนำเสนอ เช่น ที่ ซีเอ็ด ทางสำนักพิมพ์เองก็จะส่งเนื้อหาให้ทีมบรรณาธิการพิจารณาความเป็นไปได้ในการที่หนังสือจะขายออก เมื่อตกลง ก็เป็นหน้าที่ของทางสำนักพิมพ์ในการจัดพิมพ์ แล้วก็จะมีการตกลงกันเรื่องค่าต้นฉบับ เจ้าของต้นฉบับอาจจะได้รับเงินสดจำนวนหนึ่งล่วงหน้า(อาจจะไม่มาก หรือเกือบไม่มีเลย) และรายได้อื่นๆ ก็จะได้เป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายของหนังสือ ซึ่งเราก็ไม่มีทางรู้ได้ ก็ต้องเชื่อถือตามที่สำนักพิพม์แจ้งยอดมาให้
ขั้นตอนสุดท้ายการจัดจำหน่าย
1. กรณีที่เราลงทุนจัดพิมพ์กันเอง ก็สามารถไปติดต่อตัวแทนจำหน่ายที่ต่างๆเพื่อเป็นตัวกลางในการกระจายหนังสือออกจำหน่าย โดยเฉลี่ยคิดค่าธรรมเนียมที่ 37.5 - 50 % จากราคาปกจากยอดที่ขายได้ โดยจะมีงวดในการเช็คยอดขาย และระยะเวลาที่จะให้เครดิตในการเก็บเงินจากผู้จัดจำหน่าย โดยเฉลี่ยคาดว่าจะได้รับเงินงวดแรก ประมาณ 3-6เดือน นับจากวันส่งหนังสือ
2.ถ้าให้สำนักพิมพ์เป็นผู้ลงทุนในการจัดพิมพ์ ทางสำนักพิมพ์จะเป็นผู้ดำเนินการเรื่องช่องทางการจัดจำหน่ายให้เอง
ก็ขอให้ข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณานะคะ หรือมีคำถามอื่นๆเพิ่มเติมก็โพสต์ที่นี่ค่ะ ดิฉันก็จะยังคงติดตามความคืบหน้าของโครงการนี้ต่อไป
ในการจัดพิมพ์หนังสือต้องมีการจัดเตรียมต้นฉบับให้เรียบร้อยเสียก่อน ซึ่งเข้าใจว่าคุณธันวา คงได้รับมอบหมายไปโดยปริยายไปเรียบร้อยแล้ว
ต่อมาก็เข้าสู่ขั้นตอนการจัดพิมพ์ก็ทำได้โดย
1. ลงทุนในการจัดพิมพ์เอง โดยการระดมทุน หรือทุนส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ แล้วก็จัดหาคงมาจัดหน้า เรียงพิมพ์ แล้วก็ว่าจ้างโรงพิมพ์ให้พิมพ์ตามจำนวนที่ต้องการ
2. ติดต่อสำนักพิมพ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะสนใจ แล้วนำต้นฉบับไปนำเสนอ เช่น ที่ ซีเอ็ด ทางสำนักพิมพ์เองก็จะส่งเนื้อหาให้ทีมบรรณาธิการพิจารณาความเป็นไปได้ในการที่หนังสือจะขายออก เมื่อตกลง ก็เป็นหน้าที่ของทางสำนักพิมพ์ในการจัดพิมพ์ แล้วก็จะมีการตกลงกันเรื่องค่าต้นฉบับ เจ้าของต้นฉบับอาจจะได้รับเงินสดจำนวนหนึ่งล่วงหน้า(อาจจะไม่มาก หรือเกือบไม่มีเลย) และรายได้อื่นๆ ก็จะได้เป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายของหนังสือ ซึ่งเราก็ไม่มีทางรู้ได้ ก็ต้องเชื่อถือตามที่สำนักพิพม์แจ้งยอดมาให้
ขั้นตอนสุดท้ายการจัดจำหน่าย
1. กรณีที่เราลงทุนจัดพิมพ์กันเอง ก็สามารถไปติดต่อตัวแทนจำหน่ายที่ต่างๆเพื่อเป็นตัวกลางในการกระจายหนังสือออกจำหน่าย โดยเฉลี่ยคิดค่าธรรมเนียมที่ 37.5 - 50 % จากราคาปกจากยอดที่ขายได้ โดยจะมีงวดในการเช็คยอดขาย และระยะเวลาที่จะให้เครดิตในการเก็บเงินจากผู้จัดจำหน่าย โดยเฉลี่ยคาดว่าจะได้รับเงินงวดแรก ประมาณ 3-6เดือน นับจากวันส่งหนังสือ
2.ถ้าให้สำนักพิมพ์เป็นผู้ลงทุนในการจัดพิมพ์ ทางสำนักพิมพ์จะเป็นผู้ดำเนินการเรื่องช่องทางการจัดจำหน่ายให้เอง
ก็ขอให้ข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณานะคะ หรือมีคำถามอื่นๆเพิ่มเติมก็โพสต์ที่นี่ค่ะ ดิฉันก็จะยังคงติดตามความคืบหน้าของโครงการนี้ต่อไป
ขอทักทายคุณปรัชญาก่อนครับ
แสดงว่าโรคปลายประสาทหูเสื่อม
ยังไม่กระทบกระเทือนถึงการนอนหลับ
น่าจะรับสภาพตัวเองได้ครับ
ตอนนี้ไม่รู้เป็นไง
รอบข้างผมมีแต่ข่าวคนล้มป่วย
ที่หนักหนาที่สุดคือญาติร่วมสายโลหิต
เป็นโรค"ไม่"ติดเชื้อที่ร้ายแรงมาก เมื่อเทียบกับโรคของคุณปรัชญา
ผมเห็นสัจธรรมของคำคมจีนนี้มานานแล้ว
"พันคน ก็ทุกข์พันอย่าง ไม่มีใครทุกข์เรื่องเดียวกัน"
สำหรับเรื่องบูติคนิวซิตี้
คิดว่าคงไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
เมื่อสี่ห้าเดือนก่อน ผมเคยซื้อไปสองครั้งสองหมื่นหุ้น
ที่ราคาประมาณสิบแปดบาทห้าสิบสตางค์
ดังนั้นคุณศิริณาอาจจะทะยอยซื้อกลับเข้าพอร์ต
ปีที่แล้วบริษัทขาดุทนครับ เลยไม่มีปันผล
ปีนี้เริ่มกำไรเล็กน้อย
ที่ผมซื้อ ก็เพราะอาจเจอข่าวจากมติชน
คุณศิริณา กำลังถ่ายโอนอำนาจบริหารให้กับรุ่นลูก
ซึ่งเป็นหนุ่มสาวไฟแรง
พูดไปแล้วคือการถ่ายโอนภารกิจจากรุ่นคุณตา(เทียม โชควัฒนา) สู่รุ่นหลาน
เรียนคณะผู้จัดทำหนังสือ
ผมต้องขอตัวไม่เข้าร่วมประชุม
เอาเป็นว่าผมจะเป็นผู้ซื้อหนังสือ หรือเป็นผู้ถือหุ้นก็ได้
แล้วแต่มติของคุณจัดทำ
ถ้าลงทุนพิมพ์เองผมจะร่วมถือหุ้น
ถ้าให้สำนักพิมพ์จัดพิมพ์ก็จะเป็นผู้ซื้อมาอ่านครับ
เดี๋ยวในความเห็นต่อไป
จะเป็นข้อมูลที่คุณนกเพนกวินตัวอ้วนฯเคยให้กับผมไว้ทางอีเมล์
อาจจะเป็นประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย
แสดงว่าโรคปลายประสาทหูเสื่อม
ยังไม่กระทบกระเทือนถึงการนอนหลับ
น่าจะรับสภาพตัวเองได้ครับ
ตอนนี้ไม่รู้เป็นไง
รอบข้างผมมีแต่ข่าวคนล้มป่วย
ที่หนักหนาที่สุดคือญาติร่วมสายโลหิต
เป็นโรค"ไม่"ติดเชื้อที่ร้ายแรงมาก เมื่อเทียบกับโรคของคุณปรัชญา
ผมเห็นสัจธรรมของคำคมจีนนี้มานานแล้ว
"พันคน ก็ทุกข์พันอย่าง ไม่มีใครทุกข์เรื่องเดียวกัน"
สำหรับเรื่องบูติคนิวซิตี้
คิดว่าคงไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
เมื่อสี่ห้าเดือนก่อน ผมเคยซื้อไปสองครั้งสองหมื่นหุ้น
ที่ราคาประมาณสิบแปดบาทห้าสิบสตางค์
ดังนั้นคุณศิริณาอาจจะทะยอยซื้อกลับเข้าพอร์ต
ปีที่แล้วบริษัทขาดุทนครับ เลยไม่มีปันผล
ปีนี้เริ่มกำไรเล็กน้อย
ที่ผมซื้อ ก็เพราะอาจเจอข่าวจากมติชน
คุณศิริณา กำลังถ่ายโอนอำนาจบริหารให้กับรุ่นลูก
ซึ่งเป็นหนุ่มสาวไฟแรง
พูดไปแล้วคือการถ่ายโอนภารกิจจากรุ่นคุณตา(เทียม โชควัฒนา) สู่รุ่นหลาน
เรียนคณะผู้จัดทำหนังสือ
ผมต้องขอตัวไม่เข้าร่วมประชุม
เอาเป็นว่าผมจะเป็นผู้ซื้อหนังสือ หรือเป็นผู้ถือหุ้นก็ได้
แล้วแต่มติของคุณจัดทำ
ถ้าลงทุนพิมพ์เองผมจะร่วมถือหุ้น
ถ้าให้สำนักพิมพ์จัดพิมพ์ก็จะเป็นผู้ซื้อมาอ่านครับ
เดี๋ยวในความเห็นต่อไป
จะเป็นข้อมูลที่คุณนกเพนกวินตัวอ้วนฯเคยให้กับผมไว้ทางอีเมล์
อาจจะเป็นประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย
งานเขียน
สวัสดีครับ เฮียคลาย เครียด
พอดีมีเพื่อนในเว็บได้เข้าไปอ่านกระทู้ที่เว็บไซต์ ด้านล่าง..................
ผมเลยขออนุญาตเมล์มาคุยกับเฮียครับ เรื่องรายละเอียดคร่าวๆ
เกี่ยวกับงานเขียนอีกครั้งครับ (เฮียไม่ต้องตอบเมล์ก็ได้ครับ) ^.^
http://www.thaivalueinvestor.com/webboa ... php?t=1650
ส่วน Link ด้านล่างเป็นของเว็บไซต์ของซี-เอ็ด ครับ ......... อธิบายรายละเอียดทั่วไปครับ
http://www.se-ed.com/se-ed/default.aspx
http://www.se-ed.com/article/W_article.htm
http://www.se-ed.com/article/writer.htm
เสนอต้นฉบับ http://www.se-ed.com/combook/proposalregis.html
ผมได้เคยเข้าไปอ่านกระทู้ แต่นานมาแล้วไม่ได้เซฟไว้..........
แต่พอจำได้ลางๆ ครับ..........
ผมแบ่งงานออกเป็น 2 ลักษณะครับ คือ
1.การนำเสนองานเขียนให้กับทางสำนักพิมพ์
ทางสำนักพิมพ์จะเป็นผู้พิจารณางานเขียน
โดยให้ผู้เขียนเสนองานเข้าไป เช่น สารบัญ เนื้อหาประมาณ 1-2 บท
รวมถึงการวิเคราะห์ตลาด/ผู้อ่าน ? ตาม Link ด้านบนครับ (อาจใช้เวลานานพอสมควร)
ถ้าทางสำนักพิมพ์ตอบตกลง
ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการเซ็นสัญญาซึ่งเป็นสัญญาฉบับร่าง
และผู้เขียนต้องเขียนให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
แต่ ถ้ายังไม่เซ็นสัญญาฉบับล่าง ก็จะเป็นผลดีของทั้ง 2 ฝ่าย โดยเป็นการทำสัญญาทางคำพูด (ไม่มีผลทางกฎหมาย แต่ถ้านักเขียนผิดสัญญา งานเขียนครั้งถัดไปอาจไม่ได้รับการพิจารณา) ซึ่งทางสำนักพิมพ์จะซีเรียสเรื่องเวลามาก.........เพราะต้องมีการเตรียมงาน ตั้งแต่จองเวลาเกี่ยวกับโรงพิมพ์ การทำอาทเวิร์ก และการวางตลาด ฯลฯ
เมื่องานเขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางสำนักพิมพ์จะทำตามขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การขอลิขสิทธิ์ การจัดทำอาร์ทเวิร์ก ส่งเข้าโรงพิมพ์ และจัดจำหน่าย
.........................รายละเอียดอยู่ในสัญญาแต่ละฉบับ
2.การจัดทำหนังสือด้วยตนเอง (อันนี้ผมก็มะค่อยรู้เหมือนกันครับ แต่สามารถสอบถามจากทางสำนักพิมพ์ได้ครับ.........)
จัดทำเนื้อหา และ อาร์ทเวิร์ก ให้กับทางสำนักพิมพ์ โดยอาจเป็นการให้ทางสำนักพิมพ์ไหนก็ได้ เป็นผู้จัดพิมพ์และจัดจำหน่าย
ขอลิขสิทธิ์หนังสือ
ปัญหาเกี่ยวกับการจัดทำหนังสือด้วยตนเอง (ในครั้งแรก)
ตามที่ผมมองเห็นนะครับ.....................
เงินทุน ตามที่ผมได้ทราบมาจากเพื่อนๆ นะครับ (โดยประมาณ)
ผู้จัดพิมพ์/จัดจำหน่าย จะมีรายรับจากหนังสือเล่มนั้นๆ ............
~30 - 40% ของราคาปก
แผงหนังสือทั่วไป จะมีรายรับจากหนังสือเล่มนั้นๆ 40% ของราคาปก
สายส่ง จะมีรายรับจากหนังสือเล่มนั้นๆ ...........~10 20% ของราคาปก
นักเขียน จะมีรายรับจากหนังสือเล่มนั้นๆ 10% ของราคาปก
สมมุติ ราคาหนังสือ 120 บาท จัดพิมพ์ 3000 เล่ม
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 360,000 บาท
ค่าจ้างของทางสำนักพิมพ์ จัดพิมพ์และจัดจำหน่าย (ไม่รวมอาร์ทเวิร์ก ต้องเข้าไปคุยกับทางสำนักพิมพ์) ผมเดาว่าน่าจะประมาณ 20% ของราคาปกคูณด้วยจำนวนเล่ม ก็อยู่ประมาณ 24*3000 = 72,000 บาท
ส่วนรายรับกำไรของเราเอง ประมาณ 20% ของราคาปกคูณด้วยจำนวนเล่ม ก็อยู่ประมาณ 24*3000 = 72,000 บาท ซึ่ง ปัญหา คือ เรายังไม่ได้รับเงินนั้นทันที ทางเราต้องตรวจสอบยอดขายกับทางแผงหนังสือ กรณีนี้ เรายกตัวอย่างให้ทางสำนักพิมพ์เป็นผู้จัดพิมพ์และจัดจำหน่าย................ดังนั้น ทางสำนักพิมพ์จะตรวจสอบยอดขายทั้งหมดก่อนที่จะนำจ่ายรายรับนั้นๆ (รายละเอียดลึกๆ ผมยังไม่แน่ใจ ว่ามีรายละเอียดแบบไหน แต่อาจขึ้นอยู่กับการพูดคุย หรืออยู่ในสัญญาว่าจ้าง)
การจัดทำหนังสือด้วยตนเอง อาจมีความเสี่ยงพอสมควร เช่น
งบประมาณ รายจ่ายแอบแฝง
ระยะเวลา
ลิขสิทธิ์ เราต้องมีฝ่ายกฎหมาย หรือ ผู้รู้กฎหมายกรณีที่ถ้ามีการร่วมงานเขียน กันหลายคน และอาจมีการคัดลอกมาจากที่อื่น (อาจคัดลอกมาโดยไม่ตั้งใจก็ได้ครับ.........)
ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับการตัดสินใจในเรื่องนี้ (การนำเสนองานเขียนให้กับทางสำนักพิมพ์ / การจัดทำหนังสือด้วยตนเอง ) คงต้องมีการลงมติกันครับ ว่าจะเลือกแบบไหนดี ? และเนื้อหาจะออกมาในรูปแบบไหน ? หรือ เฮีย จะลองติดต่อผ่านไปยังพี่ อินโนเวสเตอร์ ของทางตลาดหลักทรัพย์ หรือติดต่อกับทางสำนักพิมพ์โดยตรงก็ได้ครับเพื่อจะได้ทราบเนื้อหาโดยรวม (ที่ต้องการ) ของทางตลาดหลักทรัพย์/หรือของทางสำนักพิมพ์ ครับ
ผมขออนุญาตร่วมทำงานด้วยครับ...............
แต่ขอเป็นลงแรงเยอะๆ หน่อยนะครับ ^.^
นกเพนกวินอ้วน
สวัสดีครับ เฮียคลาย เครียด
พอดีมีเพื่อนในเว็บได้เข้าไปอ่านกระทู้ที่เว็บไซต์ ด้านล่าง..................
ผมเลยขออนุญาตเมล์มาคุยกับเฮียครับ เรื่องรายละเอียดคร่าวๆ
เกี่ยวกับงานเขียนอีกครั้งครับ (เฮียไม่ต้องตอบเมล์ก็ได้ครับ) ^.^
http://www.thaivalueinvestor.com/webboa ... php?t=1650
ส่วน Link ด้านล่างเป็นของเว็บไซต์ของซี-เอ็ด ครับ ......... อธิบายรายละเอียดทั่วไปครับ
http://www.se-ed.com/se-ed/default.aspx
http://www.se-ed.com/article/W_article.htm
http://www.se-ed.com/article/writer.htm
เสนอต้นฉบับ http://www.se-ed.com/combook/proposalregis.html
ผมได้เคยเข้าไปอ่านกระทู้ แต่นานมาแล้วไม่ได้เซฟไว้..........
แต่พอจำได้ลางๆ ครับ..........
ผมแบ่งงานออกเป็น 2 ลักษณะครับ คือ
1.การนำเสนองานเขียนให้กับทางสำนักพิมพ์
ทางสำนักพิมพ์จะเป็นผู้พิจารณางานเขียน
โดยให้ผู้เขียนเสนองานเข้าไป เช่น สารบัญ เนื้อหาประมาณ 1-2 บท
รวมถึงการวิเคราะห์ตลาด/ผู้อ่าน ? ตาม Link ด้านบนครับ (อาจใช้เวลานานพอสมควร)
ถ้าทางสำนักพิมพ์ตอบตกลง
ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการเซ็นสัญญาซึ่งเป็นสัญญาฉบับร่าง
และผู้เขียนต้องเขียนให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
แต่ ถ้ายังไม่เซ็นสัญญาฉบับล่าง ก็จะเป็นผลดีของทั้ง 2 ฝ่าย โดยเป็นการทำสัญญาทางคำพูด (ไม่มีผลทางกฎหมาย แต่ถ้านักเขียนผิดสัญญา งานเขียนครั้งถัดไปอาจไม่ได้รับการพิจารณา) ซึ่งทางสำนักพิมพ์จะซีเรียสเรื่องเวลามาก.........เพราะต้องมีการเตรียมงาน ตั้งแต่จองเวลาเกี่ยวกับโรงพิมพ์ การทำอาทเวิร์ก และการวางตลาด ฯลฯ
เมื่องานเขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางสำนักพิมพ์จะทำตามขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การขอลิขสิทธิ์ การจัดทำอาร์ทเวิร์ก ส่งเข้าโรงพิมพ์ และจัดจำหน่าย
.........................รายละเอียดอยู่ในสัญญาแต่ละฉบับ
2.การจัดทำหนังสือด้วยตนเอง (อันนี้ผมก็มะค่อยรู้เหมือนกันครับ แต่สามารถสอบถามจากทางสำนักพิมพ์ได้ครับ.........)
จัดทำเนื้อหา และ อาร์ทเวิร์ก ให้กับทางสำนักพิมพ์ โดยอาจเป็นการให้ทางสำนักพิมพ์ไหนก็ได้ เป็นผู้จัดพิมพ์และจัดจำหน่าย
ขอลิขสิทธิ์หนังสือ
ปัญหาเกี่ยวกับการจัดทำหนังสือด้วยตนเอง (ในครั้งแรก)
ตามที่ผมมองเห็นนะครับ.....................
เงินทุน ตามที่ผมได้ทราบมาจากเพื่อนๆ นะครับ (โดยประมาณ)
ผู้จัดพิมพ์/จัดจำหน่าย จะมีรายรับจากหนังสือเล่มนั้นๆ ............
~30 - 40% ของราคาปก
แผงหนังสือทั่วไป จะมีรายรับจากหนังสือเล่มนั้นๆ 40% ของราคาปก
สายส่ง จะมีรายรับจากหนังสือเล่มนั้นๆ ...........~10 20% ของราคาปก
นักเขียน จะมีรายรับจากหนังสือเล่มนั้นๆ 10% ของราคาปก
สมมุติ ราคาหนังสือ 120 บาท จัดพิมพ์ 3000 เล่ม
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 360,000 บาท
ค่าจ้างของทางสำนักพิมพ์ จัดพิมพ์และจัดจำหน่าย (ไม่รวมอาร์ทเวิร์ก ต้องเข้าไปคุยกับทางสำนักพิมพ์) ผมเดาว่าน่าจะประมาณ 20% ของราคาปกคูณด้วยจำนวนเล่ม ก็อยู่ประมาณ 24*3000 = 72,000 บาท
ส่วนรายรับกำไรของเราเอง ประมาณ 20% ของราคาปกคูณด้วยจำนวนเล่ม ก็อยู่ประมาณ 24*3000 = 72,000 บาท ซึ่ง ปัญหา คือ เรายังไม่ได้รับเงินนั้นทันที ทางเราต้องตรวจสอบยอดขายกับทางแผงหนังสือ กรณีนี้ เรายกตัวอย่างให้ทางสำนักพิมพ์เป็นผู้จัดพิมพ์และจัดจำหน่าย................ดังนั้น ทางสำนักพิมพ์จะตรวจสอบยอดขายทั้งหมดก่อนที่จะนำจ่ายรายรับนั้นๆ (รายละเอียดลึกๆ ผมยังไม่แน่ใจ ว่ามีรายละเอียดแบบไหน แต่อาจขึ้นอยู่กับการพูดคุย หรืออยู่ในสัญญาว่าจ้าง)
การจัดทำหนังสือด้วยตนเอง อาจมีความเสี่ยงพอสมควร เช่น
งบประมาณ รายจ่ายแอบแฝง
ระยะเวลา
ลิขสิทธิ์ เราต้องมีฝ่ายกฎหมาย หรือ ผู้รู้กฎหมายกรณีที่ถ้ามีการร่วมงานเขียน กันหลายคน และอาจมีการคัดลอกมาจากที่อื่น (อาจคัดลอกมาโดยไม่ตั้งใจก็ได้ครับ.........)
ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับการตัดสินใจในเรื่องนี้ (การนำเสนองานเขียนให้กับทางสำนักพิมพ์ / การจัดทำหนังสือด้วยตนเอง ) คงต้องมีการลงมติกันครับ ว่าจะเลือกแบบไหนดี ? และเนื้อหาจะออกมาในรูปแบบไหน ? หรือ เฮีย จะลองติดต่อผ่านไปยังพี่ อินโนเวสเตอร์ ของทางตลาดหลักทรัพย์ หรือติดต่อกับทางสำนักพิมพ์โดยตรงก็ได้ครับเพื่อจะได้ทราบเนื้อหาโดยรวม (ที่ต้องการ) ของทางตลาดหลักทรัพย์/หรือของทางสำนักพิมพ์ ครับ
ผมขออนุญาตร่วมทำงานด้วยครับ...............
แต่ขอเป็นลงแรงเยอะๆ หน่อยนะครับ ^.^
นกเพนกวินอ้วน
คลายเครียด เขียน:ขอทักทายคุณปรัชญาก่อนครับ
แสดงว่าโรคปลายประสาทหูเสื่อม
ยังไม่กระทบกระเทือนถึงการนอนหลับ
น่าจะรับสภาพตัวเองได้ครับ
ตอนนี้ไม่รู้เป็นไง
รอบข้างผมมีแต่ข่าวคนล้มป่วย
ที่หนักหนาที่สุดคือญาติร่วมสายโลหิต
เป็นโรค"ไม่"ติดเชื้อที่ร้ายแรงมาก เมื่อเทียบกับโรคของคุณปรัชญา
ผมเห็นสัจธรรมของคำคมจีนนี้มานานแล้ว
"พันคน ก็ทุกข์พันอย่าง ไม่มีใครทุกข์เรื่องเดียวกัน"
สำหรับเรื่องบูติคนิวซิตี้
คิดว่าคงไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
เมื่อสี่ห้าเดือนก่อน ผมเคยซื้อไปสองครั้งสองหมื่นหุ้น
ที่ราคาประมาณสิบแปดบาทห้าสิบสตางค์
ดังนั้นคุณศิริณาอาจจะทะยอยซื้อกลับเข้าพอร์ต
ปีที่แล้วบริษัทขาดุทนครับ เลยไม่มีปันผล
ปีนี้เริ่มกำไรเล็กน้อย
ที่ผมซื้อ ก็เพราะอาจเจอข่าวจากมติชน
คุณศิริณา กำลังถ่ายโอนอำนาจบริหารให้กับรุ่นลูก
ซึ่งเป็นหนุ่มสาวไฟแรง
พูดไปแล้วคือการถ่ายโอนภารกิจจากรุ่นคุณตา(เทียม โชควัฒนา) สู่รุ่นหลาน
เรียนคณะผู้จัดทำหนังสือ
ผมต้องขอตัวไม่เข้าร่วมประชุม
เอาเป็นว่าผมจะเป็นผู้ซื้อหนังสือ หรือเป็นผู้ถือหุ้นก็ได้
แล้วแต่มติของคุณจัดทำ
ถ้าลงทุนพิมพ์เองผมจะร่วมถือหุ้น
ถ้าให้สำนักพิมพ์จัดพิมพ์ก็จะเป็นผู้ซื้อมาอ่านครับ
เดี๋ยวในความเห็นต่อไป
จะเป็นข้อมูลที่คุณนกเพนกวินตัวอ้วนฯเคยให้กับผมไว้ทางอีเมล์
อาจจะเป็นประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย

และพิมพ์ออกขาย วางตลาดหรือยังครับ
จะได้ซื้อเก็บไว้ให้ลูกหลานดู
ว่านี่เป็นเฮียคลายเครียด
เป็นญาติผู้ใหญ่ภรรยาของเฮียเป็นป้ารหัส NU11
จะได้บอกว่านี่คือข้อเขียนจากประสพการณ์จริง
ของคนที่ผมรักและนับถือมากครับ
ต้องขอโทษที่เข้าไปโพท์สในพันทิบไม่ได้
เพราะไม่ได้ต่อบัตรครับ
ขอใฮยมีความสุข สุขภาพแข็งแรง
ใครจะคิดอย่างไรกับเฮียผมไม่รู้
แต่ผมรู้ว่าเฮียจริงใจกับทุกๆคนที่เฮียรู้จักครับ
ขอแสดงความรักความนับถือ
ปรัชญา
คุณวิบูลย์
ผมว่าเราเลี่ยงบาลีได้นะ
ก็เอามาเป็นข้อความอ้างอิงทำนอง
คุณวอเรน บุฟเฟ่ต์กล่าวไว้ว่า
คุณปรัชญา
ผมคงสื่อความหมายผิดพลาด
ผู้จัดทำไม่ได้เอากระทู้ทั้งหมดไปพิมพ์ครับ
เขาเพียงแต่ขอสองกระทู้นำไปดัดแปลง
ให้เข้ากับหนังสือที่จะจัดทำให้ตลาดหลักทรัพย์
ตอนนี้ก็ขาดการติดต่อไปเกือบสองอาทิตย์แล้ว
เลยไม่รู้ว่าจะนำไปใช้หรือเปล่า
เพราะครั้งสุดท้ายที่ติดต่อกัน
ผมยืนยันว่าไม่ให้ลบคำว่า
"เกมล่าส่วนเกินทุน" ในบทความของผม
ซึ่งทางผู้จัดทำรับปาก แต่ก็คงลำบากใจ
เนื่องจากผิดแนวทางของตลาดหลักทรัพย์
นี่ก็ยังไม่รู้จะเป็นไง
แต่ถึงไม่เอาบทความไปอ้างอิง ผมก็เฉยๆครับ
บางครั้งถึงเราจะอยากได้หน้า ฮาๆๆๆ
ก็ต้องรักษาแนวคิดของเราไว้ด้วยครับ
ไปๆมาๆ ผมว่าแนวทางหนังสือของคุณวิบูลย์
น่าจะตรงกับวัตถุประสงค์ของตลาดหลักทรัพย์อย่างที่สุด
น่าจะลองติดต่อฝ่ายสิ่งพิมพ์ของตลาดฯ
ผมว่าเราเลี่ยงบาลีได้นะ
ก็เอามาเป็นข้อความอ้างอิงทำนอง
คุณวอเรน บุฟเฟ่ต์กล่าวไว้ว่า
คุณปรัชญา
ผมคงสื่อความหมายผิดพลาด
ผู้จัดทำไม่ได้เอากระทู้ทั้งหมดไปพิมพ์ครับ
เขาเพียงแต่ขอสองกระทู้นำไปดัดแปลง
ให้เข้ากับหนังสือที่จะจัดทำให้ตลาดหลักทรัพย์
ตอนนี้ก็ขาดการติดต่อไปเกือบสองอาทิตย์แล้ว
เลยไม่รู้ว่าจะนำไปใช้หรือเปล่า
เพราะครั้งสุดท้ายที่ติดต่อกัน
ผมยืนยันว่าไม่ให้ลบคำว่า
"เกมล่าส่วนเกินทุน" ในบทความของผม
ซึ่งทางผู้จัดทำรับปาก แต่ก็คงลำบากใจ
เนื่องจากผิดแนวทางของตลาดหลักทรัพย์
นี่ก็ยังไม่รู้จะเป็นไง
แต่ถึงไม่เอาบทความไปอ้างอิง ผมก็เฉยๆครับ
บางครั้งถึงเราจะอยากได้หน้า ฮาๆๆๆ
ก็ต้องรักษาแนวคิดของเราไว้ด้วยครับ
ไปๆมาๆ ผมว่าแนวทางหนังสือของคุณวิบูลย์
น่าจะตรงกับวัตถุประสงค์ของตลาดหลักทรัพย์อย่างที่สุด
น่าจะลองติดต่อฝ่ายสิ่งพิมพ์ของตลาดฯ
คุณวิบูลย์
อย่าว่าแต่ขอเสนอขนาดนั้นเลยครับ
แค่ตลาดหลักทรัพย์ประกาศให้
ทุกรายการซื้อหุ้น ต้องจ่ายเป็นเช็คเต็มจำนวนเงินที่ซื้อ
และ
กระทรวงการคลังประกาศเก็บภาษีเงินกำไรส่วนเงินทุนจากบุคคลธรรมดา
ผมฟันธงเลยว่า ได้เห็นนิ้วชี้ตลาดหลักทรัพย์ที่ห้าร้อยจุดอย่างแน่นอน
ทุกวันนี้ ทุกการกระทำของตลาดหลักทรัพย์ก็เหมือนกับ
"ปากว่า ตาขยิบ" เพราะเห็นแก่ค่าต๋งจำนวนมหาศาลของโบรกเกอร์
ใครเขาจะเห็นแก่นักลงทุนรายย่อย
ในเมื่อไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงแม้แต่นิดเดียว
ไม่ว่าจะในการเลือกผู้บริหารตลาด หรือการกำหนดทิศทางของตลาดฯ
ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ไม่เคยมองเห็นหัวนักลงทุนรายย่อย
ทั้งๆที่เงินค่าต๋งของพวกเราๆท่านๆนี่แหละ
เป็นรายได้หลักที่สำคัญในการหล่อเลี้ยงองค์กรของตลาดฯ
คุณนักดูดาว
ผมและสมาชิกห้องสินธรคงได้ร่วมทำบุญกับบ้านครูน้อย
หลังจากผมได้อีเมล์ถามความคืบหน้าไปเมื่อวาน
ทางผู้จัดพิมพ์ได้ยืนยันกลับมาแล้วว่า
หนังสือจะเสร็จในอีกสามเดือนข้างหน้าครับ
ดังนั้นผมจึงเสนอให้นำเงินค่าตอบแทนของบทความสองกระทู้
จำนวนสามพันบาท บริจาดเข้ากองทุนบ้านครูน้อย
คิดว่าคุณสุเกียงและคุณพ่อน้องพลอยก็คงเห็นชอบด้วย
อย่าว่าแต่ขอเสนอขนาดนั้นเลยครับ
แค่ตลาดหลักทรัพย์ประกาศให้
ทุกรายการซื้อหุ้น ต้องจ่ายเป็นเช็คเต็มจำนวนเงินที่ซื้อ
และ
กระทรวงการคลังประกาศเก็บภาษีเงินกำไรส่วนเงินทุนจากบุคคลธรรมดา
ผมฟันธงเลยว่า ได้เห็นนิ้วชี้ตลาดหลักทรัพย์ที่ห้าร้อยจุดอย่างแน่นอน
ทุกวันนี้ ทุกการกระทำของตลาดหลักทรัพย์ก็เหมือนกับ
"ปากว่า ตาขยิบ" เพราะเห็นแก่ค่าต๋งจำนวนมหาศาลของโบรกเกอร์
ใครเขาจะเห็นแก่นักลงทุนรายย่อย
ในเมื่อไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงแม้แต่นิดเดียว
ไม่ว่าจะในการเลือกผู้บริหารตลาด หรือการกำหนดทิศทางของตลาดฯ
ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ไม่เคยมองเห็นหัวนักลงทุนรายย่อย
ทั้งๆที่เงินค่าต๋งของพวกเราๆท่านๆนี่แหละ
เป็นรายได้หลักที่สำคัญในการหล่อเลี้ยงองค์กรของตลาดฯ
คุณนักดูดาว
ผมและสมาชิกห้องสินธรคงได้ร่วมทำบุญกับบ้านครูน้อย
หลังจากผมได้อีเมล์ถามความคืบหน้าไปเมื่อวาน
ทางผู้จัดพิมพ์ได้ยืนยันกลับมาแล้วว่า
หนังสือจะเสร็จในอีกสามเดือนข้างหน้าครับ
ดังนั้นผมจึงเสนอให้นำเงินค่าตอบแทนของบทความสองกระทู้
จำนวนสามพันบาท บริจาดเข้ากองทุนบ้านครูน้อย
คิดว่าคุณสุเกียงและคุณพ่อน้องพลอยก็คงเห็นชอบด้วย
ตลาดไม่น่าจะมีหน้าที่ในการคุ้มครองนักลงทุนจากความโลภ หรือจากการลงทุนที่ไม่มีการเตรียมตัวที่ดีจากตัวนักลงทุน
ตลาดควรจะมีมาตรการในการจัดการกับบริษัทที่กระทำผิดให้แรงขึ้น ในกรณื Rxxxxx นั้น การลงโทษจูงใจให้กระทำผิดอย่างมาก โดยบทลงโทษไม่ให้ทำงานต่อ (ห้ามเป็นผู้บริหาร บมจ.) ซึ่งคนที่ทำผิดได้เงินมากขนาดนั้นก็อาจตั้งใจ Retire Young อยู่แล้ว
เครื่องมือต่างๆ เข่น Short Sell, Options ก็ควรจะมีให้กับนักลงทุนทุกคน มุมมองที่มีต่อนักลงทุนก็ควรเปลี่ยนว่านักลงทุนนั้นไม่ใช่ลูก ที่ไม่รู้เดียงสา หรือโง่
ข่าวสารและข้อมูลก็ควรจะรวดเร็ว ถูกต้อง และสะดวกในการเข้าถึง
นักลงทุนในระบบมีปริมาณผมเดาว่ามีเพียง500,000คน ส่วนใหญ่ก็รู้อยู่ว่าหุ้นที่ซื้อนั้นเป็นเข้าข่ายหุ้นปั่นหรือไม่ปั่น คนที่หาเงินได้จนเข้ามาซื้อขายหรือลงทุนนั้นก็น่าจะรู้จักชีวิตมากพอที่จะดูแลตัวเอง
หมายเหตุ ผู้บริหาร Enron โดนเข้าคุก
ตลาดควรจะมีมาตรการในการจัดการกับบริษัทที่กระทำผิดให้แรงขึ้น ในกรณื Rxxxxx นั้น การลงโทษจูงใจให้กระทำผิดอย่างมาก โดยบทลงโทษไม่ให้ทำงานต่อ (ห้ามเป็นผู้บริหาร บมจ.) ซึ่งคนที่ทำผิดได้เงินมากขนาดนั้นก็อาจตั้งใจ Retire Young อยู่แล้ว
เครื่องมือต่างๆ เข่น Short Sell, Options ก็ควรจะมีให้กับนักลงทุนทุกคน มุมมองที่มีต่อนักลงทุนก็ควรเปลี่ยนว่านักลงทุนนั้นไม่ใช่ลูก ที่ไม่รู้เดียงสา หรือโง่
ข่าวสารและข้อมูลก็ควรจะรวดเร็ว ถูกต้อง และสะดวกในการเข้าถึง
นักลงทุนในระบบมีปริมาณผมเดาว่ามีเพียง500,000คน ส่วนใหญ่ก็รู้อยู่ว่าหุ้นที่ซื้อนั้นเป็นเข้าข่ายหุ้นปั่นหรือไม่ปั่น คนที่หาเงินได้จนเข้ามาซื้อขายหรือลงทุนนั้นก็น่าจะรู้จักชีวิตมากพอที่จะดูแลตัวเอง
หมายเหตุ ผู้บริหาร Enron โดนเข้าคุก
เห็นด้วยกับคุณลูกอิสานครับ
พิมพ์ออกมาเลย ไม่ต้องกลัวเจ๊ง
ถ้ากลัวก็เอาแบบลงขันกันก็ได้
ผมยืนยันตามเดิมครับ ซื้อสิบหุ้นหนึ่งหมื่นบาท
จะได้มีหนังสืออีกแนวทางหนึ่งไว้อ่าน
เพิ่มความรู้ในการเล่นเกมล่าส่วนเกินทุน
ในความเห็นของผม
ผมถือว่า ทุกคนที่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นคือ
นักเล่นเกมล่าส่วนเกินทุนทั้งสิ้น จะต่างกันตรงที่
แนวทางนักลงทุนก็คือ
การซื้อหุ้นไปตามกระแสเงินที่หมุนเวียนอยู่ในบริษัทหรือผลประกอบการ
ส่วนแนวทางเก็งกำไรก็คือ
การซื้อหุ้นไปตามกระแสเงินที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
ด้วยการซื้อตามข่าวลือ ข่าวปล่อย ข่าววงใน
และกราฟแท่ง กราฟเส้นที่ชี้ให้เห็นแรงกรรมแห่งความโลภและความกลัว
ช่วงนี้เกมล่าส่วนเกินทุนคึกสุดขีด
เพราะมีเงินก้อนใหม่ๆซึ่งทนดอกเบี้ยเงินฝากถูกๆไม่ได้
ตามเข้ามาเล่นเกมแบบเงินต่อเงิน
แรงกรรมแห่งความโลภ จึงสามารถเหวี่ยงราคาหุ้นไปมา
แบบไม่สนใจผลประกอบการเท่าไร
ในตอนนี้ หุ้นไม่มีคำว่าดีหรือเน่า
มีแต่ขึ้นหรือลง
แล้วแต่ว่าคนจำนวนน้อยที่มีเงินมาก(ต่างชาติ กองทุน เซียนหุ้นรายใหญ่)
จะเลือกหยิบไพ่สำรับไหนขึ้นมาเล่น
แล้วทำให้คนจำนวนมากที่มีเงินน้อยเล่นตาม
ดังนั้นในภาวะกระทิงดุ แนวทางการเล่นหุ้นแบบนักลงทุน
จะเสื่อมความนิยมลงไปบ้าง
เพราะคำว่าหุ้นดีหรือหุ้นเน่า
สำคัญน้อยกว่าคำว่าหุ้นขึ้นหรือหุ้นลงมาก
ซึ่งถ้าผมตามเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรว่าขึ้นหรือลง
วิธีเดียวที่ผมคิดว่าจะเอาตัวรอดได้ก็คือ
ควบคุมปริมาณความโลภด้วยวิธีการทำคลายเครียดเรโช
แต่กับการเล่นเกมล่าส่วนเกินทุนด้วยการดูกระแสเงินที่หมุนเวียนอยู่ในบริษัท
ถ้าเราดูเป็น แล้วเอามาเทียบกับราคาหุ้นในตลาดให้เหมาะสม
ผมยังนึกไม่ออกเลยว่า เราจะเจ๊งหุ้นได้ไง
ที่สำคัญเราก็ไม่ต้องคอยจำกัดปริมาณความโลภ
เพราะเงินลงทุนของเราจะเหวี่ยงไปตามแรงกรรมของผลประกอบการ
ไม่ใช่แรงกรรมแห่งความโลภของผู้คนในตลาดหุ้น
พิมพ์ออกมาเลย ไม่ต้องกลัวเจ๊ง
ถ้ากลัวก็เอาแบบลงขันกันก็ได้
ผมยืนยันตามเดิมครับ ซื้อสิบหุ้นหนึ่งหมื่นบาท
จะได้มีหนังสืออีกแนวทางหนึ่งไว้อ่าน
เพิ่มความรู้ในการเล่นเกมล่าส่วนเกินทุน
ในความเห็นของผม
ผมถือว่า ทุกคนที่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นคือ
นักเล่นเกมล่าส่วนเกินทุนทั้งสิ้น จะต่างกันตรงที่
แนวทางนักลงทุนก็คือ
การซื้อหุ้นไปตามกระแสเงินที่หมุนเวียนอยู่ในบริษัทหรือผลประกอบการ
ส่วนแนวทางเก็งกำไรก็คือ
การซื้อหุ้นไปตามกระแสเงินที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
ด้วยการซื้อตามข่าวลือ ข่าวปล่อย ข่าววงใน
และกราฟแท่ง กราฟเส้นที่ชี้ให้เห็นแรงกรรมแห่งความโลภและความกลัว
ช่วงนี้เกมล่าส่วนเกินทุนคึกสุดขีด
เพราะมีเงินก้อนใหม่ๆซึ่งทนดอกเบี้ยเงินฝากถูกๆไม่ได้
ตามเข้ามาเล่นเกมแบบเงินต่อเงิน
แรงกรรมแห่งความโลภ จึงสามารถเหวี่ยงราคาหุ้นไปมา
แบบไม่สนใจผลประกอบการเท่าไร
ในตอนนี้ หุ้นไม่มีคำว่าดีหรือเน่า
มีแต่ขึ้นหรือลง
แล้วแต่ว่าคนจำนวนน้อยที่มีเงินมาก(ต่างชาติ กองทุน เซียนหุ้นรายใหญ่)
จะเลือกหยิบไพ่สำรับไหนขึ้นมาเล่น
แล้วทำให้คนจำนวนมากที่มีเงินน้อยเล่นตาม
ดังนั้นในภาวะกระทิงดุ แนวทางการเล่นหุ้นแบบนักลงทุน
จะเสื่อมความนิยมลงไปบ้าง
เพราะคำว่าหุ้นดีหรือหุ้นเน่า
สำคัญน้อยกว่าคำว่าหุ้นขึ้นหรือหุ้นลงมาก
ซึ่งถ้าผมตามเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรว่าขึ้นหรือลง
วิธีเดียวที่ผมคิดว่าจะเอาตัวรอดได้ก็คือ
ควบคุมปริมาณความโลภด้วยวิธีการทำคลายเครียดเรโช
แต่กับการเล่นเกมล่าส่วนเกินทุนด้วยการดูกระแสเงินที่หมุนเวียนอยู่ในบริษัท
ถ้าเราดูเป็น แล้วเอามาเทียบกับราคาหุ้นในตลาดให้เหมาะสม
ผมยังนึกไม่ออกเลยว่า เราจะเจ๊งหุ้นได้ไง
ที่สำคัญเราก็ไม่ต้องคอยจำกัดปริมาณความโลภ
เพราะเงินลงทุนของเราจะเหวี่ยงไปตามแรงกรรมของผลประกอบการ
ไม่ใช่แรงกรรมแห่งความโลภของผู้คนในตลาดหุ้น
เรียนเพื่อนสมาชิกทุท่าน
ผมคิดว่างานคุณภาพขายได้แน่ครับ ถ้ามีการตั้งชื่อที่ดึงดูดใจ เช่น
รวมพลคนรวยหุ้น( แบบไม่เสี่ยง)
ปรัชญาการรวยหุ้นแบบพื้นฐาน ***ชื่อนี้ให้เกียรติพี่ปรัชญาในตัวที่เป็นผู้ให้ที่ดีสำหรับพวกเรา***
ใครเก็งกำไรช่างเขา เรารวยอย่างเดียว
ดัชนีรวย สำหรับคนที่ไม่อยากเป็นแมงเม่า
ฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯ
สำหรับการที่จะให้สำนักใดพิมพ์และจัดจำหน่าย
ผมคิดว่าเราสามารถวิเคราะห์ได้แบบชาวVI เพราะมีเงื่อนไขมากมายที่เรากำหนดได้ ยิ่งพวกเราไม่หวังกำไรเป็นเม็ดเงินมาแจกจ่ายกันยิ่งสบายครับ
เท่าที่ทราบ 50-65% เป็นของสำนักพิมพ์และจัดจำหน่าย ถ้าเราไม่ดังพอ
ปล. ถึงคุณ มน (ว่าที่บ.ก.)ผมอยู่ใกล้บ้านคุณ ถ้าวันไหนว่างเชิญนั่งปรึกษากันได้
อยู่แค่ ชิชา นี่เอง ว่างเมื่อไหร่โทรนัดได้เลยครับ 01-612-6133
***ขอโทษ พี่ ปรัชญา ที่ทำให้เข้าใจผิด ( ปากท่อ=ถ.ธนบุรี -ปากท่อ=ถ.พระราม 2 )
ผมคิดว่างานคุณภาพขายได้แน่ครับ ถ้ามีการตั้งชื่อที่ดึงดูดใจ เช่น
รวมพลคนรวยหุ้น( แบบไม่เสี่ยง)
ปรัชญาการรวยหุ้นแบบพื้นฐาน ***ชื่อนี้ให้เกียรติพี่ปรัชญาในตัวที่เป็นผู้ให้ที่ดีสำหรับพวกเรา***
ใครเก็งกำไรช่างเขา เรารวยอย่างเดียว
ดัชนีรวย สำหรับคนที่ไม่อยากเป็นแมงเม่า
ฯลฯฯลฯฯลฯฯลฯ
สำหรับการที่จะให้สำนักใดพิมพ์และจัดจำหน่าย
ผมคิดว่าเราสามารถวิเคราะห์ได้แบบชาวVI เพราะมีเงื่อนไขมากมายที่เรากำหนดได้ ยิ่งพวกเราไม่หวังกำไรเป็นเม็ดเงินมาแจกจ่ายกันยิ่งสบายครับ
เท่าที่ทราบ 50-65% เป็นของสำนักพิมพ์และจัดจำหน่าย ถ้าเราไม่ดังพอ
ปล. ถึงคุณ มน (ว่าที่บ.ก.)ผมอยู่ใกล้บ้านคุณ ถ้าวันไหนว่างเชิญนั่งปรึกษากันได้
อยู่แค่ ชิชา นี่เอง ว่างเมื่อไหร่โทรนัดได้เลยครับ 01-612-6133
***ขอโทษ พี่ ปรัชญา ที่ทำให้เข้าใจผิด ( ปากท่อ=ถ.ธนบุรี -ปากท่อ=ถ.พระราม 2 )
คุณวิบูลย์
แจกปีใหม่คงไม่ทัน
สำหรับผม
นานแค่ไหนก็จะรอ"ซื้อ" อ่าน
อย่าทำแจกครับ ไม่งั้นคนไม่เห็นค่า
ถ้าหาผู้จัดพิมพ์ไม่ได้จริงๆลองติดต่อแผนกสิ่งพิมพ์ของตลาดฯดูซิครับ
[email protected]
แจกปีใหม่คงไม่ทัน
สำหรับผม
นานแค่ไหนก็จะรอ"ซื้อ" อ่าน
อย่าทำแจกครับ ไม่งั้นคนไม่เห็นค่า
ถ้าหาผู้จัดพิมพ์ไม่ได้จริงๆลองติดต่อแผนกสิ่งพิมพ์ของตลาดฯดูซิครับ
[email protected]