เรียนรู้จากชุมชนตอน 2 : โรงเรียนบริหารธุรกิจไม่ได้สอน/วิวรรณ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

เรียนรู้จากชุมชนตอน 2 : โรงเรียนบริหารธุรกิจไม่ได้สอน/วิวรรณ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ มี.ค. 17, 2014 10:39 am

โค้ด: เลือกทั้งหมด

	สัปดาห์นี้ ดิฉันขอเขียนถึงตอนต่อของการไปจังหวัดเชียงใหม่เพื่อ “เข้าใจ เข้าถึง กิจการเพื่อสังคม”ต่อจากสัปดาห์ที่แล้วค่ะ
	ดิฉันประทับใจในหนุ่มน้อยชาวอาข่า จากแม่จันใต้ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ผู้ฝ่าฟันมาเรียนหนังสือในเมืองโดยอาศัยอยู่ที่วัด และเรียนสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี 
เมื่อเรียนจบได้เข้าไปทำงานมูลนิธิเกื้อฝันเด็ก แต่ตัดสินใจลาออกเพื่อกลับไปหมู่บ้านบนดอย เนื่องจากอยากช่วยเหลือชุมชนของเขา ซึ่งมีปัญหาการถูกกดราคาพืชผลเกษตรจากพ่อค้าคนกลาง จนมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ไม่สามารถส่งเสียบุตรหลานให้เรียนหนังสือได้ หลายครอบครัวต้องออกจากชุมชนไปทำงานในเมือง
	หนุ่มน้อยคนนี้ชื่อ อายุ จือปา หรือมีชื่อเล่นว่า “ลี” ท่านอาจจะเคยได้อ่านหรือรับฟังเรื่องราวของเขามาแล้ว ดิฉันเคยได้ทราบเรื่องของเขาบ้างเล็กน้อยและนึกสนใจอยากมีโอกาสได้พูดคุยกับเขา
	คณะของเราไปเยี่ยม ลี ที่ร้านดั้งเดิมของเขาบนถนนหัสดีเสวี ซอย 3 ในตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเขาใช้เป็นที่ตั้งสำนักงานเพื่อกระจายสินค้าให้ชุมชน และตั้งร้านกาแฟ เพื่อขายตรงให้กับผู้บริโภค ทำให้ชุมชนได้รับค่าตอบแทนจากผลผลิตที่ดีขึ้น  
	เขามีใบหน้ายิ้มแย้ม หน้าตาคมคาย สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือแววตาของเขาค่ะ แววตามีประกายสดใสเฉกเดียวกับผู้มองโลกในแง่ดีทุกคน
	เขาเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่กิจการร้านกาแฟที่เป็นแหล่งจำหน่ายผลผลิตของชาวบ้าน โดยรับประกันให้ราคาดีกว่าการขายผ่านพ่อค้าคนกลาง เขาเล่าถึงความพยายามในการเปิดร้านกาแฟโดยไม่ได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการแบบที่พวกเราที่จบโรงเรียนบริหารธุรกิจต้องทำ 
ลีบอกว่า เป็นเพราะว่าเขาไม่รู้ เขาไม่ได้เรียนบริหารธุรกิจ  “ถ้าเราไม่รู้เราก็ไม่กลัวเท่าไร ไม่กลัวที่จะไม่สำเร็จ”
	เขาทำธุรกิจ โดยใช้วิธีทำไป เรียนรู้ไป แก้ไขไป  เขาเล่าอย่างติดตลกว่า ในขณะที่ร้านกาแฟอื่นจะขายกาแฟได้เยอะในช่วงเที่ยง แต่เขาจะปิดร้านตอนเที่ยง เพื่อนำตัวอย่างกาแฟไปแจกให้กับลูกค้าต่างๆที่ออกมาเดินนอกบ้านและสำนักงาน
	เขาอยากให้ชาวบ้านผู้ปลูกกาแฟมีกำลังใจว่ากาแฟที่ปลูกมีคุณภาพดี จึงหาเวทีประกวด ด้วยการส่งเมล็ดกาแฟไป ในเวทีของ สมาคมกาแฟชนิดพิเศษแห่งยุโรป (Specialty Coffee Association of Europe) ที่ลอนดอนในปี 2010 และเมื่อทางผู้จัดแจ้งมาทาง อีเมล์ว่า ได้เข้ารอบ ขอให้ส่งเมล็ดไปเพิ่มเติมเพื่อให้กรรมการรอบต่อไปชิม เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เป็นไปได้อย่างไรนี่
	แล้วเขาก็ชนะ (เมล็ดกาแฟของเขาได้รับคัดเลือกจากองค์กรกาแฟชนิดพิเศษแห่งยุโรปในปี 2010 2011 และ 2012) หนังสือพิมพ์ Wall Street Journal ฉบับวันที่ 15 กันยายน 2544 แนะนำร้านกาแฟของเขาเป็นหนึ่งในร้านกาแฟที่คอกาแฟควรไปเยือนในประเทศไทย 
คนไทยรู้จักร้านกาแฟของเขามากขึ้น และในปีถัดมาคือ ปี 2555 เขาได้ไปออกรายการโทรทัศน์ “คนล่าฝัน” ของไทยพีบีเอส และ ”วีไอพี” ทางช่อง 9   กาแฟของเขาขายดีขึ้น จากแต่เดิมมีเพียงกาแฟจากไร่ของครอบครัวไม่กี่ครอบครัว  ก็ขยายไปมีครอบครัวเพื่อนบ้านมาร่วมมากขึ้น โดยปัจจุบันหมู่บ้านของเขาปลูกกาแฟเป็นพืชหลัก 
	ดิฉันถามเขาว่าใครคือบุคคลต้นแบบหรือเป็นแรงบันดาลใจของเขาในการทำงาน เขาตอบอย่างน่าประทับใจว่า แม่ของเขาเอง พ่อแม่ของเขาหนีภัยสงครามมาจากทางตอนใต้ของจีน ตอนเด็กๆ เขาเคยบ่นน้อยใจกับแม่ว่าทำไมเราต้องเกิดมาบนเขา ลำบากมากอย่างนี้  แม่ตอบเขาว่า “คนเราเลือกที่เกิดไม่ได้ แต่เราสามารถสร้างชีวิตของเราได้” และทำให้เขามีความพยายาม และมุ่งมั่น 
	คุณแม่ของเขาเช่นกัน ที่เป็นผู้บอกกับเขาว่า ถ้าอยากอยู่สบายให้อยู่ที่บ้าน แต่ถ้าอยากรู้โลกกว้างให้ออกไปศึกษา นั่นคือสาเหตุที่เขาฟันฝ่าความยากลำบากทั้งปวงออกมาเรียนหนังสือในเมือง
	ในร้านของเขามีภาพเขากับคุณแม่ที่ใส่ชุดชนเผ่าอาข่า กำลังเก็บกาแฟในไร่ เป็นภาพที่สะดุดตามาก ชื่อร้าน “อาข่า อ่ามา” ก็แปลว่า “คุณแม่ชาวอาข่า” นั่นเอง
	คุณสมบัติที่มีในตัวของคุณลีคือ ความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อ ซึ่งสะท้อนออกมาทางแววตา และมีความกล้าเสี่ยง ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้ประกอบการ	
คนที่เรียนมามาก วิเคราะห์มาก อาจจะไม่กล้าทำ เพราะร้านกาแฟในประเทศไทยก็มีมากมาย ทั้งกาแฟนำเข้า กาแฟท้องถิ่น  และกาแฟไทยไม่เคยขึ้นชื่อในตลาดโลก นอกจากนี้ คนไทยยังชอบดื่มกาแฟนำเข้าจากต่างประเทศ จึงไม่ง่ายเลยที่จะทำธุรกิจร้านกาแฟโดยใช้กาแฟไทยล้วนๆ
	นอกจากความกล้าเสี่ยงแล้ว ยังต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ รู้จักแก้ไขปัญหา และรู้จักปรับปรุงให้ดีขึ้น  คุณลีเล่าว่า เขาเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่เขาชอบซักถามจากผู้รู้  ถ้าเขาทราบว่าใครเป็นผู้ชำนาญด้านใด เขาจะไม่ลังเลเลยที่จะถาม
	เวลาตั้งคำถาม คนทั่วไปจะถามเพียง “อะไร”(What?) และ “ทำไม”(Why?) ซึ่งทำให้ได้ข้อมูล แต่ไม่เพียงพอที่จะนำไปปฏิบัติ สำหรับเขา เขาจะถาม “อย่างไร”(How?) ด้วย 
	ยอดเยี่ยมค่ะ หลังจากฟังจบดิฉันก็แจ้งเขาว่าดิฉันอยากมอบปริญญาบัตรบริหารธุรกิจทางด้านการจัดการให้กับเขา  เพราะเขาจบปริญญาบริหารธุรกิจด้วยการปฏิบัติ
	ขอย้อนกลับมาถึง การแนะนำหรือยกย่อง หรือให้รางวัล โดยต่างชาติ แล้วทำให้กิจการของคนไทยโด่งดังขึ้น ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นในกรณีของคุณลี แต่เพียงกรณีเดียว ยังเกิดขึ้นกับกิจการนวดแผนโบราณด้วย 
	หมออู๊ดแห่ง สมาคมนวดแผนโบราณโดยคนตาบอด จ.เชียงใหม่ เล่าว่า ชาวต่างชาติหลายคนมาใช้บริการนวดตามคำแนะนำของหนังสือ (Guide Book) ซึ่งมีผู้เคยใช้บริการไปเขียนแนะนำว่านวดดี และไม่เอาเปรียบ คือคิดค่าบริการเท่ากันทั้งคนไทยหรือต่างชาติ หมออู๊ดถามว่าจะหาซื้อหนังสือแนะนำเล่มนั้นได้จากไหน ลูกค้าจึงมอบไว้ให้ด้วย
	การที่คนไทยไม่เชื่อจากประสบการณ์ของตัวเอง หรือจากการแนะนำโดยคนไทยด้วยกัน แสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นใจค่ะ อยากเห็นคนไทยมั่นใจหน่อยค่ะ หากเห็นว่าดีควรแนะนำต่อ ไทยไม่แนะนำไทย แล้วใครจะแนะนำเราคะ
	นอกจากนี้ พวกเรายังได้ไปแวะชมกิจการในเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ “เขียว สวย หอม” ได้ไปเยี่ยมชมสหกรณ์การเกษตรยั่งยืนแม่ทา ซึ่งมีการผลิตพืชผลเกษตรในลักษณะ CSA หรือ Community Supported Agriculture คือนำพืชผักที่ปลูกในฟาร์มของตนเองมาจำหน่ายโดยตรงให้กับผู้บริโภค ที่จ่ายเงินค่าซื้อสินค้าไว้ล่วงหน้า และรับความเสี่ยงจากการปลูกร่วมกัน คือหากได้ผลผลิตมาก ผู้บริโภคก็ได้สินค้ามาก แต่หากได้ผลผลิตน้อย ผู้บริโภคก็จะได้รับสินค้าน้อยเป็นต้น 
	ซึ่งจะแตกต่างจากการเกษตรในระบบปกติที่เกษตรกรจะเป็นผู้รับความเสี่ยงไว้ทั้งหมด หากพืชผลออกมามีปริมาณมาก และราคาดี เกษตรกรก็จะได้รับผลตอบแทนสูง แต่หากพืชผลเสียหายจากภัยธรรมชาติ ซึ่งแม้จะได้ราคาดี แต่มีปริมาณน้อย เกษตรกรก็จะได้รายได้น้อยและอาจจะขาดทุน เป็นต้น
	ขอบคุณชุมชนต่างๆ และขอบคุณหนุ่มน้อยอายุ จือปา ที่ให้ข้อคิดและแบ่งปันประสบการณ์กับคณะของเราค่ะ
[/size]



ตอบกลับโพส