Appreciate Thailand/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

Appreciate Thailand/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ พ.ค. 19, 2013 10:24 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor            18 พ.ค. 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Appreciate Thailand
 
   ​คนไทยจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะที่เป็นคนร่ำรวยมีเงินทองในระดับเศรษฐีหรือคนที่เป็นคนชั้นกลางระดับสูงที่มีรายได้มากและกำลังสะสมความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  มักจะชอบวิจารณ์หรือบางทีถึงกับก่นด่าว่าประเทศไทยนั้นมีเรื่องที่ “แย่ ๆ” มากมายที่กำหนดหรือสร้างขึ้นโดย  “รัฐ”   นักการเมืองเองก็เอาแต่กอบโกยหาผลประโยชน์เข้าตัวเองหรือไม่ก็ใช้เงินที่ได้จากภาษีที่มาจากคนที่ทำงานมีรายได้สูงเอาไปแจกจ่ายให้กับฐานเสียงของตนเองซึ่งเป็นประชาชนที่มีรายได้ต่ำโดยไม่เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ  แต่ส่วนที่ “ดี ๆ”  ของประเทศไทยนั้นดูเหมือนว่าจะมาจาก “คนไทย”  และ “ขนบธรรมเนียม” ต่าง ๆ  ของคนไทยที่ทำให้ประเทศนี้  “น่าอยู่”  มากกว่าที่อื่นใดในโลก
   ​ผมเองคงไม่ไปถกเถียงในเรื่องของรายละเอียดต่าง ๆ  ของการทำงานของรัฐไทยว่าดีเลวอย่างไร  ว่าที่จริงผมเองก็เคยมีความคิดแบบนั้น  แต่หลังจากที่ผมกลายเป็นนักลงทุนเต็มตัวและกลายเป็นคนที่มีเงินมากอยู่เหมือนกันและเงินเหล่านี้ล้วนเกิดหรือถูกสร้างขึ้นในประเทศไทยโดยคนไทยโดยเฉพาะที่เป็นคนมีเงินน้อยและภายใต้กฎเกณฑ์ของคนส่วนใหญ่ของประเทศที่มีเงินน้อยเช่นกัน  ผมเริ่มจะรู้สึกว่าสิ่งที่ผมเคยคิดว่า “แย่ ๆ”  นั้นมันอาจจะไม่จริง  ตรงกันข้าม  ผมคิดว่าผม “โชคดี” ที่เกิดและทำงานหากินในประเทศไทย   ผมรู้สึกแบบที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า  “Appreciate ประเทศไทย”  นั่นคือ  ผมรู้สึกขอบคุณประเทศไทย  รู้สึกพึงพอใจที่ได้เป็นคนไทยและลงทุนในประเทศไทย  รู้สึกเห็นคุณค่าของประเทศไทย  และผมคิดว่าผมไม่ใช่คนเดียวที่คิดอย่างนั้น  เพราะผมมีเพื่อนหรือรู้ว่าชาวต่างชาติจำนวนมากที่เป็นคน  “มีสตางค์”  นั้น  ไม่ได้  “โชคดี”  อย่างเรา  พวกเขาถูก  “ลิดรอน” ความมั่งคั่งด้วยภาษีและการกระทำหรือนโยบายหลายอย่างที่ทำให้ความมั่งคั่งที่มาจากหยาดเหงื่อและแรงงานลดลงจนบางที “ไม่รู้จะทำอย่างไร”
   ​ตัวอย่างเช่นชาวเมริกันนั้น  ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนและทำงานที่ไหนในโลก  พวกเขาจะต้องถูกรัฐเก็บภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลี่ยงไม่ได้  เพื่อนนักลงทุนชาวอเมริกันของผมที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยคนหนึ่งบอกกับผมว่าแต่ละปีเขาต้องเสียภาษีนับสิบล้านบาทให้กับรัฐบาลอเมริกันจากผลตอบแทนที่เขาได้จากการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทั้ง ๆ  ที่เขาไม่ได้ทำงานหรือมีรายได้ในอเมริกาเลย   ว่าที่จริงเขาแทบไม่ได้กลับอเมริกาเลยบางทีเป็นปี ๆ   สำหรับเขาในเวลานี้แล้ว  เมืองไทยคือบ้าน  เขามีความสุขในการใช้ชีวิตและลงทุนในตลาดหุ้นไทยและคงอยู่ไปเรื่อย ๆ ตลอดไป   ผมถามเขาว่าสรรพากรของอเมริกาจะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำไรจากการซื้อ-ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย  เขาตอบว่า  ถ้าเขาโกงภาษีและถูกจับได้ก็ต้องติดคุก  ดังนั้นเขาไม่เสี่ยงแน่นอน  ผมถามต่อว่าทำไมไม่แปลงสัญชาติอย่างที่ดาราหรือคนดังที่มีรายได้มากอย่าง จิม โรเจอร์ นักลงทุนทำกรณีแปลงสัญชาติเป็นคนสิงคโปร์  เขาบอกว่าเขาก็ทำ  แต่การ “ยกเลิก” สัญชาติอเมริกันนั้น  คุณก็จะต้องจ่ายภาษีทั้งหมดที่คุณกำไรจากหุ้นแม้ว่าคุณจะไม่ได้ขายมัน   ซึ่งนั่นก็จะเป็นเงินมหาศาล  อาจจะเป็นร้อย ๆ ล้านบาท  เห็นหรือยังครับว่าการเป็นนักลงทุนส่วนบุคคลของคนอเมริกันนั้นมันยากเข็ญแค่ไหน?  โชคดีที่ผมไม่ใช่คนอเมริกัน!
   ​ถ้าคุณเป็นคนญี่ปุ่นและมีทรัพย์สินมาก  เวลาคุณตาย  รัฐก็จะเก็บภาษีจากทรัพย์มรดกของคุณอย่างหนัก  ดังนั้น  ความมั่งคั่งที่คุณสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงตลอดชีวิตก็จะถูกรัฐเอาคืนไปเหลือถึงลูกหลานน้อยไปมาก   เช่นเดียวกัน  การมีทรัพย์สินที่มีมูลค่าตลาดสูงซึ่งรวมถึงบ้านที่เราใช้อยู่อาศัยนั้น  ทุกปีก็จะถูกเก็บภาษีทรัพย์สินที่หนักหนาสาหัส  นี่คือสิ่งที่เป็นในประเทศที่เจริญแล้วแทบจะทั่วโลก  ดังนั้น  แม้ว่าในบางครั้งคุณจะไม่ได้ทำอะไรกับทรัพย์สินที่มีค่าที่เป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง  คุณก็จะถูกเก็บภาษีซึ่งยิ่งเวลานานไปความมั่งคั่งของคุณก็จะค่อย ๆ  ลดลงไปเรื่อย ๆ    ทั้งเรื่องภาษีมรดกและภาษีทรัพย์สินเป็นรายจ่ายหรือต้นทุนของความมั่งคั่งที่ในประเทศไทยยังไม่มี    ดังนั้น  สำหรับคนที่ร่ำรวยโดยเฉพาะที่มีที่ดินมากเขาควรจะต้อง  Appreciate ประเทศไทย
   ​ผมยังมีเพื่อนชาวต่างชาติที่ไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามในช่วงเร็ว ๆ นี้   เขาเล่าว่าหุ้นมีราคาถูกมาก PE ของบริษัทชั้นนำที่ดี ๆ  มีค่าไม่เกิน 10 เท่า  และเศรษฐกิจกำลังเติบโต  เขาทำกำไรจากหุ้นได้ไม่เลวนักแต่ปัญหาก็คือเรื่องของเงินเฟ้อและค่าเงินรวมถึงกฎระเบียบต่าง ๆ  ที่ยังค่อนข้างยุ่งยาก  ผลก็คือ  บางทีก็ขาดทุน   อย่างไรก็ตาม  เขาก็ยัง “เข้า-ออก”  ตลาดหุ้นเวียตนามเป็นระยะแบบนักเก็งกำไร   แต่ถ้ามองในฐานะของคนเวียตนามเองผมคิดว่าการเป็นคนมีเงิน  รวมถึงการเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นนั้น  คงจะไม่สะดวกสบายหรือให้ผลตอบแทนที่ดีนักเมื่อคำนึงถึงว่าดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อยังสูงลิ่วซึ่งทำลายค่าเงินตลอดเวลา   ค่าเงินด่องเองก็ไม่มีเสถียรภาพและลดค่าลงเรื่อย ๆ  ทำให้กำลังซื้อสินค้าจากต่างประเทศหรือการไปเที่ยวต่างประเทศของคนเวียตนามที่ “มีสตางค์” ลดต่ำลง  นอกจากนั้น  ถ้าเข้าใจไม่ผิด  การเป็นคนรวยในสังคมเวียตนามเองก็ยังเป็นสถานะที่ “ถูกเพ่งเล็ง” จากทางการหรือสังคมอยู่  ซึ่งทำให้ชีวิตคนรวยนั้นอาจจะไม่สดใสเท่ากับคนรวยของไทยที่มักจะเป็นที่นิยมชมชอบของคนในสังคม    ดังนั้น  คนที่มีฐานะดีควรที่จะ Appreciate ประเทศไทย
   ​ผู้บริหารชาวต่างชาติที่ถูกส่งมาจากบริษัทแม่ที่มาทำงานในกิจการของบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยที่เรียกว่า Ex-Pat โดยเฉพาะที่เป็นคนญี่ปุ่นนั้น  ส่วนใหญ่แล้วจะมีความสุขมากที่ได้มาทำงานในไทย  เพราะชีวิตและมาตรฐานความเป็นอยู่ของพวกเขาจะดีและสูงขึ้นมาก   พวกเขามีรถหรูพร้อมคนขับรถ  มีแม่บ้านรับใช้  มีบ้านหรู  และมีสิ่งอื่น ๆ  อย่างกับ “ราชา”   ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่มีในประเทศของตนเอง  ดังนั้น  เวลาที่ผู้บริหารชาวญี่ปุ่นได้รับการคัดเลือกให้มาทำงานในไทย  พวกเขาจะดีใจมาก  แต่ในวันที่พวกเขาถูกเรียกตัวกลับนั้น  บางคนบอกว่าพวกเขาแทบจะร้องไห้   การมีเงินนั้น  คุณสามารถซื้ออะไรหลาย ๆ  อย่างในประเทศไทยที่มีราคาถูกมากเทียบกับประเทศที่เจริญแล้วอีกหลายประเทศ  ตัวอย่างเช่นมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจ้างแม่บ้านอยู่ดูแลรับใช้ในญี่ปุ่นแม้ว่าคุณจะมีเงินค่อนข้างมาก  ดังนั้น  เราควร  Appreciate ประเทศไทย
   ​ถ้าจะให้หรือจัดอันดับกันแล้ว  ผมคิดว่าประเทศไทยนั้น  น่าจะเป็นเมืองที่เป็น  “เพื่อน” กับคนที่ร่ำรวยหรือฐานะดีมีความมั่งคั่งสูงมากที่สุดแห่งหนึ่งมองจากด้านของระบบภาษี  กฎเกณฑ์ และสภาวะทางเศรษฐกิจ  รวมถึงขนบประเพณีวัฒนธรรม  ถ้าจะมีประเทศไหนที่โดดเด่นกว่าเมืองไทยชัดเจนนั้น  ผมคิดว่าน่าจะเป็นสิงคโปร์ที่เขามีการแก้ไขปรับปรุงระบบภาษีและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ  เพื่อให้ประเทศเป็นแหล่งดึงดูดคนมีเงินทั่วโลกเข้ามาเพื่อเพิ่มพลเมืองและสร้างประเทศให้มีความก้าวหน้าและมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ    จุดอ่อนของไทยและของสิงคโปร์ในแง่ของการใช้ชีวิตนั้นน่าจะอยู่ที่เรื่องของภูมิอากาศที่ค่อนข้างร้อนตลอดปีซึ่งผมคิดว่ามีส่วนทำให้เกิดความหงุดหงิดได้ง่ายและทำให้กิจกรรมหลาย ๆ  อย่างนอกอาคารไม่รื่นรมย์
   ​ในฐานะของการเป็นคนไทยและเป็นนักลงทุนนั้น  ผมคิดว่าแม้ว่าเราจะมีปัญหาและความขัดแย้งมากมายในสังคม การเมือง และความคิดในเรื่องของการกำหนดกฎเกณฑ์ทางด้านกฎหมายและเรื่องอื่น ๆ  อีกมากมายจนหลาย ๆ  คนอาจจะรู้สึกว่าประเทศไทยนั้นมี  “ความเสี่ยงของประเทศ”  ค่อนข้างสูง  แต่ผมก็ยังคิดว่านับจนถึงวันนี้ประเทศไทยเองก็ยังไม่เคยที่จะหลุดเข้าไปอยู่ใน  “แดนสนธยา”  ที่นักลงทุนหรือคนที่สร้างความมั่งคั่งให้ตนเองซึ่งส่งเสริมให้ประเทศก้าวหน้าในแนวทางทุนนิยมไม่สามารถเติบโตอย่างมั่นคงได้  ผมเองก็ได้แต่หวังว่าประเทศไทยจะยังรักษาสถานะแบบนี้ได้ต่อไปได้อีกยาวนาน  และตราบใดที่มันยังเป็นแบบนั้น  ผมเองก็อยากจะบอกความรู้สึกของผมว่า  ผม  Appreciate ประเทศไทยอันเป็นที่รักที่ทำให้ผมมีวันที่ดี ๆ  เช่นในวันนี้ในฐานะของนักลงทุน
[/size]



ตอบกลับโพส