โค้ด: เลือกทั้งหมด
คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.50% เป็น 2.25% นั้นผิดความคาดหมายนักวิเคราะห์เกือบทุกคนผมเองก็มั่นใจเกือบ 100% ว่ากนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบาย จึงอยู่ในกลุ่มนักวิเคราะห์ที่หน้าแตกไปเหมือนกัน ทั้งนี้ อาจเปรียบเทียบได้ว่าการลดดอกเบี้ยของกนง.นั้นผิดความคาดหมายเสมือนว่านายกรัฐมนตรีถูกเสียงข้างมากลงคะแนนไม่ไว้วางใจในรัฐสภาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
หากพิจารณาจากสาระของแถลงการณ์ของกนง.ก็จะเห็นว่าเสียงส่วนใหญ่ (6 ต่อ 1) ให้เหตุผลการลดดอกเบี้ยดังต่อไปนี้
1. เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3 โดยเป็นการอ่อนตัวของทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ
2. การส่งออกไม่ฟื้นตัว (เช้าวันเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ประกาศตัวเลขการส่งออกเดือนตุลาคม หดตัว 0.67% และต่ำกว่าคาดการณ์)
3. เมื่อมองไปข้างหน้าก็เห็นว่า “เศรษฐกิจมีความเสี่ยงมากขึ้นจากความล่าช้าในการลงทุนของภาครัฐ (และ) ความเชื่อมั่นภาคเอกชนที่อาจเปราะบางยิ่งขึ้นจากความไม่สงบทางการเมือง”
4. เงินเฟ้อต่ำและสินเชื่อภาคเอกชนขยายตัวชะลอลง
ข้อมูลข้างต้นนั้นเกือบจะไม่มีอะไรเลยเว้นแต่ความไม่สงบทางการเมือง ซึ่งปะทุขึ้นอย่างที่ไม่มีใครคาดการณ์มาก่อนในเดือนพฤศจิกายนหลังการผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรม “เหมาเข่ง” เมื่อเวลาตี 4 วันที่ 1 พฤศจิกายน ดังนั้น คำถามคือ ทำไมนักวิเคราะห์เกือบทุกคนจึงประเมินท่าทีของกนง.ผิดพลาด? คำตอบง่ายๆ อาจเป็นเพราะว่ากนง.เป็นห่วงเรื่องการเมืองว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็มีประเด็นที่น่าสนใจตามมา 2 ข้อคือ 1. หากดูดัชนีตลาดหลักทรัพย์แล้วจะเห็นว่าราคาหุ้นไม่ได้ปรับลดลงมากนัก แสดงว่านักลงทุนไม่ได้เป็นห่วงเรื่องการเมืองหรือมีบ้างแต่ไม่มาก ซึ่งจากการที่ผมได้พูดคุยกับนักลงทุนก็พอสรุปได้ว่านักลงทุนผิดหวังที่การเมืองยังเป็นปัญหาอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าและยังไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าจะมีทางออกอย่างไรและเมื่อไหร่ แต่ก็ไม่ได้มองว่าจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและหลายคนพยายามถามว่าปัญหาการเมืองครั้งนี้ใกล้ถึงจุดขัดแย้งสูงสุดแล้วหรือยัง โดยเชื่อว่าอีกไม่นานคงจะมีทางออก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ควรหาจังหวะกลับเข้ามาลงทุนได้ แต่การที่กนง.มองว่าปัญหาการเมืองอาจยืดเยื้อจนความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมีมากพอที่จะทำให้เห็นว่าควรปรับลดดอกเบี้ยลงก็อาจแปลว่านักลงทุนมองภาพการเมืองของไทยในแง่ดีเกินไป
อีกข้อหนึ่งคือการปรับลดดอกเบี้ยจะช่วยได้อย่างไรเพราะในตอนเช้าของวันเดียวกัน สำนักข่าวบลูมเบิร์กสัมภาษณ์รัฐมนตรีคลังและพาดหัวข่าวว่ารัฐมนตรีคลังบอกว่าไม่ได้เรียกร้องให้กนง.ลดดอกเบี้ยลงแล้ว เพราะเห็นว่าปัญหาหลักที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองคือการขาดความมั่นใจของนักลงทุน ซึ่งผมเองก็ถูกถามว่าการลดดอกเบี้ยลงเกี่ยวข้องกับปัญหาการเมืองอย่างไร ซึ่งในความเห็นของผมนั้นการปรับลดดอกเบี้ยน่าจะมีผลประโยชน์บ้างในทางอ้อมกับเศรษฐกิจไทยดังนี้
1. เมื่อลดดอกเบี้ยลงก็น่าจะส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงไปอีก ซึ่งจะเป็นประโยชน์บ้างในการช่วยกระตุ้นการส่งออกสุทธิ (คือเพิ่มการส่งออกและลดการนำเข้า) ซึ่งจะช่วยเพิ่มจีดีพี
2. การลดดอกเบี้ยนโยบายซึ่งเป็นดอกเบี้ยระยะสั้นในช่วงที่เงินเฟ้ออยู่ที่ระดับต่ำมาก (เช่นปัจจุบัน) น่าจะช่วยให้ดอกเบี้ยระยะยาวปรับลดลงไปด้วย อันจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินและเพิ่มราคาสินทรัพย์ (เห็นได้จากการที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นโดยเฉพาะหุ้นอสังหาริมทรัพย์ เพราะนักลงทุนเชื่อว่าจะช่วยให้ยอดขายบ้านเพิ่มขึ้น)
แต่การปรับลดดอกเบี้ยมากเกินไปก็อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่ามากจนกระทั่งเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินไหลออกอย่างรวดเร็วในปีหน้าเมื่อธนาคารกลางสหรัฐเริ่มลดทอนคิวอี ดังนั้น ผมจึงเชื่อว่ากนง.คงจะต้องคิดหนักมากหากจะลดดอกเบี้ยนโยบายอีกในอนาคต
อย่างไรก็ดี ผมมีความเห็นว่าการปรับลดดอกเบี้ยของกนง.แบบหักปากกาเซียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้นตีความได้ว่าแนวคิดของกนง.เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ (อย่าลืมว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์นั้นที่จริงคือการคาดการณ์ว่ากนง.คิดอย่างไรและจะปรับหรือไม่ปรับดอกเบี้ยนโยบาย) กล่าวคือ เดิมทีกนง.ส่งสัญญาณมาโดยตลอดว่าเศรษฐกิจชะลอตัวลงในไตรมาส 1 และ 2 เพราะเศรษฐกิจร้อนแรงมากในไตรมาส 4 ของปีที่แล้วและเศรษฐกิจจะต้องฟื้นตัวอย่างแน่นอนในครึ่งหลังของปีนี้และอาจร้อนแรงเกินไปด้วยซ้ำ จึงจะไม่ยอมลดดอกเบี้ยแน่นอนและเตรียมตัวปรับดอกเบี้ยขึ้นด้วยซ้ำ แต่ในการตัดสินลดดอกเบี้ยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกนง. “เปลี่ยนไป” โดยในส่วนของเศรษฐกิจไทยนั้น “ความเสี่ยง” 3 ครั้งคือ "เศรษฐกิจมีความเสี่ยงมาก....." "เศรษฐกิจ....มีความเสี่ยงสูงขึ้น" และ "ผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยง" ซึ่งอาจทำให้นักวิเคราะห์เช่นผมซึ่งเคยคิดว่ามองเห็นความเสี่ยงมานานแล้วต้องถามตัวเองว่ายังมีความเสี่ยงอื่นๆ ที่ผมมองไม่เห็นหรือเปล่า?
ที่มา นสพ.กรุงเทพธุรกิจ 2/12/56