โค้ด: เลือกทั้งหมด
ดิฉันเคยเขียนเรื่อง "ความเห็นอกเห็นใจ จุดเริ่มต้นของการปรองดอง" ไปเมื่อปีที่แล้ว โดยยกตัวอย่างการฝึกเยาวชนให้มีความเห็นอกเห็นใจในผู้อื่น ของมูลนิธิอโชก้า (Ashoka) ในวันนี้อยากจะนำเสนอข้อคิดเห็นเล็กๆน้อยๆที่อาจจะมีประโยชน์ในการอยู่ร่วมกันในสังคม ตั้งแต่หน่วยที่เล็กที่สุดคือครอบครัว ไปจนถึงหน่วยที่ใหญ่ที่สุดคือมวลมนุษยชาติ
ข้อแรก ทุกๆอย่างย่อมเป็นไปในแนวเทียบเคียง (Everything is relative.) บางครั้งความไม่เข้าใจกันเกิดจากการเอามาตรฐานของตัวเองไปวัดให้คนอื่น เช่น เราบอกว่าราคาแพง คนอื่นอาจจะมองว่าถูก หรือเวลาลูกบอกว่าเพื่อนทำอย่างนี้อย่างนั้น ก็ต้องรับฟัง และพยายามทำความเข้าใจว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร ในบริบทของปัจจุบัน อย่าอ้างสมัยก่อน สมัยพ่อ สมัยแม่ เพราะจะเกี่ยวเนื่องกับสมัยนี้ของลูกน้อยเกินไป และโลกก็เปลี่ยนไปเยอะมากๆในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
"ดีแล้ว" ในสายตาของเรา อาจจะยังไม่ดีพอเมื่อไปถึงระดับชาติ ข้อนี้นักกีฬาทุกคนตระหนักดี ในการเรียนก็เช่นเดียวกัน ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ดิฉันเคยเรียน ถ้าไปสอบถามดู เชื่อว่านิสิตของคณะเกือบทั้งหมดเคยสอบได้ที่หนึ่งมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิตนี้
ในฐานะที่มีโอกาส ดิฉันก็พยายามแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้รู้อยู่เรื่อยๆ เปรียบเทียบประเทศนี้ประเทศนั้นอยู่เรื่อยๆ เพราะคำว่า relative นี่แหละค่ะ เราต้องทราบสถานการณ์ของคนอื่นเปรียบเทียบกับเรา เพื่อทำให้เราเข้าใจเรื่องต่างๆมากขึ้น สามารถพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้น
ข้อที่สอง "เปิดใจ" เปิดหู เปิดตา เปิดปาก เปิดบ้าน เปิดพูดคุย อะไรก็ตาม ถ้าใจไม่เปิด ก็ไม่มีประโยชน์ งานของส่วนรวมไม่สามารถจะสำเร็จด้วยดีได้ ถ้าเราไม่เปิดใจรับข้อคิดเห็นและคำแนะนำจากวงกว้าง แน่นอนว่าคำแนะนำเหล่านั้นอาจจะดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แค่มีคนแนะนำยังดีกว่าไม่มี
เขียนถึงคำแนะนำ สัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันได้มีโอกาสสนทนากับนักเศรษฐศาตร์ชาวอังกฤษซึ่งปัจจุบันทำงานอยู่ในฮ่องกง ชื่อ ดร. ไซมอน ออกัส เรารู้จักกันมานานกว่า 20 ปี ดิฉันถามเขาว่าคิดว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงมีความจำเป็นกับประเทศไทยหรือไม่ เขาตอบว่า ต้องมีมวลชนที่จะใช้บริการถึงระดับหนึ่ง (Critical mass) จึงจะคุ้ม หลายประเทศทำแล้วก็ไม่คุ้ม
การที่ทุกอย่างมีความเกี่ยวเนื่อง ย่อมทำให้คนอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบ ไม่ว่าจะเปรียบเทียบข้ามครอบครัว ข้ามจังหวัดหรือข้ามประเทศ และเป็นสิทธิ์ของเขาด้วยที่จะเปรียบเทียบ หัวหน้าไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าครอบครัว หัวหน้ากลุ่ม หรือผู้นำองค์กร หรือประเทศ ต้องใจกว้าง ต้องรับฟัง ฟังแล้วพิจารณาแล้วจะทำหรือไม่ทำตามที่มีผู้เสนอก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่าคิดว่าคนเห็นต่างต้องเป็นฝ่ายตรงกันข้ามเสมอไป
ข้อที่สาม ลืมคำว่า “แพ้ไม่ได้” การที่สังคมมีความวุ่นวาย และเกิดความไม่สงบ แตกแยก หากสาวไปลึกๆจะพบว่าต้นเหตุมาจากการไม่ยอมแพ้กันและกันนี่แหละค่ะ ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลก สงครามกลางเมือง สงครามแย่งดินแดน หรือความไม่สงบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในซีกใดของโลก
การลืมคำว่าแพ้ไม่ได้ หมายถึงการยอมรับว่า บางครั้งเราก็ต้องยอมแพ้ เพื่อความสงบสุข คุณผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วส่วนใหญ่จะตระหนักดีในข้อดี เพื่อให้ครอบครัวสงบสุข คุณผู้ชายส่วนใหญ่จะยอมแพ้ภรรยา ไม่โต้แย้ง ต่อความยาว สาวความยืด เรียกว่ายึดสุภาษิต “รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ” อย่างเหนียวแน่น
ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้ตลอด และหากใครชนะตลอด ก็อาจจะไม่ได้สัมผัสกับโลกแห่งความจริง มนุษย์ต่อให้เก่งกาจเพียงใด ก็ยังไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้อย่างถาวร การรู้จักแพ้จึงทำให้ไม่เครียดค่ะ
ข้อที่สี่ “ให้อภัย” บางทีเราก็รู้ว่าอาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างในการทำงานหรือทำสิ่งต่างๆ ทั้งที่เกิดจากความไม่รู้ เกิดจากทิฐิ เกิดจากความเชื่อผิดๆ หรือเกิดจากการอยากเอาชนะ
หากสิ่งที่ผิดพลาดนั้นไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะรับสภาพ เราก็ควรจะให้อภัย และไม่ถือโทษโกรธเคือง และหากมีโอกาสที่จะช่วยชี้ทางสว่างให้กับผู้ทำผิดทำพลาด เราควรจะหาโอกาสบอก เพื่อเขาจะได้ไม่ทำผิดซ้ำอีก
สืบเนื่องกันไปค่ะ ข้อที่ห้า อย่าคิดว่า “ไม่ใช่ธุระของฉัน” หากคิดว่าความเห็นหรือคำตักเตือนของเรามีประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อยควรจะบอกกล่าวออกมา ความคิดว่า “ธุระไม่ใช่” หรือ “ไม่ใช่ธุระของฉัน” ดูเผินๆแล้วอาจจะเป็นการเคารพสิทธิของผู้อื่น แต่หากเป็นเรื่องของส่วนรวม ต้องพูด ต้องแสดงออก ต้องพยายามชักจูง
ยกตัวอย่างง่ายๆ เราลงเรือไปด้วยกัน 67 ล้านคน (เรือลำใหญ่มาก) เย็นวันหนึ่งไปเดินหัวเรือแล้วเห็นรอยแตกเล็กๆ และมีน้ำรั่วเข้าเรือ เราจะคิดว่าไม่ใช่ธุระของเรา แล้วหันไปทำอย่างอื่น รอยแตกนั้นอาจขยายกว้าง แล้วเราซึ่งเป็นหนึ่งในผู้โดยสารก็จะต้องเดือดร้อนในภายหลัง
“ไม่ใช่ธุระของฉัน” ควรสงวนเอาไว้ใช้เฉพาะเรื่องส่วนตัวของคนอื่น ที่เราไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว หากเขาไม่ได้ร้องขอ แต่หากเป็นเรื่องของส่วนรวม อย่าคิดแบบนี้นะคะ ต้องถือเป็นหน้าที่ที่ทุกคนจะดูแลสังคมให้น่าอยู่และคนในสังคมมีความสุข
ข้อที่หก “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” การเปลี่ยนมุมมอง อาจทำให้เราเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น เหมือนดังคำกล่าวว่า “เปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนชีวิต”
ท่านเคยเดินหรือวิ่งในเส้นทางเดิมๆไหมคะ เช่นวิ่งเวียนขวารอบสระ หรือรอบสนามทุกครั้ง แล้ววันหนึ่งท่านก็เปลี่ยนไปวิ่งเวียนซ้ายบ้าง
ท่านพบอะไร?
หลายท่านจะเห็นในสิ่งที่ไม่เห็นเมื่อวิ่งหรือเดินในเส้นทางเดิม อาจจะเป็นต้นไม้บางต้น มุมมองหรือทิวทัศน์บางมุม ซึ่งพอมองจากมุมใหม่ อาจจะเห็นว่ามีมุมสวยๆเพิ่มขึ้น
ในการเป็นหัวหน้าหรือผู้นำก็เช่นเดียวกันค่ะ บางครั้งเราจะชินกับการมองจากภาพใหญ่ไปสู่ภาพเล็ก และจะชินกับการสั่งการ ผู้บริหารหรือหัวหน้าทุกคน ควรเปลี่ยนมุมมองบ้าง ลองลงไปสัมผัสและติดตามไปกับการไหลของงาน ท่านจะค้นพบว่า มีอีกหลายแง่หลายมุมของการทำงาน ที่ท่านอาจนึกไม่ถึง และท่านจะสามารถใช้ประสบการณ์ของท่านในการช่วยแก้ไขปัญหา หรือป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น
ขณะเดียวกัน การเป็นลูกน้องก็ทำให้เราเห็นภาพจากมุมของเรา ลองเอาใจหัวหน้ามาใส่ใจเราบ้าง แล้วจะเห็นว่า คนที่เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำ ต้องแบกรับภาระและความรับผิดชอบที่หนักหนาเพียงไร เมื่อเห็นเช่นนั้น เราจะเกิดความเห็นอกเห็นใจ เกิดความเข้าใจหัวหน้ามากขึ้นค่ะ
ลองดูนะคะ “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” จะช่วยให้แก้ปัญหาหลายๆอย่างได้ง่ายขึ้น