โค้ด: เลือกทั้งหมด
การวางแผนภาษีถือเป็นการวางแผนการเงินส่วนหนึ่ง โดยนักวางแผนการเงินมีหน้าที่แนะนำให้ลูกค้าไม่ต้องเสียภาษีเกินกว่าที่ควรจะเสีย
เนื่องจากดิฉันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาษี จึงต้องแสวงหาความรู้จากผู้รู้ต่างๆ ในวันนี้ดิฉันจะขอแนะนำหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งหากผู้อ่านมีโอกาสไปเยี่ยมชมงาน Money Expo ที่เมืองทองธานีในปลายสัปดาห์นี้ น่าจะสามารถหาซื้อได้ในราคาพิเศษ
หนังสือนั้นมีชื่อว่า “10 ข้อคิด ลดภาษีคนทำงานและนักลงทุน” โดย ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ เป็นหนังสือเล่มที่สองในชุดวางแผนภาษีกับ KU โดย KU เป็นอักษรย่อของชื่อและนามสกุลของ ศ.กิติพงศ์ค่ะ
แม้หนังสือจะชื่อ 10 ข้อคิด แต่ในความเป็นจริง มีข้อคิดถึง 15 กลุ่ม แต่ละกลุ่มอาจจะมี 10 ข้อคิด ถึง 13 ข้อคิด หรือมีข้อคิดที่ไม่ได้แตกย่อยเป็นข้อคิดเล็กๆด้วย
เริ่มจากข้อคิดในการวางแผนภาษีใหม่ ที่ให้อิสระภรรยาในการแยกเงินได้ที่นอกเหนือจาก มาตรา 40(1) ออกจากของสามี ในการคำนวณภาษีตั้งแต่ปีภาษี 2555 เป็นต้นมา ซึ่งดิฉันเคยเขียนถึงไปแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
ถัดไปเป็นบทเกี่ยวกับข้อคิดในการวางแผนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในลักษณะกลยุทธ์และกรณีศึกษา เช่น การเลือกใช้เกณฑ์เงินสดเพื่อเลื่อนเวลาจ่ายเงิน เนื่องจากการเสียภาษีในไทยใช้เกณฑ์เงินสด ดังนั้นหากรายได้กระจุกอยู่ในปีใดปีหนึ่งมากเกินไปก็อาจจะเลื่อนการรับเงินออกไป เพื่อให้เงินได้ไปตกอยู่ในปีถัดไป เป็นการกระจายฐานภาษี และยังสอคล้องกับหลักการจัดการการเงินที่ว่า กระแสเงินสดที่จะออกไปให้ออกช้าๆ
ผู้เสียภาษียังควรทราบว่าเงินได้ประเภทใดได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมาคำนวณรวมเสียภาษี โดยส่วนใหญ่จะเป็นเงินได้ที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว (ซึ่งภาษีที่หัก ณ ที่จ่ายมักจะมีอัตราต่ำกว่าอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา) และทราบทางเลือกในการหักค่าใช้จ่ายแบบหักเหมาซึ่งมีข้อดีคือกฎหมายให้หักได้แม้จะสูงกว่าที่จ่ายค่าใช้จ่ายจริงก็ตาม และควรนำค่าลดหย่อนมาหักลดหย่อนตามสิทธิ เช่น เงินบริจาค เงินลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพและกองทุนรวมหุ้นระยะยาว เบี้ยประกันชีวิต ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย
การกำหนดแหล่งเงินได้ในต่างประเทศ และการเลือกเสียภาษีในอัตราต่ำ ก็เป็นอีกสองข้อคิดค่ะ เช่นในกรณีที่ให้เลือกหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้วไม่ต้องนำมาคำนวณรวมภาษีปลายปีอีก เช่น เงินได้จากดอกเบี้ย หรือ จากเงินปันผล ขึ้นอยู่กับว่าผู้ลงทุนมีอัตราภาษีเท่าใด ผู้ที่มีฐานภาษีสูง ก็อาจจะให้หัก ณ ที่จ่ายไว้เลย 15% สำหรับดอกเบี้ย และ10%สำหรับเงินปันผล แล้วไม่ต้องนำมาคำนวณภาษีปลายปีอีก แต่สำหรับผู้ที่มีฐานภาษีต่ำ อาจจะเลือกนำมาคำนวณรวมกับภาษีปลายปี เพื่อจะได้เสียภาษีน้อยลง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีข้อคิดในการกำหนดผลประโยชน์ที่ไม่ได้เป็นตัวเงินที่อาจได้รับยกเว้นภาษี การตั้งหน่วยภาษีขึ้นใหม่ และการเลือกยื่นรวมกันหรือแยกกันของสามีภรรยา
บทที่คนทำงานส่วนใหญ่น่าจะชอบคือบทที่สาม “10 ข้อคิดภาษีคนทำงาน” ซึ่งทำเป็นแผนภูมิว่าในเงินได้แต่ละประเภทนั้น มีตัวบรรเทาภาษีอะไรบ้าง และเงินได้แต่ละประเภทหักค่าใช้จ่ายได้เท่าไร
ดิฉันเห็นด้วยกับศ.กิติพงศ์ว่าการวางแผนภาษีสำหรับมนุษย์เงินเดือนนั้นทำได้น้อยมาก เพราะหักค่าใช้จ่ายได้น้อย โดยมีการกำหนดเพดานค่าใช้จ่ายไว้ที่ 60,000 บาท
พูดถึงการหักค่าใช้จ่าย ดิฉันมีความเห็นว่าตารางอัตราค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาสำหรับเงินได้พึงประเมินในมาตรา 40(8)นั้นเชยยิ่งกว่าเชยอีก อาชีพสมัยใหม่อย่างนักวางแผนการเงิน หรือวิทยากร ควรจะมีสิทธิหักค่าใช้จ่ายด้วย ไม่ใช่ต้องนำเงินได้ไปรวมในมาตรา 40(2) และหักค่าใช้จ่ายร่วมกับเงินได้ในมาตรา 40(1)ได้ร้อยละ 40 แต่ไม่เกิน 60,000 บาท
หรือในกรณีค่าลิขสิทธิ์ กำหนดให้หักค่าใช้จ่ายได้ร้อยละ 40 แต่ไม่เกิน 60,000 บาทเช่นกัน ทำไมจึงไม่สามารถหักได้ร้อยละ 60สำหรับเงินได้ที่ไม่เกิน 300,000 บาท และร้อยละ 40 สำหรับส่วนที่เกิน 300,000 บาท เหมือนเงินได้ของดารา นักแสดง นักร้อง นักดนตรี เพราะบางครั้งจะบรรยายหนึ่งครั้ง หรือเขียนหนังสือหนึ่งบท อาจต้องไปค้นคว้าอย่างน้อย 2 วัน อาจจะต้องลงทุนไปซื้อหนังสือหรือบทความจากต่างประเทศมาอ่านเพื่อเป็นข้อมูล ลงทุนเป็นเงินจำนวนมากอยู่เหมือนกัน ยกเว้นแต่ในกรณีของการตีพิมพ์ซ้ำ ซึ่งจะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมมากนัก
ในบทที่ 4 อาจารย์กิติพงศ์เขียนถึงข้อคิดการวางแผนภาษีสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพอิสระตามมาตรา 40(6) ว่าไม่มีเพดานของค่าใช้จ่ายที่นำมาหักที่ 60,000 บาทเช่นในกรณีของเงินเดือนและค่าจ้าง ตามมาตรา 40(1)(2) และมีกรณีศึกษาของวิชาชีพแพทย์ด้วยซึ่งน่าสนใจ โดยได้กล่าวถึงรูปแบบของคณะบุคคลว่าจะมีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรให้คณะบุคคลเสียภาษีในอัตรา 20% เช่นเดียวกับห้างหุ้นส่วนสามัญ ในอนาคตแพทย์จะไม่สามารถใช้คณะบุคคลในการกระจายฐานภาษีได้เช่นในปัจจุบัน
บทที่ 5 เป็นข้อคิดในการวางแผนการลงทุนและภาษีที่เกี่ยวข้อง โดยมีตารางเปรียบเทียบให้ดูถึงภาระภาษีของการลงทุนในรูปแบบต่างๆทั้งการฝากเงิน หุ้น กองทุนรวม รวมถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ส่วนภาษีสำหรับการให้เช่าทรัพย์สินและกลยุทธ์ในการวางแผนภาษีในการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ในบทที่ 6 ซึ่งมีตัวอย่างเปรียบเทียบภาษีที่ต้องเสียค่อนข้างละเอียดมากทีเดียว ในกรณีผู้ให้เช่าเป็นบุคคล คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือบริษัทที่ทำธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตามมาด้วยบทที่ 7 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาษีสำหรับการขายอสังหาริมทรัพย์
บทที่ 8 เป็นการวางแผนการเงินกับข้อคิดภาษีอากรของบริษัท ตั้งแต่แผนการระดมทุน การก่อหนี้ แผนของผู้ลงทุน เพื่อให้ผู้ที่จะจัดตั้งองค์กร ได้เลือกใช้รูปแบบองค์กรให้เหมาะสมกับกิจการที่จะดำเนินการและสามารถประหยัดภาษีได้ตั้งแต่ต้น
บทที่ 9 เป็นเรื่องของภาษี ดารา นักร้อง นักแสดง และนักกีฬา พร้อมข้อควรระวังในการวางแผนภาษีสำหรับดารานักแสดง
บทที่ 10 ถึง 14 เป็นข้อคิดภาษีของธุรกิจตัวแทนประกัน ซึ่งถือเป็นรายได้ตามมาตรา 40(2) ภาษีของตัวแทนขายตรง ภาษีธุรกิจแฟรนไชส์ ภาษีหุ้นพนักงาน หรือ Stock Award ข้อคิดภาษีเพื่อการลงทุนในทองคำในรูปแบบต่างๆ และในบทสุดท้าย เป็นข้อคิดกฎหมายและภาษีเมื่อลงทุนในต่างประเทศ
หนังสือเล่มนี้อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาตลอด 232 หน้า ราคา 250 บาท เสมือนหนึ่งได้ฟังบรรยายของนักกฎหมายมืออันดับต้นๆของประเทศไทยเป็นเวลา 30 ชั่วโมง (ไม่อยากคิดว่าค่าปรึกษาจะเป็นเงินเท่าไร) ถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียว โดยศาสตราจารย์กิติพงศ์ ตั้งใจจะนำค่าลิขสิทธิ์ของหนังสือทั้งชุด มอบให้กับองค์กรการกุศลต่อไป
