ธรรมะกับการลงทุน/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ธรรมะกับการลงทุน/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ เม.ย. 07, 2013 8:30 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ  Value Investor        6 เมษายน 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ธรรมะกับการลงทุน

	การลงทุนกับธรรมะซึ่งเป็นเรื่องของศาสนาพุทธนั้นดูเหมือนจะห่างไกลกันมาก  เนื่องจากการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นนั้นมักจะถูกมองว่าเป็นเรื่องของการต่อสู้แย่งชิง  เป็นเรื่องของกิเลสตันหาซึ่งจะก่อให้เกิดทุกข์ซึ่งเป็นสิ่งที่ศาสนาพุทธสอนให้รู้จักวิธีการหลีกเลี่ยง  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ศาสนาพุทธนั้นคนมักเชื่อกันว่าเป็นศาสนาที่สอนให้คนรู้จัก  “พอเพียง”  ในขณะที่คนเล่นหุ้นหรือนักลงทุนนั้น  ส่วนใหญ่หวังจะรวยอย่างรวดเร็ว  ดังนั้น  ถ้าจะพูดกันเรื่องการลงทุนแล้วเราก็ไม่ควรจะพูดถึงเรื่องธรรมะซึ่งเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเช่นนั้นหรือ?  คำตอบของผมก็คือ  ไม่ใช่  ผมคิดว่าหลักธรรมะนั้นสามารถนำมาใช้กับการลงทุนได้  มีประโยชน์  และที่จริงอาจจะไม่มีอะไรขัดกันเลย  ลองมาดูกัน
	ธรรมะสำหรับผมแล้ว  ผมยึดถือแนวทางของท่านพุทธทาสซึ่งสอนเรื่องธรรมะในแนวทางที่  “เป็นวิทยาศาสตร์” มากกว่าใคร ๆ   ว่าที่จริงท่านบอกว่าธรรมะนั้นก็คือ  “ธรรมชาติ” ซึ่งเป็นเรื่องที่มีเหตุผล  สิ่งต่าง ๆ  ในโลกนั้นสามารถอธิบายได้ด้วยกฎของธรรมชาติไม่มีใครสามารถที่จะฝืนมันได้  แต่ถ้าเรารู้ว่าอะไรคือธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ  เราก็จะสามารถปรับหรือทำตัวให้สอดคล้องกับมันและเราก็จะประสบความสำเร็จและพ้นจาก  “ทุกข์”  ได้  ตัวอย่างง่าย ๆ ที่อาจจะยกขึ้นมาพูดก็เช่น  น้ำนั้นโดยธรรมชาติแล้วจะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ  ดังนั้นน้ำฝนจากภาคเหนือของไทยซึ่งเป็นที่สูงก็จะต้องไหลลงสู่ภาคกลางที่เป็นที่ต่ำและออกสู่ทะเลในที่สุด   แต่เนื่องจากปริมาณน้ำที่มีมากเมื่อสองปีก่อนประกอบกับทางน้ำหรือแม่น้ำมีไม่เพียงพอน้ำจึงท่วมอย่างรุนแรง  วิธีแก้ก็คือการกันน้ำบางส่วนไม่ให้ไหลมาเร็วเกินไป  อาจจะด้วยการสร้างเขื่อนเพิ่มหรือหาพื้นที่ “แก้มลิง” รับน้ำบางส่วนไม่ให้ไหลลงมา  นอกจากนั้นก็อาจจะต้องสร้างหรือขยายแม่น้ำหรือคลองที่จะให้น้ำไหลผ่านลงทะเลอย่างเร็วที่สุด  และนี่ก็คือการใช้ธรรมะในการทำงานแก้ปัญหาและ “ดับทุกข์”  ในกรณีแบบนี้การ  “สวดมนต์” แล้วไม่ทำอะไรจึงไม่ใช่เรื่องของ  “ธรรมะ”  แต่การทำโครงการอย่างที่กล่าวถึงคือการ  “ปฏิบัติธรรม”  อย่างแท้จริง
	ในเรื่องของการลงทุนหรือหุ้นนั้น  ผมคิดว่าเราต้องศึกษา “ธรรมะ” หรือธรรมชาติของหุ้นให้รู้แจ้งเสียก่อนว่าอะไรทำให้หุ้นมีราคาหรือมูลค่าเพิ่มขึ้น  อะไรทำให้บริษัทจ่ายปันผลเป็นเงินสดให้เรามากขึ้นซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนของเรามากขึ้น   คำตอบก็คือ  ในระยะยาวแล้ว  หุ้นจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถ้าบริษัทมีผลประกอบการหรือกำไรเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ซึ่งก็จะทำให้บริษัทสามารถจ่ายปันผลเพิ่มมากขึ้นตามกันไป  ผลก็คือ  ถ้าเราถือหุ้นหรือเป็นเจ้าของ  เราก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว   ดังนั้น  ถ้าเราต้องการลงทุนและได้ผลตอบแทนที่ดีหรือเหมาะสม  วิธีก็คือ  เราต้องซื้อหุ้นของบริษัทที่จะมีผลประกอบการดีขึ้นเรื่อย ๆ  ในระยะยาว  แล้วเราก็ถือหุ้นตัวนั้นไว้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องสนใจเรื่องของดัชนีตลาดหรือราคาหุ้นในระยะสั้น  และนี่ก็คือการ  “ปฏิบัติธรรม”  ในเรื่องของการลงทุนในหุ้น
	ธรรมะหรือธรรมชาติของหุ้นในระยะสั้นนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องของ  “ความผันผวน”  นั่นคือหุ้นจะปรับตัวขึ้นลงซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยมากมายทั้งจากภายในบริษัทและนอกบริษัทอาทิเรื่องของ  ผลประกอบการ  เรื่องของเศรษฐกิจ  การเมือง และอื่น ๆ  ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ  ดังนั้น  การที่หุ้นจะขึ้นหรือลงในระยะสั้น ๆ  จึงบอกได้ยาก  จริงอยู่  บางคนอาจจะมีความสามารถมากกว่าคนอื่น  ดังนั้น  เขาอาจจะสามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องมากกว่าผิด  และดังนั้น  เขาก็สามารถทำผลตอบแทนจากการลงทุนได้ดี  แบบนี้ก็อาจจะบอกว่าเขารู้ธรรมะของการลงทุนในระยะสั้นและปฏิบัติธรรมในการลงทุนได้เหมือนกัน  อย่างไรก็ตาม  ธรรมะของหุ้นในระยะสั้นนั้น  จากการพิสูจน์โดยทางสถิติที่เป็นวิทยาศาสตร์ก็ไม่ยั่งยืนเท่าไรนัก  นั่นคือ  อาจจะเป็นจริงเป็นบางช่วงบางเวลาและเปลี่ยนแปลงไปได้เร็วซึ่งทำให้ไม่คุ้มที่จะทำเมื่อคิดถึงค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหุ้นที่สูงเนื่องจากการซื้อขายบ่อย
	เรื่องที่สองของธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนก็คือ  การเดินสายกลาง   นี่คือหนทางที่ดีในการดำเนินชีวิต  ทางสายกลางนั้นแปลว่ามันไม่ใช่วิธีที่  “สุดโต่ง”  ทั้งด้านมากและน้อย   การทำอะไรมากเกินไปนั้นย่อมทำให้เกิดความเครียดและจะเป็นทุกข์ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร   ตรงกันข้าม  การทำอะไรที่ “หย่อน”  เกินไปนั้นก็ไม่ดีเช่นกัน  เนื่องจากมันจะทำให้ชีวิตเรา  “ไร้ความหมายหรือไร้คุณค่า”  ซึ่งก็จะทำให้เราเป็นทุกข์เช่นเดียวกัน  นอกจากนั้น  ผลที่ได้จากการใช้ชีวิตแบบนี้ก็อาจจะไม่เพียงพอในการที่จะทำให้เรามีชีวิตที่ดี   ถ้ามาประยุกต์กับการลงทุนในหุ้นแล้ว   ผมคิดว่าธรรมะของการลงทุนก็คือ  เราควร “เดินสายกลาง”  นั่นก็คือ  เราจะต้องออกแบบพอร์ตของเราให้เหมาะสมในแง่ที่ว่ามันจะไม่เสี่ยงเกินไปในขณะเดียวกันเราก็ต้องไม่กลัวจนเกินไปจนทำให้เราไม่กล้าลงทุนในหุ้นมากพอ    การลงทุนที่เสี่ยงเกินไปนั้น  แม้ว่าอาจจะทำให้เรารวยได้เร็ว  แต่ก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดหายนะ  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ในระหว่างที่เราลงทุนอยู่นั้น เราอาจจะเกิดความเครียดได้บ่อย ๆ  ซึ่งนี่คือบ่อเกิดของทุกข์  เช่นเดียวกัน  การไม่กล้าเสี่ยงเลยก็จะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่ต่ำมากและบางทีก็ติดลบเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่จะ “กินเงิน” ของเราตลอดเวลาอย่างไม่รู้ตัว  สุดท้ายมันก็เป็นความทุกข์เช่นเดียวกัน
	เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าแค่ไหนคือ  “สายกลาง” ของแต่ละคน  กฎง่าย ๆ  ของผมก็คือ  จะต้องเป็นพอร์ตที่เรารู้ถึงความเสี่ยงว่าในสถานการณ์ที่เลวร้ายเราจะเหลือเท่าไร  และเราถือแล้วสบายใจไม่มีความเครียดที่จะต้องคอยเฝ้าดูตลาดเกือบจะทุกวันหรือทุกชั่วโมง  โดยหลักการแล้วทางสายกลางในการลงทุนนั้นจะต้องมีการ  “กระจายความเสี่ยง” อย่างเหมาะสม  และโดยทั่วไป  การที่เราถือหุ้นน้อยตัวเกินไป  เช่นถือเพียง 2-3 ตัว  หรือใช้มาร์จินในการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ เช่น  มีมาร์จินถึง 30-40% ของพอร์ตก็ต้องถือว่าเราไม่เดินสายกลาง  เช่นเดียวกัน  การไม่ลงทุนในหุ้นเลยหรือลงทุนน้อยมากไม่ถึง 5-10%  แบบนี้ก็เรียกว่าไม่ปฏิบัติธรรมในการลงทุนเหมือนกันแม้ว่าเราจะรู้สึกสบายใจและไม่เครียด
	ประเด็นสุดท้ายในเรื่องของธรรมะที่ผมคิดว่านำมาใช้กับการลงทุนได้เป็นอย่างดีและต้องถือว่าเป็น  “คำสอนหลัก”  ของท่านพุทธทาสอีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่อง  “ตัวกู ของกู”  หรือการติดยึดว่าเราเป็นเจ้าของสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นวัตถุ  ความมั่งคั่ง  ชื่อเสียง  เราจึงทำทุกอย่างที่จะได้มันมา   เราเสียใจเมื่อต้องเสียมันไป  จิตใจของเราหมกมุ่นอยู่กับมันมากเกินไป  ประเด็นนี้ว่าที่จริงเกี่ยวเนื่องกับความโลภอยากได้ใคร่ดีจนสามารถที่จะทำสิ่งที่ผิดครรลองครองธรรม  ซึ่งในกรณีของการลงทุนก็อาจจะเกี่ยวกับการปั่นหุ้น  การชี้นำให้คนอื่นมาซื้อหุ้นที่ตนเองลงทุนโดยหวังที่จะขายหุ้นที่ตนเองถืออยู่ในราคาที่สูง  การปล่อยข่าวที่เป็นเท็จเกี่ยวกับหุ้นเพื่อที่จะสร้างราคาหุ้นให้ผิดไปจากความเป็นจริง  ต่าง ๆ  เหล่านี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องของการที่ไม่มีธรรมะในการลงทุนซึ่งในที่สุดก็จะทำร้ายหรือทำลายตัวเอง
การติดยึดเรื่อง  ตัวกู ของกู ยังอาจจะทำให้เราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ในการซื้อขายหุ้นได้  เช่น  ในยามที่หุ้นขึ้นแรงเราอาจจะอยากขายทำกำไรเพื่อที่จะ “ยึดเม็ดเงิน” ไว้   เช่นเดียวกัน  ในยามที่หุ้นลงแรง  เราก็อาจจะกลัวว่าเงินจะหายจึงรีบขาย   นอกจากนั้น  ถ้าเราคิดว่าเงินจากหุ้นที่ถืออยู่นั้น  เป็น “ของกู”  การที่มันอาจจะหายหรือลดไปมากก็อาจจะทำให้เราเสียใจมาก  เช่นเดียวกัน  ในบางครั้งที่เงินในพอร์ตหุ้นโตขึ้นมาก  เราก็อาจจะดีใจเกินเหตุ  ลักษณะแบบนี้จะไม่ทำให้เรามีความสุขจากการลงทุนและผมเชื่อว่าทำให้การลงทุนของเราด้อยลงไป  ผมคิดว่าในการอยู่กับหุ้นระยะยาวหรือลงทุนระยะยาวนั้น  อย่าไปคิดว่าหุ้นเหล่านี้มันเป็น  “ของกู”  แม้ว่าในทางกฎหมายแล้วเราจะเป็นเจ้าของ  ถ้าทำได้แบบนี้  เราจะลงทุนหุ้นอย่างสบายใจ  ถ้าพอร์ตหรือหุ้นมันขึ้น  เราก็ดีใจ  ถ้ามันลง ก็ช่างมัน  มันไม่ใช่ “ของกู” ถ้าเราได้วิเคราะห์และพิจารณาไตร่ตรองดีแล้ว  What ever will be, will be.
[/size]



ตอบกลับโพส