โค้ด: เลือกทั้งหมด
เมื่อโตขึ้น เรียนจบ และบรรลุนิติภาวะ ฝรั่งส่วนใหญ่จะแยกออกจากบ้านของพ่อแม่ไปอยู่เอง โดยมีทั้งเรื่องของการพึ่งพาตนเอง เพราะพ่อแม่มีหน้าที่ดูแลจนกระทั่งเรียนจบเท่านั้น และอีกนัยหนึ่งคือ เพื่อความเป็นอิสระ
หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ของอังกฤษรายงานว่า ตั้งแต่ปี 1997 หรือ พ.ศ. 2540 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชีย คนหนุ่มสาวของอังกฤษ วัย 20-30 ปี หันมาอยู่กับพ่อแม่มากขึ้นถึง 20% โดยประมาณว่าในปัจจุบันมีคนหนุ่มสาวอังกฤษที่อยู่กับพ่อแม่ถึง 3 ล้านคน และเกินกว่าครึ่ง คือจำนวน 1.8 ล้านคนเป็นผู้ชาย
ปกติหนุ่มสาวที่แยกออกไปอยู่นี้เขาเปรียบเทียบว่าเป็นลูกนกออกจากรัง และเมื่อลูกแยกออกไปอยู่กันเอง พ่อแม่ก็จะอยู่ในช่วงชีวิตที่เรียกว่า “รังว่าง” หรือ “Empty Nester” จะมีอิสระที่จะทำอะไรตามใจตัวเองเสียที หลังจากที่ต้องดูแลลูกมาตลอด 20-22 ปี
จากการสำรวจของสมาพันธ์ที่อยู่อาศัยแห่งชาติของอังกฤษ หรือ National Housing Federation พบว่า 3 ใน 10 ของครอบครัวอังกฤษ มีลูกอายุ 21-40 ปี อาศัยอยู่ด้วยอย่างน้อย 1 คน
นอกจากนี้ หญิงสาววัย 21-22 ปี มีแนวโน้มอาศัยอยู่กับพ่อแม่เพิ่มขึ้น จาก 46.4% ในปี 2008 เป็น 55.6% ในปี 2012 คือเมื่อเรียนจบ เกินกว่าครึ่งจะอยู่กับพ่อแม่
เราอาจจะมองว่าไม่น่าแปลก และน่าจะดีด้วยซ้ำไปที่ลูกอยู่กับพ่อแม่ จะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย และลูกยังสามารถช่วยดูแลพ่อแม่ได้ด้วย แต่ด้วยสังคมของตะวันตกซึ่งเป็นสังคมปัจเจกบุคคลไม่ชินกับเรื่องนี้ เมื่อไปสัมภาษณ์ จึงพบว่าพ่อแม่บางคนบ่นว่ามีภาระทั้งทางการเงินและอารมณ์เพิ่มขึ้น คือทะเลาะกันมากขึ้น
ถ้าการอยู่ร่วมกันคือต่างคนต่างทำในสิ่งที่จะทำอยู่แล้วหากแยกกันอยู่ เดาได้ว่าต้องเกิดปัญหาแน่ๆ และนั่นคือปัญหาที่เกิดขึ้นกับบางครอบครัวในอังกฤษ แต่หากต่างฝ่ายต่างปรับตัว ก็ไม่น่าจะมีปัญหา
ให้เดาก็น่าจะเป็นกรณีที่ว่า เมื่อทำงานแล้วอยู่กับพ่อแม่ ลูกก็ไม่ให้เงินช่วยเหลือค่าใช้จ่ายกับพ่อแม่ คือยังคงจัดการเรื่องการเงินเสมือนตอนที่ยังไม่มีรายได้ เพียงแต่ไม่ขอจากพ่อแม่แล้ว และในการใช้ชีวิต ก็ทำเสมือนหนึ่งคนทำงานที่เป็นอิสระ ไปเฮฮากับเพื่อนฝูง และไม่ได้สนใจที่จะดูแลสารทุกข์สุขดิบของพ่อแม่เท่าที่ควร
คงต้องมีคนไปชี้แนวทางเดินสายกลางให้คนหนุ่มสาวอังกฤษกลุ่มนี้
กลับมาถึงสาเหตุกันดีกว่า ถ้าให้เลือก คนหนุ่มสาวฝรั่งส่วนใหญ่เลือกที่จะแยกไปอยู่เอง เพราะชินกับวัฒนธรรมครอบครัวเดี่ยว ต่างกับชาวตะวันออก ที่ชินกับครอบครัวขยาย แต่ความจำเป็นบังคับค่ะ เพราะราคาที่อยู่อาศัยได้ปรับตัวขึ้นไปสูงมาก แม้รัฐบาลจะมีโครงการช่วยให้คนมีบ้านได้ง่ายขึ้นด้วยการให้ชำระเงินดาวน์เพียง 5% คนหนุ่มสาวอังกฤษก็ยัง ไม่สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้มากนัก
ท่านที่เป็นแฟนประจำของคอลัมน์คงยังจำกันได้ที่ดิฉันเคยเขียนถึงการประเมินความสามรถในการซื้อบ้าน และดัชนีความสามารถในการซื้อบ้าน ซึ่งดิฉันเคยเขียนไปเมื่อสองปีก่อน สำหรับผู้อ่านใหม่ สามารถติดตามได้จากหนังสือ “เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ทุกอย่างเริ่มต้นที่เงิน” ซึ่งพิมพ์ครั้งที่สองแล้วค่ะ
ดัชนีความสามารถในการซื้อบ้านที่คำนวณโดย Demographia ณ ปี 2012 ของผู้ที่อยู่ในลอนดอน เท่ากับ 7.8 ซึ่งมีค่าเท่ากับ ซานฟรานซิสโก ของสหรัฐอเมริกา และในอังกฤษ ไม่มีเมืองไหนเลยที่มีดัชนีเท่ากับ 3 หรือต่ำกว่า ซึ่งแปลว่าคนมีกำลังที่จะสามารถหาซื้อบ้านได้
อีกนัยหนึ่งก็คือ ราคาบ้านในลอนดอนและซานฟรานซิสโก สูงถึง 7.8 เท่าของรายได้ต่อปีของคนที่อาศัยหรือทำงานอยู่ในเมืองทั้งสอง
ดัชนีนี้ใช้ราคามัธยฐานของบ้านหารด้วยค่ามัธยฐานของรายได้เฉลี่ยต่อปี ดัชนีเกิน 5.1 หมายถึง คนทั่วๆไปในเมืองหรือประเทศนั้นๆ แทบจะไม่มีโอกาส หรือไม่มีโอกาสซื้อหาที่อยู่อาศัยได้เลย เพราะเท่ากับว่าต้องเก็บเงินที่หาได้ทุกบาททุกสตางค์ถึง 5.1 ปีขึ้นไป ซึ่งเมืองใหญ่ๆเกือบทุกเมืองในอังกฤษมีค่าดัชนีความสามารถในการซื้อบ้านอยู่สูงกว่า 5.1
คนที่มีรายได้สูงกว่ารายได้เฉลี่ยก็ยังพอสามารถซื้อได้อยู่ค่ะ
คนฮ่องกงยังคงเป็นคนที่มีความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยอันดับสุดท้ายของโลกเช่นเดิมค่ะ โดยดัชนีความสามารถในการซื้อบ้านของคนฮ่องกงอยู่ที่ 13.5 ซึ่งสูงที่สุดในโลก และสูงเป็นประวัติการณ์ หมายความว่าถ้าคนทั่วๆไปในฮ่องกงจะซื้อบ้านจริงๆ จะต้องเก็บเงินประมาณ 45 ปี หรือหากจะกู้และผ่อนชำระคงจะต้องผ่อนชำระไปถึงชั่วลูกชั่วหลานเลยค่ะ ประมาณ 70-80 ปี
ดิฉันนำมาประยุกต์คำนวณสำหรับคนไทยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แต่เปลี่ยนมาใช้เป็นเป็นค่าเฉลี่ยแทนค่ามัธยฐาน จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ รายได้ครัวเรือนเฉลี่ย 41,631 บาทต่อเดือน ในปี 2554 หรือเท่ากับ 499,572 บาทต่อปี หากรายได้เติบโตด้วยอัตรา 5% ต่อปี ในปี 2556 รายได้เฉลี่ยจะเท่ากับ 550,778 บาทต่อปี
ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ระบุว่า ครึ่งแรกของปี 2556 มีการโอนที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯและปริมณฑล 76,800 หน่วย มูลค่ารวม 184,500 ล้านบาท คำนวณราคาเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯและ ปริมณฑล ได้เท่ากับ 2.4 ล้านบาทต่อหน่วย
ดังนั้น ดัชนีความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของครัวเรือนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจึงเท่ากับ 4.36 (2,400,000 บาท หารด้วย 550,778 บาท) ลดลงจาก 4.62 ที่ดิฉันเคยคำนวณไว้โดยใช้ข้อมูลของปี 2552 หมายความว่าความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของชาวกรุงเทพฯและปริมณฑลเพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาที่อยู่อาศัย
ดิฉันมองว่า การเลือกอาศัยอยู่กับพ่อแม่เป็นวิถีชีวิตที่ดีสำหรับคนหนุ่มสาว หากมีครอบครัวแล้ว จะแยกบ้านออกไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มองให้ลึกๆ เศรษฐกิจโดยรวมของครอบครัวก็ดีขึ้นค่ะ ไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้าน คอนโดมิเนียม หรือเช่าหอพัก เชื่อว่าจะทำให้มีเงินเก็บออมมากขึ้น แต่ลูกที่มีงานทำแล้วก็ควรจะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในบ้านด้วย อย่าทิ้งให้เป็นภาระของพ่อแม่
การอยู่ร่วมกันต้องมีศิลปะ ไม่มีใครสามารถทำทุกอย่างตามใจตัวเองได้ตลอดเวลา เราสามารถมีพื้นที่ให้แต่ละคนมีชีวิตส่วนตัวได้ แต่หลายๆเรื่องก็ต้องประนีประนอมกัน ยึดถือส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
หวังว่าลูกนกชาวอังกฤษที่ไม่ออกจากรังจะสามารถปรับตัวได้ในเร็วนี้ เพราะแนวโน้มดูจะไม่ดีขึ้น ราคาที่อยู่อาศัยในอังกฤษตกลงมาเล็กน้อยในปี 2008 ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ หลังจากนั้นก็ทรงตัวมาตลอด ต่างจากราคาที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกา ที่ลดลงค่อนข้างมากหลังวิกฤติ ทำให้ความสามารถในการหาซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น
ถ้าครอบครัวซึ่งเป็นหน่วยของสังคมที่เล็กที่สุดมีความสุขสามัคคี เราก็สามารถขยายผลไปถึงหน่วยใหญ่หน่วยอื่นในสังคม คือ ที่ทำงาน หมู่บ้าน จังหวัด รวมถึงประเทศชาติและหมู่มวลมนุษยชาติได้
ต้องปลูกฝังให้ทุกคนรู้จักคำนึงถึงส่วนรวมและมีจิตสาธารณะอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำสิ่งใดต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนอื่นๆทั้งรอบตัวและไกลตัวด้วย
โลกก็จะน่าอยู่ ทุกคนก็จะมีความสุข