รู้เขา-รู้เรา เล่นหุ้นร้อยครั้งชนะเจ็ดสิบครั้ง/ดร. นิเวศน์

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

รู้เขา-รู้เรา เล่นหุ้นร้อยครั้งชนะเจ็ดสิบครั้ง/ดร. นิเวศน์

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ มิ.ย. 09, 2013 7:55 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor           9 มิถุนายน 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
รู้เขา-รู้เรา
เล่นหุ้นร้อยครั้งชนะเจ็ดสิบครั้ง

	เรื่องของการลงทุนนั้นหลายคนจะพูดว่ามันเหมือนกับการรบ   ดังนั้น  กลยุทธ์และปรัชญาของสงครามสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนหรือการเล่นหุ้นได้  และถ้าพูดถึงเรื่องนี้แล้วดูเหมือนว่ากฎแห่งการยุทธ์ที่โด่งดังที่ทุกคนคุ้นเคยที่สุดก็คือ  “รู้เขา-รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” ของซุนหวู่ ปราชญ์แห่งสงครามชาวจีน   ในฐานะที่ศึกษาเรื่องของประวัติศาสตร์และกลยุทธ์ของสงครามมาบ้างบวกกับการที่อยู่ในตลาดหุ้นและการลงทุนมานาน   ผมเองคิดว่ากฎแห่งสงครามข้อนี้ใช้ได้   แต่ถ้าจะพูดให้ตรงความเป็นจริงไม่พูดโอเวอร์เพื่อเน้นหลักการผมอยากจะปรับคำเป็นว่า  “รู้เขา-รู้เรา  เล่นหุ้นร้อยครั้ง  ชนะเจ็ดสิบครั้ง”  ในกรณีของการลงทุนหรือการเล่นหุ้นซึ่งไม่มีทางที่เราจะเล่นร้อยชนะร้อย   ว่าที่จริงผมคิดว่าซุนหวู่เองก็ไม่ได้คิดว่ารบร้อยครั้งต้องชนะร้อยครั้ง  โลกนี้มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามหรือหุ้น
	คำว่า “รู้เขา” นั้น  ในเรื่องของหุ้นผมคิดว่ามีอยู่สองเรื่องนั่นก็คือ  เขาคนแรกก็คือ Mr. Market หรือ “นายตลาด”  ตามคำพูดของ เบน เกรแฮม ซึ่งก็คือนักลงทุนโดยรวมในตลาดหุ้นหรือพูดง่าย ๆ  ก็คือตลาดหุ้นนั่นเอง   เราจะต้องรู้ว่าตลาดหุ้นนั้นมี  “พฤติกรรม” หรือ  “กลยุทธ์ในการเล่นหุ้น”  อย่างไร   ถ้าเราเชื่อ เบน เกรแฮม  ตลาดหุ้นนั้นมักจะ  “คุ้มดี คุ้มร้าย”  อยู่เรื่อย ๆ  เอาแน่อะไรไม่ได้  บางทีในช่วงที่  “อารมณ์ดี” เป็นพิเศษ  พวกเขาก็แห่กันเข้ามาซื้อหุ้นให้ราคาหุ้นสูงลิ่วเกินกว่าพื้นฐานไปมาก  แต่ในบางช่วงที่เกิดอาการ “หดหู่” อย่างหนัก  พวกเขาก็เทขายหุ้นจนราคาต่ำกว่าพื้นฐานไปมาก  หน้าที่ของเราก็คือ  เราต้องรู้และฉกฉวยประโยชน์จากพฤติกรรมของพวกเขาแทนที่จะดีใจหรือตกใจและทำตาม
	แต่ถ้าเราเชื่อนักวิชาการตลาดหุ้น  พวกเขาก็จะบอกว่านักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นในตลาดนั้นต่างก็มีเหตุผล  นั่นก็คือ  เขาจะซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะกับพื้นฐานของมันเสมอเช่นเดียวกับคนที่ขายหุ้น  แน่นอน  ความเห็นหรือการวิเคราะห์ว่ามูลค่าพื้นฐานคือเท่าไรนั้นคนสองคนอาจจะมองไม่เหมือนกันและนั่นคือเหตุผลว่าทำไมจึงมีการซื้อและขายหุ้นเกิดขึ้น  อย่างไรก็ตาม  โดยเฉลี่ยแล้วความคิดของนักลงทุนเกี่ยวกับมูลค่าของหุ้นแต่ละตัวก็มักจะถูกต้องเช่นเดียวกับดัชนีตลาดหุ้นที่เป็นตัวแทนของหุ้นทั้งหมดที่จะสะท้อนพื้นฐานของตลาด  ส่วนการที่บางครั้งราคาหุ้นขึ้นไปสูงมากหรือตกต่ำลงมากนั้นเป็นเพราะว่าพื้นฐานของกิจการหรือภาวะทางการเงินเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงทำให้นักลงทุนซื้อหรือขายหุ้นมาก  ไม่ใช่เรื่องที่นักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นอารมณ์ดีหรืออารมณ์หดหู่แต่อย่างใด
	การรู้จัก “นายตลาด” หรือ “รู้เขา”  นั้น  จะช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนหรือเล่นหุ้นได้ดีขึ้นแน่นอน  ประเด็นก็คือ  ถ้าเราสรุปว่าภาวะตลาดเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้  อาจจะเนื่องจากเพราะคนในตลาดหุ้นเป็นคนที่มีอารมณ์ “แปรปรวน”  ทำให้คาดเดายาก  หรือคนในตลาดอาจจะมีเหตุผลเป็นนักลงทุนที่มีข้อมูลและความสามารถวิเคราะห์สูงแต่เนื่องจากภาวการณ์แวดล้อมเช่นเรื่องของเศรษฐกิจ  การเงิน และตลาดการเงินระหว่างประเทศ มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วตลอดเวลา  ดังนั้น  การที่เราจะพยายามไปฉกฉวยประโยชน์จากภาวะตลาดจึงอาจจะไม่มีประโยชน์อะไร
	“เขา”  อีกคนหนึ่งที่เราจะต้องรู้ก็คือ  บริษัทจดทะเบียนหรือหุ้น  นี่คือเขาที่เราจะต้องรู้ก่อนที่จะเข้าไปลงทุน  สิ่งที่จะต้องรู้ก็คือ  เขาหรือบริษัทเป็นอย่างไร?  ทางหนึ่งที่จะใช้ในการเรียนรู้เขาก็คือ  การกำหนดหรือบอกให้ได้ว่าบริษัทอยู่ในหุ้นกลุ่มไหนใน 6 กลุ่ม ตามแนวทางของ ปีเตอร์ ลินช์ นั่นคือ  บริษัทเป็นกิจการที่โตช้า  โตเร็ว  วัฏจักร  แข็งแกร่ง ฟื้นตัว หรือมีทรัพย์สินมาก  ถ้าเรารู้  การลงทุนซื้อและขายหุ้นตัวนั้นก็ทำได้ง่าย  เพราะพวกเขาก็จะมีพฤติกรรมของราคาหรือการให้ผลตอบแทนที่พอจะคาดการณ์ได้  แต่การวิเคราะห์ว่าหุ้นแต่ละตัวควรจะเป็นกิจการประเภทไหนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  บ่อยครั้งเราก็เข้าใจผิดเนื่องจากเรายังศึกษาไม่ลึกพอ  เช่น  เราดูแต่ข้อมูลที่เป็นตัวเลขในระยะเวลาสั้นอาจจะเพียง 2-3 ปี แล้วก็สรุปโดยไม่ได้ดูปัจจัยทางคุณภาพซึ่งต้องใช้เหตุผลทางธุรกิจซึ่งประกอบไปด้วยการตลาด  การผลิต  การเงิน  การแข่งขัน  และอื่น ๆ  อีกมาก   หนทางที่จะเข้าใจหรือ “รู้เขา”  ในแง่ของตัวบริษัทนั้น  วิธีที่ดีก็คือ  หลังจากศึกษาข้อมูลด้านคุณภาพอย่างดีแล้ว   เราจะต้องศึกษาข้อมูลที่เป็นตัวเลขย้อนหลังให้ยาวที่สุดเพื่อที่จะยืนยันหรือพิสูจน์ว่าความคิดหรือการวิเคราะห์ทางด้านคุณภาพของเราถูกต้อง ตัวอย่างเช่น  ถ้าเป็นกิจการโตเร็ว  ข้อมูลยอดขายและกำไรควรที่จะมีแนวโน้มโตขึ้นทุกปีอย่างมั่นคงไม่มีปีไหนถดถอยเป็นต้น
	การ “รู้เรา”  นั้น  หมายความว่าต้องรู้ว่าเราเป็นคนที่มีแนวทางการลงทุนหรือเล่นหุ้นอย่างไร  วิธีการนั้นเป็นแนวทางที่ถูกต้องในแง่ของทฤษฎีและประวัติศาสตร์หรือไม่?  นอกจากนั้น  ในทุกครั้งที่ตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น  เรารู้หรือไม่ว่าเรากำลังทำอะไรหรือทำอย่างไรอยู่?   บางคนอาจจะคิดว่าการ  “รู้เรา”  นั้นไม่เห็นจะยาก  เราก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าเราคิดหรือทำอะไรไม่ใช่หรือ?  ผมเองคิดว่าไม่ใช่!
   คนจำนวนมากรวมถึงคนที่เรียกตัวเองว่า  VI  คิดว่าเขาเป็น  “นักลงทุน”  ซึ่งเน้นลงทุนโดยอิงกับพื้นฐานหรือผลประกอบการระยะยาวของบริษัท   แต่สิ่งที่เขาทำมาตลอดนั้นก็คือการซื้อและขายหุ้นเปลี่ยนตัวอย่างรวดเร็วเป็นนิจสิน  ในกรณีแบบนี้  เราก็ควรจะต้องรู้ตัวหรือ  “รู้เรา”  ว่า  เราเป็น  “นักเก็งกำไร”  เพียงแต่เราอาศัยผลประกอบการที่อาจจะกำลังดีขึ้นมาเก็งกำไร  
   การ “รู้เรา” อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญก็คือ  “อัตราความกล้าเสี่ยงของเรา”  ว่าอยู่ในระดับไหน?  นี่ก็เช่นเดียวกัน  อย่าบอกหรือคิดว่าเราเป็นคน  “อนุรักษ์นิยม”  เป็นคนที่เน้นความปลอดภัยสูงไม่ชอบเสี่ยงถ้าพฤติกรรมตามปกติของเรานั้นมันขัดแย้งกัน   ตัวอย่างเช่น  เรามักจะลงทุนในหุ้นน้อยตัวมากหุ้นเพียง 2-3 ตัวมีสัดส่วนเป็น 70-80%  ของพอร์ตขึ้นไปเกือบตลอดเวลา  แถมใช้มาร์จินหรือกู้เงินมาซื้อหุ้นอีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์  แบบนี้จะบอกว่าเราเน้นความปลอดภัยไม่ได้   อย่างไรก็ตาม  การที่จะสามารถวิเคราะห์ได้อย่างปราศจากความลำเอียงนั้นบางทีก็เป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกัน   เหตุก็เพราะคนเรามักมีความเชื่อมั่นตนเองสูง  ดังนั้น  เรามักไม่ยอมรับว่าพอร์ตของเรามีความเสี่ยงสูง  เรามักจะคิดว่า  “เรารู้ดี”  เรารู้ว่าที่เราทำอยู่นั้นสำหรับคนที่ไม่รู้จริงอาจจะเสี่ยง   แต่สำหรับเราแล้วเรารู้ว่าหุ้นตัวนั้นดีมากมี Margin of Safety สูง  และดังนั้นมันจึงไม่เสี่ยง
   การ “รู้เรา”  ประเด็นสุดท้ายก็คือ  ในเรื่องสถานการณ์เฉพาะจุด  นั่นก็คือ  ในบางช่วงหรือบางสถานการณ์ที่ “ผิดปกติ”  เราอาจจะทำอะไรบางอย่างที่  “ออกนอกกรอบ” พฤติกรรมหรือแนวความคิดที่ไม่ถูกต้องหรือไม่สอดคล้องกับปรัชญาหรือแนวทางของตนเอง  ตัวอย่างเช่น  ในยามที่หุ้นตกหนักมากและเราดูว่าหุ้นถูกและมีความปลอดภัยสูง  เราอาจจะใช้มาร์จินบางส่วนมาซื้อหุ้น   หรือเราอาจจะมีหุ้นบางตัวมากเกินไปในพอร์ต  กรณีแบบนี้เราต้องรู้ว่ามันอาจจะอันตราย  และดังนั้นในไม่ช้าเมื่อมีโอกาสเราก็ควรจะต้องปรับพอร์ตให้กับมาสู่สถานะปกติ เป็นต้น  
   การ “รู้เรา”  นั้น  บ่อยครั้งเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าการ  “รู้เขา”  เนื่องจากการมีความ  “ลำเอียง” ในเรื่องของการวิเคราะห์ตนเอง  แต่ถ้าเราจะประสบความสำเร็จในระยะยาวแล้วละก็  ผมคิดว่าเราจะต้องมีสติและรู้ตัวตลอดเวลา  เท็คนิคที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ  ในการลงทุนนั้นเราจะต้อง  “ถ่อมตัว”  อย่างจริงใจ  เตือนตัวเองว่า  เราอาจจะแพ้ได้เสมอ  อย่างที่จอร์จ โซรอส พูดว่า  “I am not invincible” 
[/size]



ตอบกลับโพส