โค้ด: เลือกทั้งหมด
การลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี2556นับว่ามีความผันผวนสูงมาก จากที่มีบรรยากาศการลงทุนที่สดใสในช่วง4-5เดือนแรกบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่มีผลประกอบการไตรมาสแรกที่ดีดัชนีปรับเพิ่มขึ้นเกือบ18%ปิดสูงสุดที่ 1,643จุด ณ วันที่ 21เดือนพฤษภาคมตลาดหุ้นไทยมีผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมตลาดหุ้นหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
ตลาดหุ้นไทยเผชิญ“จุดเปลี่ยน”ในเวลาต่อมาบรรยากาศการลงทุนได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ข้อมูลข่าวสารที่ทยอยประกาศออกมาตั้งแต่ การชะลอมาตรการ QEของอเมริกาตัวเลขดัชนีบ่งชี้ทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อภายในประเทศ ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ พัฒนาการการเมืองที่เริ่มเข้มข้น กระแสเงินลงทุนไหลออกพร้อมการอ่อนค่าเงินบาท ความตึงเครียดของประเทศตะวันออกกลางล้วนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนทั้งสิ้นหุ้นส่วนใหญ่ถูกขายออกมาทำให้ราคาหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่อง ดัชนีปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดถึง350จุดปิดที่1,294จุด ณ วันสุดท้ายของเดือนสิงหาคม แม้เมื่อเปรียบเทียบกับวันแรกของปี ดัชนีได้ปรับตัวลงเพียง 100จุด หรือ7.2%หรือเพียง 4%หากคิดรวมเงินปันผลที่จ่ายประมาณ3.2% ด้วย
หากย้อนดูประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นทุกแห่ง นักลงทุนต้องพบ“จุดเปลี่ยน”ได้ตลอดเวลาเนื่องจากตลาดหุ้นมักอ่อนไหวและตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอ หากมีเหตุการณ์ชั่วคราว ไม่มีนัยสำคัญจุดเปลี่ยนนั้นอาจมีผลต่ออารมณ์ และจิตวิทยาลงทุนระยะสั้นทำให้ดัชนีผันผวนขึ้นลงในวงจำกัด แต่หากมีเหตุการณ์ที่กระทบต่อปัจจัยพื้นฐานกิจการอย่างมีนัยสำคัญและเป็นเวลายาวนานเช่น วิกฤติต้มยำกุ้งปี 40หรือวิกฤติซับไพร์มอเมริกานั่นคือ “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้ตลาดหุ้นเปลี่ยนเป็น“ขาลง”ได้เช่นกัน
ในภาวะตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว ตลาดหุ้นไทยที่เคยซื้อขาย ณ ระดับPEกว่า 16 เท่าถูกปรับลดมาที่ 14 เท่าลองมาประเมินกันว่า ตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในสถานการณ์ใดและจะเผชิญ“จุดเปลี่ยน”สำคัญหรือไม่อย่างไร
สถานการณ์ที่ดีที่สุด (Best Case)หากเครื่องบ่งชี้ทางเศรษฐกิจและปัจจัยลบต่างๆ ไม่มีผลกระทบต่อผลประกอบการเลย นั่นคือ ปัจจัยลบเป็นเพียงแค่เหตุการณ์ชั่วคราว เศรษฐกิจโดยรวมจะกลับมาสดใสในอนาคตอันใกล้ราคาหุ้นอาจกลับขึ้นไปซื้อขายในระดับ PEก่อนหน้า ยิ่งหากกิจการยังมีอัตราการเติบโตทั้งรายได้และกำไรดีตามคาด มีค่าEarning(E) เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกด้วย ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงในปัจจุบันคือโอกาสซื้อสำหรับนักลงทุนที่ยังมีถือเงินสดอยู่แต่หากมีหุ้นอยู่เต็มพอร์ตก็ไม่จำเป็นที่ต้องกังวลเพราะราคาคงจะกลับขึ้นมาในไม่ช้า อย่างไรก็ตาม หากประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบัน ยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ที่มีนัยสำคัญที่ทำให้เชื่อได้ว่า ตลาดหุ้นจะกลับมาอยู่ในสถานการณ์ Best Caseใน 1-2เดือนข้างหน้า
สถานการณ์ที่มีความเป็นไปได้ (Base Case)นั่นคือ ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงและซื้อขายในระดับ PE ที่เหมาะสมเพราะได้สะท้อนปัจจัยลบต่างๆ ที่คาดกว่าจะเกิดขึ้นแล้ว หากสถานการณ์ไม่เลวร้ายมากกว่าที่เป็นอยู่ ราคาหุ้นอาจมี Downside Risk จำกัด หากตลาด Over Reactนี่คือโอกาสซื้อหุ้นยอดเยี่ยมในราคาที่มี Margin of Safety ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ เครื่องบ่งชี้ทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบที่จะเกิดจริงและการตัดสินใจลงทุนที่ถูกต้อง
สถานการณ์เลวร้ายที่สุด (Worse Case) หากสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คาดและนำไปสู่ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ตกต่ำย่อมส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของกิจการในระยะยาว ผลประกอบการ (E) ที่ย่ำแย่จะทำให้ตลาดหุ้นและหุ้นส่วนใหญ่จะถูกปรับลดระดับ PEที่ซื้อขายต่ำลง นี่คือการเข้าสู่ภาวะตลาดหุ้น “ขาลง”อย่างแท้จริงราคาหุ้นอาจปรับตัวลงได้อีกมากและกินเวลายาวนานดังเช่นวิกฤติต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต การตัดสินใจขายหุ้นตอนนี้อาจเป็นวิธีหนึ่งในการจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
คำถามก็คือ ตลาดหุ้นไทยจะเข้าสู่ภาวะ Worse Caseหรือ “ขาลง”หรือไม่ คงไม่มีคำตอบที่ถูกต้องแม่นยำเพราะไม่มีใครรู้อนาคตล่วงหน้าอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องล้วนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเช่นเดียวกับ 8 เดือนแรกของปีนี้
คุณฉัตรชัย วงแก้วเจริญ อุปนายกสมาคมนักลงทุนคุณค่า (ประเทศไทย)ได้โพสต์ข้อความส่วนตัวในเฟซบุ๊คไว้ว่า“ที่ผมยังถือหุ้น 100%ไม่ใช่ว่าเป็นVI แล้วต้องถือหุ้นยาวๆ เหตุผลที่แท้จริงก็คือ ผมไม่รู้ว่าหุ้นจะตกไปถึงไหน จะตกไปถึงวันไหน ผมก็เป็นคนที่ขาดความสามารถในการคาดเดาราคาตลาด แต่ก็ยังอยากที่จะลงในหุ้น คุณมีเหตุผลของคุณ ผมก็มีวิธีของผมก็เท่านั้น”
นักลงทุนทุกคนที่คิดลงทุนในตลาดหุ้นอีกยาวนาน คงต้องเผชิญ “จุดเปลี่ยน”ที่จะเกิดขึ้นเสมอโดยอาจมีขนาดและความรุนแรงแตกต่างกันไปในฐานะ Value Investor จึงต้องวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์และเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อความสุขและสบายใจในการลงทุนของตนเองแม้ต้องเผชิญ“จุดเปลี่ยน”สำคัญครั้งแล้วครั้งเล่าในชีวิตการลงทุน แต่สิ่งที่“สำคัญ”และ“ต้องไม่เปลี่ยน”ก็คือ“หลักการ”ลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่ใช้ได้เสมอไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงไป