VI-Why?/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

VI-Why?/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ ก.พ. 03, 2014 1:24 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor      1 กุมภาพันธ์ 2557
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
VI-Why?

	ถ้าต้องการที่จะเป็น VI ที่เก่งกาจ  ผมคิดว่าเขาจะต้องสร้างนิสัย  “ขี้สงสัย”  ในทุก ๆ  เรื่องแม้แต่เรื่องที่คนส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดไม่เคยแม้แต่คิดว่ามันจะเป็นอย่างอื่นนอกจากสิ่งที่  “รู้กันอยู่แล้ว”  หรือเป็นสิ่งที่คนยอมรับกันอย่างกว้างขวาง    ดังนั้น  สำหรับ VI แล้ว  เขาควรจะต้องหมั่น  “ตั้งคำถาม”  และ  “ตอบให้ได้”  ว่า  ทำไม?  ทำไม? และ ทำไม?  จึงเป็นอย่างนั้นหรือเป็นอย่างนี้  ถ้าตั้งคำถามเป็นและตอบได้ถูกต้อง  โอกาสที่จะเป็นนักลงทุนที่ดีและสร้างผลตอบแทนได้น่าประทับใจในระยะยาวก็เป็นไปได้สูง
	คำถามสำคัญข้อแรกที่ VI ต้องใช้เป็นประจำก็คือ  ทำไมบริษัทถึงกำไรดีกว่าหรือแย่กว่าคู่แข่งหรือบริษัทที่ทำธุรกิจคล้าย ๆ กัน?   โดยที่คำว่ากำไรดีในที่นี้ก็คือ  กำไรต่อยอดขาย หรือ Net Profit Margin  
	ความสำคัญของคำถามนี้ก็คือ  กำไรเป็นตัวที่จะบอกถึง “คุณภาพ”  ของธุรกิจ  บริษัทที่กำไรดีกว่าก็มักจะเป็นบริษัทที่มีคุณภาพสูงกว่า  และบริษัทที่มีคุณภาพสูงกว่าก็มักจะต้องมีค่ามากกว่าถ้าทั้งสองบริษัทมีกำไรคิดเป็นเม็ดเงินเท่ากัน  หรือถ้าจะสรุปก็คือ  บริษัทที่มีกำไรต่อยอดขายสูงกว่าควรจะมีค่า PE สูงกว่าถ้าปัจจัยอย่างอื่นเหมือน ๆ  กัน
	กำไรที่ดีกว่านั้น  จะต้องเป็นกำไรที่ดีกว่าเป็นปกติทุกปีหรือเกือบทุกปี  เช่นเดียวกัน  ธุรกิจนั้นจะต้องคล้ายกันมากหรือเหมือนกัน  ตัวอย่างเช่นเป็นบริษัทที่ทำโรงพยาบาล  หรือขายอาหารแบบภัตตาคารเป็นหลัก  หรือเป็นห้างค้าปลีกประเภทเดียวกัน  หรือเป็นธนาคารหรือธุรกิจหลักทรัพย์  หรือเป็นโรงแรมหรู เป็นต้น
	ถ้าเราพบว่าบริษัทหนึ่งมีกำไรต่อยอดขายที่ดีกว่าคู่แข่งทั้งหลายต่อเนื่องยาวนาน  นี่ก็คือข้อเท็จจริงว่ามันน่าจะเป็นบริษัทที่มีคุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ดีอย่างแน่นอน  คำถามก็คือ  ทำไม?  อะไรทำให้มันดีกว่าคู่แข่ง?  และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ  สิ่งที่ทำให้มันดีกว่าคู่แข่งนั้นจะมีอยู่ต่อไปอีกนานแค่ไหน?
	คำตอบของแต่ละบริษัทและในแต่ละธุรกิจนั้นอาจจะไม่เหมือนกัน  บางทีอาจจะเป็นเรื่องของคุณภาพหรือยี่ห้อที่ทำให้คนยอมจ่ายราคาที่สูงขึ้นทำให้บริษัทมีกำไรดีกว่าปกติหรือดีกว่าคู่แข่ง  บางทีอาจจะเกิดจากการที่ต้นทุนของบริษัทต่ำกว่าปกติหรือต่ำกว่าคู่แข่งเนื่องจากบริษัทมียอดขายสูงกว่าบริษัทอื่นมาก  ทำให้มี Economies of Scale สูงกว่าคู่แข่งโดยทั่วไป   และในทั้งสองกรณีเราต้องถามต่อไปว่า  ถ้าเป็นเรื่องของคุณภาพหรือยี่ห้อนั้น  บริษัทจะยังรักษาให้โดดเด่นต่อไปได้มากน้อยและนานแค่ไหน  หรือถ้าเป็นเรื่องของต้นทุน  จะมีบริษัทอื่นหรือคู่แข่งสามารถสร้างยอดขายหรือปรับกระบวนการผลิตจนทำให้มีต้นทุนเท่ากับบริษัทผู้นำได้หรือไม่  เหล่านี้คือสิ่งที่เราจะต้องถามและหาคำตอบที่ถูกต้อง
	คำถามที่อาจจะได้ถามบ่อย ๆ ข้อสองก็อาจจะเป็นเรื่องของการเติบโตของบริษัท  ทั้งในด้านของยอดขายและกำไร  ถ้าบริษัทเติบโตเร็วและ/หรือเติบโตต่อเนื่องยาวนาน  ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น?  และมันจะโตต่อไปอีกมากน้อยและนานแค่ไหน?
	คำว่าเติบโตนั้น  เราก็ต้องรู้ว่ามันจะต้องเติบโตอย่างมีคุณภาพ  เช่น  มันควรจะเป็นการเติบโตจากภายในหรือ  Organic Growth นั่นคือ  โตจากการขยายงานหรือเพิ่มลูกค้าของบริษัทเอง  ไม่ใช่ไปซื้อกิจการมา  การเติบโตของกำไรก็ควรจะต้องเป็นการเติบโตของกำไรต่อหุ้นไม่ใช่กำไรโตขึ้นแต่ต้องเพิ่มทุนมากกว่า  ทำให้กำไรต่อหุ้นลดลง  นอกจากนั้น  การที่ยอดขายโตแต่กำไรกลับลดลงหรือโตน้อยกว่ามากก็อาจจะไม่เป็นประโยชน์อะไรนัก   สรุปก็คือ  ต้องกำหนดให้ชัดเจนเสียก่อนว่าบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ  นั่นก็คือ  มียอดขายและกำไรเติบโตสอดคล้องกันต่อเนื่องยาวนานอาจจะไม่ต่ำกว่า 3-4 ปีมาแล้วเป็นอย่างน้อย  และเหตุผลที่มันเติบโตก็คือ…
	คำตอบของคำถามว่าทำไมบริษัทจึงโตจะช่วยบอกให้เรารู้ว่ามันจะโตต่อไปหรือไม่และจะโตไปได้อีกแค่ไหน?
	บางทีอาจจะเป็นว่าบริษัทโตเพราะอุตสาหกรรมหรือธุรกิจนั้นโตขึ้น  โดยที่บริษัทก็โตไปกับอุตสาหกรรมโดยที่ส่วนแบ่งตลาดของบริษัทก็คงเดิม  แบบนี้เราก็ต้องดูว่าอุตสาหกรรมจะโตไปได้อีกมากน้อยแค่ไหนซึ่งก็จะทำให้เราพอจะรู้หรือคาดได้ว่าบริษัทจะโตไปอีกเท่าไรในกรณีที่บริษัทยังสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดไว้ได้เท่าเดิม   บางทีอาจจะเป็นว่าบริษัทโตขึ้นเนื่องจากสามารถแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งมากขึ้นเนื่องจากคู่แข่งนั้นเป็นบริษัทที่ดำเนินการด้วยเทคโนโลยีหรือรูปแบบธุรกิจที่กำลัง  "ล้าสมัย”  ไม่สามารถแข่งขันได้  และดังนั้นจะค่อย ๆ  ลดจำนวนและปริมาณลงไปเรื่อย ๆ  โดยที่บริษัทก็จะเข้าไปแย่งตลาดมาเป็นของตนเองจนมีขนาดใหญ่ขึ้นไปถึงระดับหนึ่งซึ่งพอจะคาดการณ์ได้  หรือบางทีการเติบโตของบริษัทนั้น  อาจจะขึ้นอยู่กับฝีมือหรือความสามารถของบริษัทเองในการที่จะโตเนื่องจากตลาดนั้นอาจจะใหญ่มากแทบไม่มีข้อจำกัด  ถ้าเป็นแบบนี้  เราก็คงต้องวิเคราะห์ดูว่าบริษัทจะมีความสามารถและทรัพยากรที่จะโตต่อไปอีกมากน้อยแค่ไหน
	สำหรับ VI แล้ว  เมื่อเราพบกับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่าง ๆ  ที่อาจจะกระทบกับการลงทุน  เราควรจะต้องถามว่า  ทำไมมันถึงเกิดแบบนั้น?  ตัวอย่างเช่น  เรื่องของการเมืองที่กำลังวิกฤติอยู่ในช่วงนี้  แทนที่จะดูว่าใครพูดหรือทำอะไรและเกิดเหตุการณ์รุนแรงอะไรบ้าง  เราควรจะต้องถามคำถามว่า  ทำไมประเทศไทยจึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้?   เราควรจะวิเคราะห์  “ภาพใหญ่” ที่เป็นเรื่องของ  “ระบบ” ที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุหรือสถานการณ์ต่าง ๆ    ตัวบุคคลหรือข้อขัดแย้งนั้นเป็นเรื่องของ “ภาพเล็ก” ที่เป็นผล  ไม่ใช่  สาเหตุ   ดังนั้น  ถ้าเราตอบคำถามได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้การเมืองเป็นแบบนี้ได้  เราก็จะสามารถวิเคราะห์ได้ถูกต้องขึ้นว่าสุดท้าย  หรืออนาคต  การเมืองของไทยจะเป็นอย่างไรและมันจะกระทบกับบริษัทต่าง ๆ  อย่างไร
	เรื่องของเศรษฐกิจก็เช่นเดียวกัน  คำถามอาจจะต้องเริ่มจากคำว่า  ทำไม?  เช่น  ทำไมเศรษฐกิจไทยจึงเติบโตต่อเนื่องมาช้านานและเอื้ออำนวยกับบริษัทจดทะเบียนให้เติบโตขึ้นส่งผลให้การลงทุนในหุ้นของตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมมาในช่วงเกือบ 40 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นถึงประมาณ 10% ต่อปี ซึ่งก็เป็นอัตราที่ดีในระดับ “ยอดเยี่ยม” ทีเดียว  และคำตอบที่ได้ก็จะช่วยบอกเราว่าตลาดหุ้นไทยจะยังให้ผลตอบแทนที่ดีต่อไปอีกมากน้อยแค่ไหน
	คำถามว่า  ทำไม?  นั้น  การที่จะตอบได้ดีและถูกต้อง  บ่อยครั้งเราต้องศึกษาประวัติศาสตร์ของสิ่งต่าง ๆ มากมายรวมถึงประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ  ประวัติศาสตร์สังคมและการเมือง  และประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่ผมคิดว่ามีความสำคัญมากทีเดียว  ว่าที่จริงในระยะหลัง ๆ  นี้  เวลาที่ผมใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์ของสิ่งต่าง ๆ  รวมกันนั้นมากกว่าเวลาในการศึกษาเรื่องของการลงทุนโดยตรงหลายเท่า  เหตุผลสำคัญที่ผมทำอย่างนั้นก็เพื่อที่จะตอบคำถามว่า  Why? ทำไม?  มันจึงเป็นอย่างนั้น
[/size]



ตอบกลับโพส