ผมเป็นนักลงทุนหน้าใหม่และมีความสนใจในแนวทาง value investment โดยศึกษาจากหนังสือของดอกเตอร์นิเวศน์ทั้ง 3 เล่ม และตำราต่างประเทศบ้าง ผมได้เริ่มลงทุนเมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้ ตอนนี้มีหุ้นอยู่ใน port ดังนี้
AJ [email protected]
BAY [email protected]
FANCY [email protected]
OCC [email protected]
PR [email protected]
PTTEP [email protected]
TPCORP [email protected]
BAY นี้ผมซื้อโดยคิดว่ามันเป็น cyclical ครับ เพราะคิดว่าปีหน้า น่าจะเริ่มไถ่ถอน slips ได้ และ น่าจะส่งผลให้ BAY มีกำไรดีขึ้น และสามารถนำเงินมาตั้งสำรองเพิ่มขึ้นได้
ผมอยากให้พี่ๆและเพื่อนๆ ช่วยวิจารณ์หุ้นใน port ของผมด้วยครับ เพื่อผมจะได้รู้ว่าตัวเองมาถูกทางหรือไม่
ขอบคุณครับ
ช่วยวิจารณ์หุ้นใน port ด้วยครับ
-
Golden Stock.
จากหุ้นที่บอกมาทั้งหมด ที่ผมชอบมี pttep ตัวเดียว
โดยความเห็นส่วนตัว คิดว่ากลุ่มพลังงาน กลุ่มประกันภัย และกลุ่ม
พาณิชย์น่าสนใจลงทุนมากกว่า โดยเป็นกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ และราคาหุ้นผมคิดว่ายังต่ำกว่าพื้นฐานพอ
สมควร ไม่แพงจนโอเวอร์เหมื่อนในกลุ่มอื่นๆ ในช่วงที่ผ่านมาผมเลือก
ลงทุนในหุ้นสามกลุ่มนี้เป็นหลัก
โดยความเห็นส่วนตัว คิดว่ากลุ่มพลังงาน กลุ่มประกันภัย และกลุ่ม
พาณิชย์น่าสนใจลงทุนมากกว่า โดยเป็นกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ และราคาหุ้นผมคิดว่ายังต่ำกว่าพื้นฐานพอ
สมควร ไม่แพงจนโอเวอร์เหมื่อนในกลุ่มอื่นๆ ในช่วงที่ผ่านมาผมเลือก
ลงทุนในหุ้นสามกลุ่มนี้เป็นหลัก
-
ผู้ติดตาม
PTTEP ดีจริงๆ แต่อีกตัวผมคิดว่าน่าจะเป็น PR ส่วนเหตุผลมีดังนี้
1. ดูที่งบเดี่ยวจะพบว่า เป็นบริษัทที่แทบจะไม่มีหนี้เลย มีกำไรสะสมเป็นพันล้านบาท แต่มีหนี้แค่ร้อยล้านบาทเท่านั้น แต่หนี้ส่วนใหญ่ที่เห็นว่ามากนั้นเกิดจาก PA ที่เป็นบริษัทย่อย ทำธุรกิจทางด้านข้าวทั้งในประเทศและส่งออก
2. PA เป็นหลักประกันในเรื่องวัตถุดิบของ PR เพราะธุรกิจหลักของ PR ใช้ข้าวเป็นวัตถุดิบ ดังนั้น PR จึงต้องสามารถควบคุม PA อย่างใกล้ชิดซึ่งรวมทั้งการค้ำประกันหนี้ต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้กับ PA ด้วย (จริงๆ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่เพราะ PA ก็มีความสามารถในการทำกำไรได้อยู่ ถ้ามีโอกาสจะรองถามในที่ประชุมผู้ถือหุ้นดู)
3. ดูจากที่ PR ยอมปล่อย PB เข้าตลาดหุ้นโดยลดการถือหุ้นลงก็อาจเป็นไปได้ที่จะเอา PA เข้าตลาดหุ้นเช่นกัน แต่ต้องคิดหนักกว่า PB เพราะธุรกิจของ PA เกี่ยวข้องกับ PR มากๆ และข้าวเป็นสินค้าการเมืองของไทยจึงมีความอ่อนไหวค่อนข้างมากในเรื่องข้อมูล แต่ก็มีทางเป็นไปได้ที่จะเอาเข้าตลาดเพราะในตลาดมีปทุมไรซ์มิลล์ ที่ทำธุรกิจเหมือนกับ PA และมูลค่าธุรกิจก็ไม่แตกต่างกัน ส่วนงบการเงินผมไม่แน่ใจแต่ดูจากการที่ PA สามารถทำกำไรให้ PR ได้อย่างต่อเนื่อง ผมตีว่าเข้าตลาดแล้วราคาใกล้เคียงกันก็แล้วกัน ก็น่าจะเพิ่มกำไรและตัดภาระหนี้ออกไปจากงบได้
4. ถ้าผู้บริหาร PR ชั่งน้ำหนักแล้วยอมเอา PA เข้าตลาดผมคิดว่า ราคาหุ้น PR น่าจะสูงกว่านี้อีกไม่น้อยกว่า 30% ปัจจุบันนี้ราคาส่วนหนึ่งต้องมาสะท้อนในความเสี่ยงของ PA
5. PR ยังมีโอกาสอีกมากในเรื่องการแปรรูปข้าวที่เป็นวัตถุดิบที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปของตัวเองให้หลากหลายยิ่งขึ้นแล้วส่งออก เพราะตราบใดที่ข้าวยังเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของไทย ตราบนั้นอุตสาหกรรมนี้ก็ต้องได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องแน่นอน โดยเฉพาะ PR น่าทำ R&D ในเรื่องการผลิตของขบเคี้ยวที่ใช้ข้าวเจ้าและข้าวเหนียวเป็นวัตถุดิบ เพราะผมคิดว่าน่าจะให้ผลตอบแทนต่อหน่วยที่ดีกว่าสินค้าที่มีในปัจจุบัน
ข้อเสียก็มีแต่ขออนุญาตไม่เขียน เพราะผู้เขียนมีส่วนได้ส่วนเสียอยู่ 7,000 หุ้น ดั้งนั้นหากใครเห็นข้อเสียก็ช่วย Post ด้วย จริงๆ น่าจะไปเข้าโครงการร้อยคนร้อยหุ้นของคุณ Jeng แต่กลัวมีเวลาไม่พอที่จะทำ
1. ดูที่งบเดี่ยวจะพบว่า เป็นบริษัทที่แทบจะไม่มีหนี้เลย มีกำไรสะสมเป็นพันล้านบาท แต่มีหนี้แค่ร้อยล้านบาทเท่านั้น แต่หนี้ส่วนใหญ่ที่เห็นว่ามากนั้นเกิดจาก PA ที่เป็นบริษัทย่อย ทำธุรกิจทางด้านข้าวทั้งในประเทศและส่งออก
2. PA เป็นหลักประกันในเรื่องวัตถุดิบของ PR เพราะธุรกิจหลักของ PR ใช้ข้าวเป็นวัตถุดิบ ดังนั้น PR จึงต้องสามารถควบคุม PA อย่างใกล้ชิดซึ่งรวมทั้งการค้ำประกันหนี้ต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้กับ PA ด้วย (จริงๆ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่เพราะ PA ก็มีความสามารถในการทำกำไรได้อยู่ ถ้ามีโอกาสจะรองถามในที่ประชุมผู้ถือหุ้นดู)
3. ดูจากที่ PR ยอมปล่อย PB เข้าตลาดหุ้นโดยลดการถือหุ้นลงก็อาจเป็นไปได้ที่จะเอา PA เข้าตลาดหุ้นเช่นกัน แต่ต้องคิดหนักกว่า PB เพราะธุรกิจของ PA เกี่ยวข้องกับ PR มากๆ และข้าวเป็นสินค้าการเมืองของไทยจึงมีความอ่อนไหวค่อนข้างมากในเรื่องข้อมูล แต่ก็มีทางเป็นไปได้ที่จะเอาเข้าตลาดเพราะในตลาดมีปทุมไรซ์มิลล์ ที่ทำธุรกิจเหมือนกับ PA และมูลค่าธุรกิจก็ไม่แตกต่างกัน ส่วนงบการเงินผมไม่แน่ใจแต่ดูจากการที่ PA สามารถทำกำไรให้ PR ได้อย่างต่อเนื่อง ผมตีว่าเข้าตลาดแล้วราคาใกล้เคียงกันก็แล้วกัน ก็น่าจะเพิ่มกำไรและตัดภาระหนี้ออกไปจากงบได้
4. ถ้าผู้บริหาร PR ชั่งน้ำหนักแล้วยอมเอา PA เข้าตลาดผมคิดว่า ราคาหุ้น PR น่าจะสูงกว่านี้อีกไม่น้อยกว่า 30% ปัจจุบันนี้ราคาส่วนหนึ่งต้องมาสะท้อนในความเสี่ยงของ PA
5. PR ยังมีโอกาสอีกมากในเรื่องการแปรรูปข้าวที่เป็นวัตถุดิบที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปของตัวเองให้หลากหลายยิ่งขึ้นแล้วส่งออก เพราะตราบใดที่ข้าวยังเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของไทย ตราบนั้นอุตสาหกรรมนี้ก็ต้องได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องแน่นอน โดยเฉพาะ PR น่าทำ R&D ในเรื่องการผลิตของขบเคี้ยวที่ใช้ข้าวเจ้าและข้าวเหนียวเป็นวัตถุดิบ เพราะผมคิดว่าน่าจะให้ผลตอบแทนต่อหน่วยที่ดีกว่าสินค้าที่มีในปัจจุบัน
ข้อเสียก็มีแต่ขออนุญาตไม่เขียน เพราะผู้เขียนมีส่วนได้ส่วนเสียอยู่ 7,000 หุ้น ดั้งนั้นหากใครเห็นข้อเสียก็ช่วย Post ด้วย จริงๆ น่าจะไปเข้าโครงการร้อยคนร้อยหุ้นของคุณ Jeng แต่กลัวมีเวลาไม่พอที่จะทำ