คุณค่าของความดัง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

คุณค่าของความดัง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ ต.ค. 21, 2012 9:41 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor       20 ตุลาคม 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คุณค่าของความดัง

	เมื่อเร็ว ๆ  นี้ผมอ่านเจอข่าวเล็ก ๆ  ในหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับ ไทเกอร์ วู้ด อดีตนักกอล์ฟหมายเลขหนึ่งที่เคยโด่งดังก้องโลกของวงการกีฬา  ข่าวบอกว่าวู้ดทำรายได้จากการแข่งขันทะลุ 100 ล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 3,000 ล้านบาท   ฟังดูก็ต้องบอกว่ามากมายสำหรับคนที่ทำงานใช้แรงกายแรงใจและการฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดชีวิตซึ่งน่าจะไม่ต่ำกว่า 30 ปี  ซึ่งแปลว่าโดยเฉลี่ยแล้วเขาทำเงินจากการแข่งขันได้ปีละประมาณ 100 ล้านบาทหรือเดือนละ 8-9 ล้านบาทและน่าจะเป็นนักกีฬาที่ทำเงินมากที่สุดคนหนึ่ง  และนี่ก็คือ  “คุณค่าของการทำงาน”    อย่างไรก็ตาม  ในข่าวยังบอกต่อว่า   ความมั่งคั่งของ ไทเกอร์ วู้ด จากการประมาณของผู้รู้ที่ติดตามข้อมูลส่วนตัวของเขานั้นอยู่ที่ประมาณ  600 ล้านเหรียญหรือ  18,000  ล้านบาท  คิดเป็น 6 เท่าของรายได้ที่เกิดจาก “น้ำพักน้ำแรง”   เงิน 500 ล้านเหรียญที่เกินมานั้น  มาจากการโฆษณาและการเป็นพรีเซ็นเตอร์ต่าง ๆ  ให้กับสินค้าหรือบริษัทที่จ้างเขาตลอดเวลาที่เขาเป็นคนดังมีชื่อเสียงในฐานะนักกอล์ฟที่โดดเด่นในระดับตำนานมานับสิบปี  และสำหรับผมแล้ว  นี่ก็คือ  “คุณค่าของความดัง”  ซึ่งในยุคสมัยนี้มีค่าสูงลิ่วโดยเฉพาะในสังคมที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
	ในเมืองไทยเองนั้น  ปรากฏการณ์เรื่องของ  “คุณค่าของความดัง”  เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในระยะหลัง ๆ ที่สังคมของเรารวยขึ้นเรื่อย ๆ   ผมยังจำได้ว่าเมื่อสมัยที่ผมยังเป็นเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น  ดาราที่เป็นซุปเปอร์สตาร์ในสมัยนั้นมีเพียง 4-5 คนเป็นอย่างมากในแต่ละทศวรรษ   พวกเขาเหล่านั้นมักจะแสดงหนังกันเป็นร้อย ๆ  เรื่องต่อเนื่องกัน  บางคนต้องตาบอดเพราะต้องมองแสงไฟที่จ้ามากในการถ่ายทำภาพยนตร์ในสมัยนั้น  แต่รายได้จากการแสดงกลับน้อยมาก  ผมไม่รู้ว่าเท่าไร  รู้แต่ว่าเมื่อพวกเขาเลิกแสดงไปแล้ว  ก็ไม่ได้เป็นคนร่ำรวยอย่างที่ควรจะเป็น  เทียบไปแล้วยังด้อยกว่าคนทำงานบริษัทที่กลายเป็นผู้บริหารมาก   ว่าที่จริงในสมัยนั้นแทบจะพูดกันว่าถ้าคุณเรียนจบมหาวิทยาลัย  คุณจะไม่เลือกเป็นดาราด้วยซ้ำ  เพราะอาชีพดารานั้น  “เต้นกินรำกิน”  ไม่ใคร่จะมี  “ศักดิ์ศรี”  อะไรนัก  และคุณอย่าหวังที่จะได้แต่งงานกับ  “ไฮโซ”  ในสังคม   ความดังนั้น  มีคุณค่าที่เป็นเม็ดเงินน้อยมาก
	ดาราไทยสมัยนี้  อาจจะไม่ได้ต่างกับดาราในฮอลลีวู้ดมากนักในแง่ของสัดส่วนรายได้ที่มาจากการแสดงและการโฆษณา   ดาราระดับซุปเปอร์สตาร์ของไทยเดี๋ยวนี้ทำเงินเป็นร้อยและอาจจะมีที่ทำเงินได้แล้วเป็น 1,000 ล้านบาท  ส่วนใหญ่จากชื่อเสียงหรือ  “ความดัง”   และแม้ว่านักกีฬาจะยังทำเงินไม่ได้มากเท่าเนื่องจากส่วนมากยังไม่ได้เป็นนักกีฬาอาชีพ   แต่นักกีฬาที่ดังมาก ๆ  ซึ่งบางคนอาจจะเนื่องจากการได้เหรียญในกีฬาโอลิมปิกก็สามารถทำเงินได้หลายสิบล้านหรือบางคนก็เป็นร้อยล้านบาทจาก  “ความดัง”
	จริงอยู่  ถ้าฝีมือการทำงาน  ไม่ว่าจะเป็นการแสดง  การร้องเพลง   การพูด  และการเล่นกีฬาไม่ดีหรือโดดเด่นพอ  “ความดัง”  ก็จะไม่เกิด  แต่แค่ทำงานได้ดีหรือมีฝีมือในการทำงานอย่างเดียว   ความดังก็อาจจะไม่มา   ความดังนั้น   เป็นเรื่องที่ต้อง  “จัดการ”  จะต้องมีกลยุทธ์และมีการวางตำแหน่งแบบการตลาดเพื่อให้ความดังขึ้นสูงและคงระดับไว้อย่างนั้นให้นานเท่าที่จะทำได้  พูดอีกทางหนึ่งก็คือ  ความดังนั้นคล้าย ๆ  ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่เจ้าตัวจะต้อง  “ขาย”  ให้กับคนในสังคม   คนที่จัดการไม่เป็นหรือทำผิดพลาดจะทำให้  “ความดัง”  เสียหาย  บางครั้งถึงขั้น  “หายนะ”   ตัวอย่างก็คือ  ไทเกอร์ วู้ด ที่เกิดเรื่องฉาวโฉ่  จนความดังนั้น  กลายเป็นด้านที่ไม่ดีซึ่งทำให้คุณค่าของความดังตกลงไปมาก   นั่นก็คือ  เจ้าของสินค้าถอนโฆษณาออกและสินค้ารายใหม่ไม่ใช้เขาเป็นพรีเซ็นเตอร์  รายได้ที่จะมาจากความดังตกฮวบและคงไม่กลับมาเหมือนเดิมอีก
	ในบางครั้งนั้น  “ฝีมือ”  หรือความสามารถในการทำงานเองก็อาจจะไม่จำเป็นมากนัก   พูดง่าย ๆ   บางคนสามารถ  “ปั้นความดัง” ได้  เพราะหลายเรื่องของผลงานการทำงานนั้นเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้   เหนือสิ่งอื่นใด  สังคมก็อาจจะไม่ต้องการข้อพิสูจน์   ประเด็นจริง ๆ  ก็คือ  ขอให้สังคม  “เชื่อ”   ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนบางคนดัง  ดังนั้น  ถ้าใครสามารถทำให้คนเชื่อว่าเขามีความรู้หรือความสามารถสูงแม้ว่าเขาจะไม่รู้จริง    เขาก็จะกลายเป็นคนดังได้   และความดังนั้น  เขาก็สามารถแปลงให้มันเป็นเงิน   กลายเป็นคุณค่าของความดังที่บางทีอาจจะเหนือกว่าคนที่มีความสามารถจริง ๆ  ก็ได้   ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดวงการหนึ่งก็คือในวงการของ  หมอดูและคนที่อ้างว่ามี “ญาณพิเศษ”  ทั้งหลาย  นี่จะรวมถึงนักเศรษฐศาสตร์พยากรณ์ด้วยหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ   เพราะในแวดวงนี้   แทบจะไม่มีใครเคยพิสูจน์ว่าใครที่คาดหรือทายได้ถูกต้องจริง   คนส่วนมากจะฟังและเชื่อในคนที่อธิบายได้อย่าง  “มีเหตุมีผล”  น่าเชื่อถือ  หรือเป็นคนที่มี  “ภาพลักษณ์”  หรือแม้แต่หน้าตาหรือเสียงที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจคนดูคนฟัง   แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ  สามารถ  “สื่อ”  ถึงคนจำนวนมากผ่านสื่อมวลชนที่เข้าถึงผู้คนที่เป็นเป้าหมายอย่างกว้างขวาง
	คุณค่าของความดังนั้น   สิ่งสำคัญที่ทำให้มันมีมากขึ้นนั้น  อยู่ที่วิวัฒนาการของสื่อที่ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย  ๆ   อย่างไรก็ตาม  ในหลาย ๆ  เรื่องหรือหลาย ๆ  กรณีอยู่ที่เจ้าตัวที่จะบริหารหรือใช้มันด้วย  ยกตัวอย่างเช่น   ถ้าเป็นสมัยก่อน  หมอดูที่มีชื่อเสียงหรือชื่อดังนั้น  คุณค่าของความดังก็คือ  ทำให้มีลูกค้ามาหามากขึ้นและค่าดูอาจจะปรับสูงขึ้น   แต่นี่ก็ไม่ได้ทำเงินมากเท่าไรนัก   แต่สิ่งที่ทำให้หมอดูสมัยนี้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีนั้น   น่าจะอยู่ที่การรู้จักใช้สื่อและเปิดให้คนดูหมอผ่านทางโทรศัพท์มือถือและฟังจากเทปมากกว่า
	เรื่องของคุณค่าของความดังนั้น  ในหลาย ๆ  เรื่องก็ทำเงินไม่ได้   อย่างข้าราชการที่อาจจะดังเนื่องจากความคิดสร้างสรรค์อะไรบางอย่าง   แต่การทำเงินจากความดังนั้นบางทีก็ทำไม่ได้  อย่างไรก็ตาม  มันก็เป็นความดังที่มีประโยชน์แน่นอนและคนส่วนใหญ่ก็ต้องการ  ความดังในบางเรื่องนั้น  เจ้าตัวสามารถนำมันมาใช้ทำเงินได้และมันก็ไม่ได้  “สึกหรอ”   คือยิ่งทำก็ยิ่งดี   แต่ในบางเรื่องนั้น  ถ้าเจ้าตัวเอาไปใช้ทำเงิน   มันก็อาจจะเกิดสึกหรอได้   หรือเรียกว่า  “คุณค่าของความดังลดลง”  ความหมายก็คือ  คนอาจจะมองไปในทางที่ไม่ดี   ดังนั้น  เจ้าตัวก็จะต้อง  “ชั่งน้ำหนัก”  ว่า  อยากจะได้เงินหรือเก็บเป็น  “กล่อง” ไว้  และนี่มาถึงเรื่องของการลงทุนในหุ้น
	การเป็น  นักลงทุนชื่อดังนั้น  ผมคิดว่ามันมีคุณค่าและสามารถเปลี่ยนเป็นเม็ดเงินได้ถ้าเขาต้องการ  เหตุผลก็เพราะการเป็นนักลงทุนชื่อดังนั้นจะทำให้มีคนซื้อหรือขายหุ้นตามอย่างที่เรียกว่าเป็นนักลงทุนแบบ Celebrity Investment หรือ  CI   ดังนั้น  หุ้นที่  “เซียน VI”  ซื้อไว้แล้วก็อาจจะปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว  ตัวอย่างเช่น  หุ้นที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ ซื้อนั้น   มักจะมีราคาขึ้นทันทีที่ข่าวออกไป   ประเด็นอยู่ที่ว่า   ถ้าบัฟเฟตต์ต้องการทำเงินแบบง่าย ๆ  เขาก็เพียงแต่ซื้อหุ้นบางตัวและปล่อยข่าวออกไปเพื่อให้หุ้นวิ่งเสร็จแล้วก็ขายแล้วก็ไปทำกับหุ้นตัวใหม่  แต่แบบนี้ชื่อเสียงของเขาก็จะสึกหรอลง   ดังนั้น  เขาจึงไม่ทำ  เขาเชื่อว่าเขาไม่ต้องทำ  เขาจะถือยาว  เขาไม่ต้องรีบขาย  ว่าที่จริงถ้าซื้อแล้วหุ้นวิ่งเขาไม่ชอบ  เขาชอบซื้อเยอะ ๆ  ในราคาที่ถูก ๆ  เพราะถ้าเขาไม่ขายก็ไม่มีประโยชน์ที่หุ้นจะขึ้นไปเร็ว ๆ   และนี่ก็คือ  การรักษาคุณค่าของความดังของนักลงทุน   นั่นก็คือ  ไม่เปลี่ยนความดังเป็นเม็ดเงิน   เม็ดเงินควรจะต้องมาจากฝีมือและความสามารถในการลงทุนเท่านั้น
[/size]



ตอบกลับโพส