Hi-So Party/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

Hi-So Party/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ มี.ค. 10, 2014 9:56 am

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor        8 มีนาคม 2557
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Hi-So Party

	การใช้เวลาว่างเพื่อการพักผ่อนของผมนั้น   ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการชมละครหลังข่าวในตอนค่ำ  เวลาที่ผมไปจ่ายตลาดประจำสัปดาห์ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตตามห้างสมัยใหม่นั้น  ผมก็มักจะไปแวะตามร้านหนังสือเพื่อที่จะดูว่ามีหนังสือที่เป็นวิชาความรู้ใหม่ ๆ  ที่ผมสนใจไหม   และอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ  การแวะดูนิตยสารต่าง ๆ  บนแผงหนังสือซึ่งส่วนใหญ่ผมก็จะดูแค่นางแบบหรือนายแบบและเรื่องราวที่อยู่บนปกหนังสือ  สิ่งที่ผมสนใจนอกจากความรู้และความบันเทิงแล้วก็คือ  “เทรนด์หรือกระแสของสังคม”  ว่าเป็นอย่างไรหรือกำลังไปทางไหน?  สิ่งที่ผมสนใจเป็นพิเศษก็คือเรื่องของดาราหรือคนที่อยู่บนจอทีวีหรืออยู่บนปกนิตยสาร  เพราะคนเหล่านี้ก็คือคนที่มีชื่อเสียงหรือกำลัง “ดัง”  ด้วยเหตุผลต่าง ๆ  และก็มักจะเป็นคนร่ำรวยเป็นที่อิจฉาหรือหมายปองของคนในสังคม  พวกเขาเป็น “เซเลบ” และอยู่ในสังคมที่เรียกกันว่าเป็น “Hi-So Party”  ความคิดและวิถีชีวิตของพวกเขานั้นมักจะเป็นสิ่งที่ล้ำหรือนำหน้าคนทั่วไปในสังคมหรืออย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่คนในสังคมกำลังทำอยู่   ดังนั้น  การติดตามพวกเขาจะทำให้เรารู้ว่าสังคมกำลังคิดและทำอย่างไรและกำลังไปทางไหนซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับการลงทุนหรือนักลงทุน  เพราะประเด็นของเราก็คือ  เราต้องการลงทุนในธุรกิจที่กำลังเติบโต  เราต้องการอยู่ในสิ่งที่เป็นอนาคต  เราต้องการเข้าใจสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่และกำลังเปลี่ยนไปเพื่อที่เราจะได้ปรับตัวให้เข้ากับสังคมนั้นได้อย่างราบรื่น
	คนที่สูงอายุอย่างผมนั้นหลายคนอาจจะบอกว่าเสียเปรียบที่จะเรียนรู้และเข้าใจความคิดหรือพฤติกรรมของคน  “รุ่นใหม่”  ข้อนี้ผมก็คิดว่าจริง  อย่างไรก็ตาม  ผมมีข้อดีที่พอจะชดเชยความเสียเปรียบได้เหมือนกันนั่นก็คือ  ผมอาจจะเข้าใจ  “การเปลี่ยนแปลง”  ได้มากกว่าคนรุ่นใหม่  เหตุผลก็เพราะผมได้เห็นว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาหลายสิบปีนั้นแต่ละช่วงเป็นอย่างไร  ใครคือผู้นำหรือเซเลบในสังคม  ความคิดของคนและขนบธรรมเนียมประเพณีในสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง  ซึ่งนั่นก็ส่งผลไปถึงการใช้จ่ายต่าง ๆ  และการเติบโตและร่วงโรยของธุรกิจและกิจการต่าง ๆ  ของประเทศไทยมากกว่าคนรุ่นใหม่ที่อาจจะเห็นเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้   แต่ไม่รู้ว่าในอดีตเป็นอย่างไร   และก็อาจจะทำให้ไม่รู้ว่าอนาคตนั้นอาจจะเปลี่ยนไปได้อีกมากน้อยแค่ไหน  และนี่ก็เป็นข้อได้เปรียบของคนสูงอายุที่พยายาม “หวนรำลึก”  ถึงความหลัง… ตั้งแต่เด็ก
	เริ่มตั้งแต่ผมเริ่มอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับแรกเมื่ออายุประมาณ 10 ขวบเศษ ๆ  เมื่อประมาณ 50 ปีมาแล้ว  ผมก็รู้จักกับเซเลบคนแรกที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์นั่นก็คือ  คุณ อาภัสรา หงสกุล อดีตนางงามจักรวาลคนแรกของประเทศไทย  หลังจากได้รับตำแหน่ง  คุณอาภัสราก็เป็นข่าวมากมาย  และแน่นอนหนึ่งในเรื่องต่าง ๆ  ก็คือเรื่องของ  “คู่หมาย”  ที่เป็นบุคคลที่อยู่ในแวดวง  “Hi-So Party”    ซึ่งก็เป็นข้าราชการที่มีอนาคตไกลหรือบุคคลที่สูงศักดิ์ในสายตาของคนในสังคมในช่วงเวลานั้น    นั่นก็แสดงให้เห็นว่า  สังคมไทยในช่วงนั้นยังไม่ได้อยู่ใน  “เทรนด์”  ของการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่จะทำให้มี  “เซเลบ” ในวงการอื่น ๆ เป็นเรื่องเป็นราว
	ต่อมาเมื่อผมจบปริญญาตรีและเริ่มทำงานเป็นวิศวกรในโรงงานที่อยู่ต่างจังหวัดระดับอำเภอที่เริ่มมีความ “เจริญ”  เข้าถึงบ้าง   ในช่วงเวลานั้นกลุ่มคนที่สังคมยอมรับว่าร่ำรวยมากกลุ่มหนึ่งก็คือ  เจ้าของร้านทองย่านเยาวราช   ผมจำไม่ได้ว่ามี “เซเลบ”  ที่เป็นเจ้าของร้านทองเยาวราชหรือไม่   แต่สิ่งที่ผมเจอก็คือ  เซเลบ  “ระดับท้องถิ่น”  ที่เป็นลูกสาวเจ้าของร้านทองในอำเภอที่ผมทำงานอยู่  ผมเองคงเป็น  เซเลบระดับท้องถิ่นเหมือนกันเนื่องจากการเป็นวิศวกรในโรงงานขนาดใหญ่ในท้องถิ่นนั้นก็ต้องถือว่ามีศักดิ์ศรีอยู่ไม่น้อยในสายตาของคนที่อยู่ในอำเภอนั้น  ผมเองไม่ได้คิดที่จะจีบสาวที่ว่าเป็นเรื่องเป็นราวอะไร  เพียงแต่จะยกประเด็นให้เห็นว่า  ในช่วงเวลานั้น  สังคมไทยกำลังเริ่มมีธุรกิจเกี่ยวกับทองที่กำลังร้อนแรง  เป็นจุดที่คนไทยเริ่มมีเงินเหลือและต้องรักษาหรือ “เก็บ”  ไว้ในรูปของทองรูปพรรณ  การฝากเงินไว้ในธนาคารยังเป็นเรื่องที่ “ใหม่”  สำหรับคนจำนวนมาก
	ช่วงต่อมาคือยุคที่การเกษตรของไทยกำลังโตเต็มที่นั้น  ผมจำได้ว่าเจ้าของโรงสีที่ใหญ่ที่สุดของประเทศนั้น  เป็นคนมีชื่อเสียงมากในแวดวงของสังคมและการค้า  บ่อยครั้งเขาให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางหรือนโยบายที่รัฐบาลควรทำเมื่อเกิดภาวะผิดปกติหรือภาวะวิกฤติในเรื่องของข้าวที่เป็นพืชผลส่งออกที่ทำรายได้เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ  แต่หลังจากนั้นไม่นาน  ประเทศไทยก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นประเทศที่ทำอุตสาหกรรมมากขึ้น  เซเลบที่อยู่ในวงการข้าวก็ค่อย ๆ  ลดระดับลง  จนถึงปัจจุบันแม้ว่าเรายังส่งออกข้าวจำนวนมากไม่น้อยกว่าเดิมแต่ความมั่งคั่งหรือสถานะของคนที่อยู่ในวงการข้าวนั้นไม่อาจเทียบได้กับวงการอื่น ๆ  อีกหลายอย่างที่เติบโตเร็วกว่ามากได้
	อุตสาหกรรมแรกที่มีการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและสร้าง  “เซเลบ”  ที่รวมไปถึงนักการเมืองชื่อดังก็คืออุตสาหกรรมสิ่งทอ   “จ้าวพ่อ” สิ่งทอกลายเป็นคนที่เป็นข่าวมากที่สุดในแวดวงของเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ  เวลามีวิกฤติหรือมีปัญหาทั้งเรื่องของการค้าหรือเรื่องแรงงาน  หนังสือพิมพ์ก็จะต้องถามเจ้าของโรงงานสิ่งทอรายใหญ่ของประเทศ  ความร้อนแรงของธุรกิจสิ่งทอนั้นสะท้อนออกมาทางเพลงซึ่ง “ดังระเบิด”  เช่น  เพลง “สาวโรงงาน” ที่ชื่อฉันทนา  แต่แล้ว  เวลาของธุรกิจสิ่งทอก็หมดลง  บริษัทสิ่งทอขนาดใหญ่มากบางแห่งก็ล้มละลาย  จนถึงปัจจุบันก็ไม่มีเซเลบจากวงการสิ่งทอแล้ว
	จากธุรกิจโรงงานก็ข้ามมาถึงธุรกิจบริการ เช่น  การเงินโดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับธนาคารและหลักทรัพย์ และต่อมาก็คือสื่อสาร  สุขภาพ  อสังหาริมทรัพย์เพื่อค้าและให้เช่า  ค้าปลีกและภัตตาคาร   นี่คือกลุ่มที่ยังอยู่ใน “เทรนด์”  แม้ว่าความร้อนแรงของแต่ละธุรกิจอาจจะมาไม่พร้อมกันเช่นเดียวกับการสิ้นสุดที่น่าจะไม่พร้อมกันเช่นเดียวกัน
	ธุรกิจธนาคารนั้น  ว่าที่จริงมีเซเลบที่ “ดังระเบิด”  ตั้งแต่สมัยที่ผมยังเป็นเด็กและช่วงทำงานใหม่ ๆ   เฉพาะอย่างยิ่งก็คือคุณบุญชู โรจนเสถียร อดีตผู้จัดการแบงค์กรุงเทพ ที่ได้ชื่อว่าเป็น  “ซาร์เศรษฐกิจ”  ที่ต่อมาได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี และคนในแวดวงธนาคารต่างก็เป็นข่าวและได้รับการร้องขอคำปรึกษาจากผู้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐอยู่เป็นประจำ  แม้จนถึงทุกวันนี้  นายธนาคารก็ยังเป็นเซเลบอยู่ไม่น้อยซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าธุรกิจธนาคาร  “ไม่มีวันตาย”   ถัดจากธนาคารแล้ว  สื่อสารดูเหมือนจะสร้างเซเลบที่ดังระเบิดสุด ๆ  เมื่อไม่นานมานี้  เจ้าของธุรกิจอย่าง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ดังขนาดกลายเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ  ในด้านอื่น ๆ  เช่น สุขภาพนั้น  ถึงแม้ว่าจะมีน้อยที่เป็นเซเลบแต่ก็อยู่ในระดับที่เป็นคนรวยระดับต้น ๆ  ของประเทศเช่นเดียวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อให้เกิดเซเลบมากมายทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์
	ในด้านของบุคคลธรรมดาที่ทำเงินจากผลการทำงานของตนเองนั้น  ดารา  นักร้อง  ดูเหมือนว่าจะเป็นเซเลบมากขึ้นมากมายโดยอาจจะมีนักกีฬาที่มีชื่อเสียงตามมาห่าง ๆ  โดยที่นักการเมืองที่มีตำแหน่งในระดับรัฐบาลและข้าราชการนั้น  ความเป็นเซเลบได้ตกลงมามาก  สังคมไทยดูเหมือนว่าจะมุ่งเข้าสู่สังคมของการบริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ  และนี่ก็น่าจะเอื้ออำนวยต่อสินค้าหรือบริษัทที่เน้นการบริโภคของประชาชนระดับที่เป็น Mass ที่เน้น  “ความหรูหรามีระดับ” แต่มีราคาที่คนส่วนใหญ่พอรับได้  และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงมุมมองเล็ก ๆ  เกี่ยวกับการติดตามสังคมของ Hi-So Party ที่ผมคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนโดยเฉพาะแบบ VI ที่เน้นการลงทุนระยะยาวตามกระแสของสังคม
[/size]



ตอบกลับโพส