เกร็ดคำศัพท์เกี่ยวกับการประท้วง/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ล็อคหัวข้อ
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

เกร็ดคำศัพท์เกี่ยวกับการประท้วง/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ ม.ค. 27, 2014 12:39 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

	ตั้งแต่เกิดการเริ่มประท้วงเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับที่ให้สมญากันว่า “สุดซอย”ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2556 พัฒนามาถึงการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง ไปจนถึงการยุบสภา และกำหนดวันเลือกตั้ง จนมาถึงวันที่ 24 มกราคม 2557  มีเงินลงทุนต่างชาติออกจากตลาดหุ้นไทยไปประมาณ 90,000 ล้านบาท และออกจากตลาดพันธบัตรไปประมาณ 41,000 ล้านบาท	
ดิฉันเองก็ได้รับข้อความแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองของประเทศไทยจากเพื่อนต่างชาติ และญาติมิตรที่เป็นคนไทยในต่างประเทศมากมาย ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ประท้วงของมวลมหาประชาชน (ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้คิดศัพท์คำนี้ ใช้คำได้ดีมาก เห็นภาพชัดเจน)
	จากสายตาของคนไทยที่พำนักอยู่ในกรุงเทพมหานคร เราจะรู้สึกว่า คนต่างชาติเหล่านี้ กลัวกันไปเกินกว่าเหตุ กลุ่มผู้ชุมนุมก็ไม่ได้มีอาวุธอะไรนอกจากนกหวีดและมือตบพลาสติก
	หลายคนไม่เข้าใจเหตุการณ์และถามว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งดิฉันก็ได้แชร์วิดีโอที่น้องๆคนไทยจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ช่วยกันทำขึ้น เพื่ออธิบาย เนื่องจากดิฉันก็ไม่เคยชินกับคำศัพท์การเมืองภาษาอังกฤษมากนัก
	อย่างไรก็ดี แม้จะไม่ใช่ผู้ชำนาญคำศัพท์ทางการเมือง แต่ดิฉันอยากให้ข้อสังเกตว่า เรานำคำศัพท์มาใช้ไม่ตรงกับความหมายเสียทีเดียว  โดยเฉพาะบางคำที่มีความหมายแฝง และยิ่งถูกนำมาสกรีนบนเสื้อ บนหมวก ทำเป็นโปสเตอร์ หรือเป็นฉากหลังของเวทีประท้วงด้วยแล้ว ก็อาจจะยิ่งทำให้คนเข้าใจผิดมากขึ้น
	เริ่มจากคำแรกก่อนค่ะ “ม็อบ” หรือ “Mob” โดยทั่วไปหมายถึง กลุ่มคน  คำนี้มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า mobile vulgus ซึ่งคนอังกฤษนำมาใช้ประมาณทศวรรษ 1680 ในการเรียกการรวมกลุ่มของผู้คน
	หรือนำมาใช้ว่า mobbing หมายถึง ผู้คนที่แออัดเบียดเสียดกัน หรือใช้เป็นคำกริยา หมายถึง รุมห้อมล้อม เช่น Eager fans mobbed the actress. แฟนๆต่างกระตือรือร้นรุมห้อมล้อมดาราสาวกันใหญ่
	อย่างไรก็ดี ในสก็อตแลนด์ มีการออกกฎหมายเกี่ยวกับการรวมกลุ่มแบบไม่ถูกกฎหมายเพื่อความรุนแรง โดยใช้เรียกคนกลุ่มที่รวมตัวกันแบบนี้ว่า “mob”
	ในสหรัฐอเมริกา คำว่า “mob” หากใช้ในความหมายทางอาชญากรรม แปลว่า มาเฟีย หรือแก้งค์กลุ่มคนไม่ดีที่รวมตัวกัน เพราะฉะนั้น จึงมีความหมายแฝงในทางลบ หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่ามี “negative connotation”
	ในออสเตรเลีย จะใช้ในความหมายของกลุ่มคนสามัญรวมตัวกัน แต่ส่วนใหญ่จะใช้ในบริบทว่าเป็นฝูงชนที่ควบคุมไม่ได้  และออสเตรเลียยังใช้คำว่า mob เรียกการรวมกลุ่มของสัตว์ เช่น ฝูงจิงโจ้ จะเรียกว่า a mob of kangaroos
	ม็อบ แบบที่กำลังรวมตัวกันอยู่ในเมืองไทยปัจจุบันนี้ ควรจะเรียกว่า “protester” มากกว่า สะกดได้สองแบบค่ะ ทั้ง protester ถ้าเป็นการสะกดแบบอังกฤษ และ protestor ถ้าเป็นการสะกดแบบอเมริกัน และหากมีหลายคนก็เติม “s” เพื่อให้เป็นพหูพจน์
	Protester คือ “ผู้ประท้วง ผู้แสดงความไม่เห็นด้วย ผู้แสดงความไม่พอใจ อย่างเปิดเผย” เริ่มนำมาใช้ในภาษาอังกฤษในทศวรรษ 1350-1400 ก่อนคำว่า mob เสียอีก 
	ของเราเป็นผู้ประท้วงที่มาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง กำจัดการคอร์รัปชั่น เป็นผู้ประท้วงที่ควบคุมได้ ประพฤติตัวดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีใจเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และที่สำคัญคือ ซื้อของเก่ง ช่วยให้เงินสะพัดและเศรษฐกิจในบริเวณที่ชุมนุมเป็นไปด้วยดี จึงควรจะเรียกว่า “protesters”
	มิน่าเล่า...พอต่างชาติได้ข่าวว่ามีม็อบก่อตัว ก็รีบขายหุ้น ขายพันธบัตรไทยกันยกใหญ่  และเวลาเราบอกกับเพื่อนต่างชาติว่าไปร่วม “ม็อบ”  ใครๆก็บอกว่า “ระวังตัวนะ ดูแลตัวเองให้ดี ขอให้ปลอดภัย” 
	คำที่สองคือ “Shut Down” คำนี้ดิฉันและเพื่อนๆใน“ไลน์” พยายามแย้งตั้งแต่ต้นแล้วว่า น่าจะเป็น “Occupy” มากกว่า และควรเรียกปฏิบัติการครั้งนี้ว่า “Occupy Bangkok” มากกว่า “Shut Down Bangkok”
	เรียก “Shut Down” เลยมีนักท่องเที่ยวเก็บกระเป๋ากลับบ้านไปมากราย รวมถึงนักธุรกิจที่เสร็จธุระก็พลอยรีบกลับด้วย
	“Shut Down” เมื่อเป็นคำกริยา มีความหมายว่า หยุดการดำเนินการ หยุดการทำงาน หากเป็นภาษาพูด หมายความว่า หยุด ทำให้สิ้นสุด หรือห้ามอย่างเข้มงวด รุนแรง
	“Shut Down” เมื่อเป็นคำนาม จะหมายถึง การหยุดทำงาน เช่น โรงงานหยุดผลิต ซึ่งอาจจะหยุดชั่วคราวเพื่อซ่อมบำรุง หรืออาจจะหยุดถาวร เพราะธุรกิจไม่สามารถคงอยู่ได้ 
	“Occupy” แปลว่า จับจอง ไปทำให้พื้นที่เต็ม หรือไปควบคุม ซึ่งการที่มวลมหาประชาชน ไปจับจองที่ ทั้งนั่ง ทั้งกางเต้นท์นอน อยู่กลางสี่แยกนี้ ถือเป็นการ occupy สี่แยกแต่ละแห่งค่ะ เป็นคำที่เหมาะสมที่จะใช้จริงๆ 
	เจ้าตำรับ Occupy Wall Street ก็คงต้องยกนิ้วให้เรา เพราะตอนที่พวกเขาเข้าไปจับจองพื้นที่วอลล์สตรีทนั้น เขาไปจับจอง และกางเต้นท์นอนเพียงในสวนสาธารณะใกล้ๆตลาดหุ้นนิวยอร์คเท่านั้น
	มาถึงคำสุดท้ายแล้ว คำนี้ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษไม่ตรง แต่ประกาศใช้ไม่ตรงกับสถานการณ์มากกว่า คือ “สถานการณ์ฉุกเฉิน” หรือ “State of Emergency” 
	คำว่า “Emergency” หมายถึง สถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งต้องการการดูแลดำเนินการในทันทีทันควัน
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ตามหลักสากล มีเพียงรัฐบาลเท่านั้นที่จะประกาศได้ และ เหตุที่ต้องประกาศ มักจะเกิดจากภัย ทั้งภัยจากธรรมชาติ และภัยจากมนุษย์  โดยจะประกาศระหว่างมีเหตุการณ์ความไม่สงบของประชาชนเกิดขึ้น หรือเมื่อมีการประกาศสงคราม
	เมื่อมีการประกาศสภาวะฉุกเฉิน รัฐบาลสามารถจะหยุดหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้ ทำให้ประชาชนทั่วไปต้องเปลี่ยนไปจากการเป็นอยู่ปกติ พร้อมทั้งจะมีหน่วยงานของรัฐเข้าไปวางแผนดูแล เช่น ในช่วงที่ญี่ปุ่นประสบกับแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิในปี 2554 เป็นต้น
	เมื่ออยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน สิทธิเสรีภาพของประชาชนจะถูกลิดรอน ทั้งนี้เพื่อให้รัฐสามารถบริหารจัดการได้สะดวกขึ้น
	หลายครั้งที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง เช่น ในสหภาพโซเวียต ในเดือนสิงหาคม 1991 มีการพยายามทำรัฐประหารยึดอำนาจ จากประธานาธิบดีกอร์บาชอฟ (Gorbachev) และได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แม้จะเกิดขึ้นเพียง 2 วัน และทำไม่สำเร็จ แต่ก็นำไปสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในเวลาต่อมา กลายเป็นประเทศรัสเซียและประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศ
	วิเคราะห์ดูแล้ว แม้เราจะใช้คำศัพท์ที่ไม่ตรงกับสถานการณ์มากนักในสองกรณีแรก แต่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน น่าจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้คนตื่นกลัว  เพราะแม้แต่เพื่อนต่างชาติของดิฉันที่คุ้นเคยกับเมืองไทยมานานกว่า 30 ปี ยังยกเลิกการเดินทางมาพักผ่อนในช่วงตรุษจีนเลยค่ะ จึงอยากให้รัฐบาลรักษาการทบทวนยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน ก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะเสียหายไปมากกว่านี้
[/size]



ล็อคหัวข้อ